ตอนที่ 306 อุดมการณ์กว้างไกล

ตอนที่ 306 อุดมการณ์กว้างไกล

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดนี้พลันยิ้มและกล่าว “บ้านเกิดของพวกเราอยู่ซานตงก็จริง แต่ตอนนี้ย้ายมาอาศัยอยู่ปักกิ่งน่ะ”

“มิน่าล่ะ งั้นพวกเธอรีบกลับไปเถอะ”

เฉินเซี่ยวอวิ๋นยิ้มพลางโบกมือให้กับฉินมู่หลานและฉินเคอวั่ง จากนั้นมองคนอื่นและเอ่ยถาม “พวกเธอกลับหอพักหรือเปล่า?”

เกาสวินชิวส่ายศีรษะพร้อมกับเอ่ย “ฉันไม่กลับหอพักแล้ว ฉันเองก็กลับบ้านเหมือนกัน”

เซี่ยปิงหรุ่ยเองก็เดินไปด้านหน้า “ฉันก็ไม่กลับหอพัก ฉันซื้อบ้านที่นี่แล้ว ขอตัวกลับก่อน”

หลังจากสองคนจากไป พ่อฉือแม่ฉือก็มองตากันอย่างอดไม่ได้

เดิมทีคิดว่าสภาพครอบครัวหยวนฝูของพวกเขานั้นน่าจะดีที่สุดภายในหอพักแล้ว แต่เมื่อดูจากวันนี้แล้วกลับพบว่าผู้หญิงภายในหอพักนี้ของลูกสาวก็ไม่ธรรมดา

เมื่อครุ่นคิดว่าในอนาคตจะต้องมาเยี่ยมลูกสาว สามีภรรยาตระกูลฉือก็เริ่มมีความคิดที่จะซื้อบ้านภายในปักกิ่ง ดังนั้นพวกเขายิ้มให้กับพ่อเฉินแม่เฉินและเอ่ย “หยวนฝูของพวกเราเองก็ไม่กลับหอพักแล้ว หลังจากนี้พวกเราสองสามีภรรยาก็ต้องมาเยี่ยมหยวนฝู ดังนั้นพวกเราเองก็วางแผนจะซื้อบ้านภายในปักกิ่งและจะพาหล่อนไปดูการซื้อบ้านของที่นี่ก่อน”

“ตกลง งั้นพวกคุณไปทำธุระเถอะ”

หลังจากครอบครัวของฉือหยวนฝูจากไป เหมาชุนเถารีบมองไปทางเฉินเซี่ยวอวิ๋นและเอ่ย “เซี่ยวอวิ๋น งั้นฉันกลับหอพักก่อนนะ เธอกับคุณลุงคุณป้าเองก็รีบกลับบ้านเถอะ” ขณะกล่าวก็โบกมือให้กับครอบครัวเฉินและจากไป

มองแผ่นหลังที่กำลังจากไปของเหมาชุนเถา แม่เฉินเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ดูแบบนี้ เหมาชุนเถาคงเป็นคนเดียวในหอพักของพวกแกที่มีนิสัยเข้ากับคนอื่นง่าย ส่วนคนอื่นดูเหมือนจะเข้ากันได้ไม่ง่ายนัก”

ได้ยินคำพูดนี้ เฉินเซี่ยวอวิ๋นพลันเอ่ย “แม่คะ แม่ยังไม่รู้จักลูกสาวตัวเองอีกเหรอ ตราบใดที่หนูอยากอยากผูกมิตรกับใครสักคนแล้วไม่มีทางล้มเหลวอย่างแน่นอน ดังนั้นแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ หนูจะเข้ากับเพื่อนๆ ภายในหอของหนูเป็นอย่างดี”

“ใช่ เซี่ยวอวิ๋นของพวกเรานั้นเก่งกาจที่สุด”

ได้ยินคำพูดนี้ของลูกสาว แม่เฉินยิ้มพลางลูบเส้นผมของหล่อนและเอ่ย “เอาล่ะ พวกเราเองก็รีบกลับบ้านเถอะ”

อีกด้านหนึ่ง หลังจากฉินมู่หลานพาฉินเคอวั่งกลับบ้านก็พบว่าพ่อแม่กับพ่อแม่สามีต่างก็อยู่ที่นั่น ทั้งสี่คนเห็นว่าพวกเขาสองพี่น้องกลับมาแล้วก็รีบเอ่ยถาม “มู่หลาน เคอวั่ง วันนี้รายงานตัวเป็นไปอย่างราบรื่นไหม ทำไมถึงกลับมาช้าแบบนี้”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นพลันยิ้มและเอ่ย “พวกเรารายงานตัวได้ราบรื่นดีมากค่ะ ที่สำคัญคือเพื่อนร่วมหอพักมีผู้ปกครองมาพาไปเลี้ยงอาหาร พวกเราเลยไปกินอาหารเที่ยงกันก่อนถึงจะกลับบ้านค่ะ”

ซูหว่านอี๋เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “พวกเธอสองพี่น้องไปกันหมดเลยเหรอ?”

“ใช่ครับ ผมเองก็ไปด้วย”

ฉินเคอวั่งพยักหน้า

“ถ้าเป็นเช่นนี้ ครอบครัวของพวกเราต้องเลี้ยงอาหารพวกเขากลับด้วยใช่หรือเปล่า”

ฉินมู่หลานเอ่ยทันใด “ไม่ต้องหรอกแม่ ไม่จำเป็นจะต้องเลี้ยงอาหารที่บ้านหรอก หากจะเลี้ยงจริงๆ หนูจ่ายเงินเลี้ยงอาหารด้านนอกให้กับพวกเขาสักมื้อหนึ่งก็พอแล้ว”

เมื่อเห็นลูกสาวกล่าวเช่นนี้ ซูหว่านอี๋ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก

ฉินมู่หลานยังคงเป็นห่วงเรื่องผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและวางแผนรีบไปจัดการ แต่ก่อนหน้านั้นเธอก็คิดจะไปดูเด็กทั้งสองคนก่อน “แม่คะ เฉินเฉินและชิงชิงล่ะ?”

“เด็กน้อยทั้งสองคนกำลังเล่นอยู่กับลุงเจี่ยงน่ะ”

เมื่อกล่าวคำพูดสุดท้าย ซูหว่านอี๋ก็เอ่ยอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ตอนนี้สือเหิงและอาหลี่ต่างก็วุ่นวายและกลับมาไม่ได้ แม่เห็นว่าลุงเจี่ยงดูเป็นกังวลเล็กน้อย เมื่อสักครู่ก็เลยให้เขาเล่นกับเด็กๆ ทั้งสองคน อารมณ์ของเขาเลยดีขึ้นมาหน่อย”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “งั้นหนูจะไปดูเด็กน้อยทั้งสองคนกับลุงเจี่ยