บทที่ 346 สนามรบโบราณ
บทที่ 346 สนามรบโบราณ
หลังจากเดินทางมาหลายวัน ในที่สุดก็เห็นสนามรบโบราณแล้ว มันอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของทะเลตงไห่พอดี รอบด้านถูกล้อมรอบด้วยทะเล แม้ว่าจะไม่ใช่หมู่เกาะแต่เส้นทางมีความเฉพาะในตัว ไม่สามารถตรงเข้าไปได้ ต้องอ้อมเข้าไป หลังจากราชาฉลามพิษมาส่งพวกเขาสองคนแล้วมันก็กลับไป
พื้นดินที่ลอยอยู่เหนือผืนน้ำ วัชพืชน้ำสีเขียวสด เสียนกร้องกับกลิ่นดอกไม้ ต้นไม้บางชนิดที่ไม่สามารถระบุชื่อได้เรียงรายอยู่ริมชายฝั่ง ถ้าบอกว่าที่นี่ไม่สวย ก็ถือว่าปากหนักเกินไปแล้ว!
บนทางเดินนั้นยังมีคนนับสิบคนนั่งเฝ้าระวังอยู่คนละทิศ ดูแล้วคนพวกนี้น่าจะมาจากกองกำลังเดียวกัน พวกเขาต้องการจะเข้าไปยังเกาะสวรรค์เหมือนกัน หากบอกว่าคนพวกนี้เป็นคู่แข่งคงจะน่าขำ เพราะบางทีเป็นตายร้ายดีก็ยังไม่ทราบไม่น่าจะมีใครอยากแข่งขันอะไรตอนนี้
หากเข้าไปในเกาะสวรรค์จำเป็นต้องผ่านสองด่านใหญ่ไปให้ได้เสียก่อน ด่านแรกก็คือประตูหมอกดำ หากไม่มีประตูนั้นเกรงว่าการจะเข้าไปในเกาะก็คงเป็นเรื่องยาก ด่านที่สองนั่นก็คือการจำกัดอายุ แม้สนามรบโบราณคนที่อายุไม่เกิน 100 ปีก็สามารถเข้าได้ แต่ยิ่งอายุเยอะเท่าไร ก็จะยิ่งเสี่ยงอันตรายมากเท่านั้น
ถ้าคนที่มีอายุหลักร้อยเข้าไปในเกาะสวรรค์ มันจะกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามที่มีแต่ความตาย! และเพราะเหตุนี้ทำให้คนที่มีอายุเกิน 50 ปี ไม่อยากที่จะเข้ามายังเกาะสวรรค์!
เกาะสวรรค์เป็นแห่งที่แปลกมาก ๆ แห่งหนึ่ง ขณะที่ภายนอกผ่านไป
1 เดือน ภายในเกาะกลับผ่านไปเป็นปี ถ้าคำนวณเวลาจากภายนอก ไม่ว่าอย่างไรคน ๆ หนึ่งก็ไม่อยู่ในเกาะสวรรค์ได้เกินครึ่งปี ถ้าภายในครึ่งปีไม่ออกมา บอกได้เลยว่าคน ๆ นั้นถึงคราวเคราะห์แล้วอย่างแน่นอน
เพราะแบบนี้ทำให้คนที่เข้าไปในเกาะสวรรค์ใช้เวลาแค่ 3-4 เดือนก็กลับมาแล้ว ได้ยินว่าเกาะแห่งนี้มีก๊าซพิเศษชนิดหนึ่ง สามารถทำให้ผู้คนลุ่มหลงได้ ถ้าอยู่นานแล้วต่อให้กลับออกมาก็จะออกมาได้แต่กายเนื้อ แม้ว่าร่างกายไม่เหมือนตายแต่ว่าวิญญาณนั้นได้ตายไปแล้ว!
เกาะสวรรค์เต็มไปด้วยโอกาสมากมาย แต่ว่าอันตรายก็มากมายเช่นกัน เพราะเหตุนี้จึงมีคนเรียกเกาะสวรรค์อีกชื่อว่าสุสานคนเก่ง ถึงแบบนั้น ก็มีคนเก่งอายุน้อยมากมายเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟประจำ เพียงเพราะเรื่องเล่า ที่ว่ากันว่ากลับออกมาจากเกาะสวรรค์ได้ก็จะได้เป็นวีรบุรุษไปตลอดกาล
พวกฉู่เหินเตรียมตัวรออยู่ที่สนามรบโบราณอย่างสงบ พร้อมกวาดสายตามองรอบทิศ จากนั้นเขาก็พบว่าหมอกดำรวมตัวกันอยู่ด้านหน้าของเขา และยังไม่ทันได้คิดอะไรก็นั่งไปบนก้อนเมฆสีดำข้างหน้าแล้ว
คนนับสิบคนที่อยู่บริเวณนั้นเมื่อเห็นฉู่เหินทำแบบนี้ก็ยิ้มอย่างเย็นชา เสี่ยวชิง ค่อนข้างระมัดระวังตัว เมื่อเห็นว่าคนกลุ่มนั้นมองม ก็อดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ เธอเลยกระซิบบอกฉู่เหินเสียงเบา ฉู่เหินที่ได้ยินก็ขมวดคิ้ว
ที่นี่คือสนามรบโบราณย่อมไม่เหมือนภายนอก คนที่มาที่นี่นั้นมีแต่คนเก่งมีความสามารถ แต่สนามรบโบราณไม่ใช่สถานที่ที่จะเอาไว้ลงไม้ลงมือ แถมวัยรุ่นพวกนี้เป็นคนมีฝีมือและหากเกิดอะไรขึ้นข้างกายของพวกเขาจะมีผู้มากฝีมือแอบปกป้องอยู่ลับ ๆ ดังนั้นอย่าทำให้พวกวัยรุ่นพวกนี้โกรธจะดีที่สุด
ขณะที่ฉู่เหินคิดในใจ ก็มีเสียงลอยเข้าหูเขาว่า “พี่ชายท่านนี้ ผมว่าพี่ถอยไปก่อนเถอะ จุดที่พี่ยืนอยู่ตรงนั้นมันเป็นที่ผ่านทางของนิกายเมฆาผันแปรถ้าพี่ไม่ถอยอีกสักพักก็จะเจอคนของนิกายเมฆาผันแปรมาเล่นงานเอาได้”
คนที่พูดกับฉู่เหินเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุประมาณ 20 ปี รูปร่างสง่าผ่าเผยใบหน้าหล่อหลาเนียนใสนั้นมีส่วนคล้ายกับฉู่เหินหลายส่วน คำพูดดูเป็นห่วงเป็นใยนั้นไม่ได้แสร้งเลยสักนิดเดียว ทำให้ฉู่เหินรู้สึกดีต่อคนนี้ ๆ ขึ้นมาระดับหนึ่ง
“ขอบคุณน้องชายที่ตักเตือน ฉันไม่รู้จริง ๆ ถ้าไม่ได้น้องชายคงประสบเคราะห์ร้ายไปแล้ว!” ฉู่เหินเองก็แสดงความขอบคุณกลับไป นิกายเมฆาผันแปรเหรอ? เขาอยู่บนท้องทะเลมานานเคยได้ยินมาเรื่องที่ว่านี้คือมีหนึ่งตระกูลที่มีอำนาจยิ่งสามารถยึดเกาะได้ 5 เกาะ ตอนนี้เขาไม่อยากไปยุ่งกับพวกนั้นเด็ดขาด!
นิกายเมฆาผันแปรแม้ชื่อจะดูไม่เก่ง แต่ความสามารถอันแข็งแกร่งนั้นเป็นของจริงแน่นอน จะอยู่หรือตายจะเก่งหรืออ่อนแอ ในสายตาของพวกเขาก็เหมือนกันหมดและฉู่เหินก็รู้ตัวว่าตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถพอจะท้าทายกับอีกฝ่ายหลังจากครุ่นคิดเสร็จเขาก็เตรียมที่จะพาเสี่ยวชิงไปที่อื่น
ทว่าด้วยพื้นของสนามรบโบราณมีแค่ 10 ตารางกิโลเมตร ไปทางไหนก็เจอแต่หมอกดำ ตัวเขาแค่ต้องการพื้นที่ปลอดภัยเพื่อรอเท่านั้น แต่ไม่ว่าที่ไหนก็มีแต่ประตูที่ทำจากหมอกดำ ทางเข้านั้นสามารถจุคนได้ 5-8 คนเพียงแต่คนแถวนี้ไม่เชื่อใจใครจึงไม่มีใครยินดีที่จะร่วมทางกับคนอื่น!
ฉู่เหินมองไปรอบ ๆ เตรียมตัวจะไปหาที่ยืนสักที แต่กระนั้นชายหนุ่มก็เรียกเขาเอาไว้ หลังจากคิดสักพักก็ตัดสินใจพาเสี่ยงชิงเดินไปหาชายหนุ่ม
“ถ้าพี่ชายไม่มีที่จะไปมาตรงผมก็ได้นะ ผมว่าถ้าได้ร่วมทางกับพี่คงจะดีไม่น้อยเลย!” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาด้วยท่าทางสบาย ๆ
ฉู่เหินหัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ จากนั้นกันเดินไปยืนข้าง ๆ พร้อมกับเสี่ยวชิง จากนั้นก็นั่งรออย่างสบายใจ!
เมื่อเห็นฉากนี้ทำให้คนดูความสนุกอยู่รอบด้านรู้สึกไม่สบายใจนัก พวกเขาคิดว่าการแสดงงิ้วนี้ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน ทำให้วัยรุ่นแถวนี้สีหน้าไม่ดีนักแต่สิ่งที่ทำให้คนพวกนี้ไม่ชอบใจไม่ใช่ฉู่เหิน กลับเป็นเด็กหนุ่มคนนั้น ในความคิดของพวกเขาถ้าเด็กหนุ่มนี้มากเรื่อง ฉู่เหินคงโดนกระทืบตายไปแล้ว?
“ไอ้หนุ่ม ทำไมเอ็งนี้มันเรื่องมากจังวะ ทำให้พวกข้าอดดูเรื่องสนุก ๆ เลย!” ชายหัวล้านอายุ 30 กว่าปียืนพูดใส่เด็กหนุ่มอย่างโมโห
เด็กหนุ่มไม่ตอบโต้ แต่สีหน้าฉู่เหินเปลี่ยนไปทันที เพราะเขารู้ว่าที่เด็กหนุ่มโดนชายหัวล้านนี้ตำหนิต้นเหตุทั้งหมดเกิดจากเขาเอง เดิมทีคนพวกนี้คงอยากจะดูเขาโดนทำร้าย เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้ คาดไม่ถึงว่าแค่ชายหนุ่นคนนี้ช่วยเขาไอ้หัวล้านนั้นก็กล้าตะโกนใส่ กล้ารังแกคนอื่นแบบนี้ ฉู่เหินก็ไม่จำเป็นต้องอดทน
“ไอ้หัวล้าน แม่แกนี้โง่ชะมัดที่เบ่งแกออกมาจากช่องคลอด! อยากจะดูเรื่องสนุกนักก็กลับบ้านไปดูแม่แกตีกับสัตว์หน้าขนโน้น คนอย่างแกยังมีหน้ามาเหยียบที่เกาะสวรรค์อีกเหรอ มาหาที่ตายน่ะสิไม่ว่า! หมาเห่าเก่งแบบนี้สงสัยวันนี้ฉันคงต้องสั่งสอนมันสักหน่อยแล้ว” ระหว่างนั้นฉู่เหินก็ปล่อยพลังออกมาทำให้คนที่มีวรยุทธต่ำต้อยรู้สึกใจสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
แต่พวกเขาสัมผัสไม่ได้เลยว่าวรยุทธของฉู่เหินนั้นอยู่ระดับไหน ทำให้แม้ว่าสีหน้าของแต่ละคนจะไม่ดีนัก ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก พวกเขาคิดว่าที่ฉู่เหินตอบโต้กลับมาแบบนี้ วรยุทธ์ของเขาต้องสูงมากเป็นแน่อีกทั้งท่าทางหยิ่งผยองแบบนั้น พวกเขาเลยเดาว่าอย่างต่ำ ๆ ของฉู่เหินน่าจะเป็นขั้นทรราชดาราระดับสูงแน่!
ต้องเข้าใจว่าคนที่อายุ 20 กว่า ๆ สามารถเป็นถึงขั้นทรราชดาราระดับสูงจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร คนแบบนี้จะต้องเป็นศิษย์ดาวเด่นของนิกายใหญ่สักแห่งแน่ ดังนั้นเมื่อพวกเขาคิดอย่างดีแล้วจึงเลือกที่จะเงียบ แม้ว่าชายหัวล้านจะโกรธแค่ไหน ก็ทำได้แค่จ้องฉู่เหินไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดมากอีก ฉู่เหินก็ไม่คิดจะยั่วแหย่อีกต่อไป เขากลับนั่งรอให้หมอกดำรวมตัวกันสร้างประตูขึ้นมาอย่างสงบ
“นี้ ๆ พี่ชาย คนหัวล้านคนเมื่อกี้มาจากเกาะฉลาม? เกาะฉลามถือว่าเป็นกลุ่มผู้แข็งแกร่งที่มีอำนาจไม่น้อยเลย ได้ยินว่าคนบนเกาะฉลามเป็นพวกโหดเหี้ยม วรยุทธของชายหัวล้านเป็นถึงขั้นราชันย์ดาราระดับสูง ถือว่าเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง!”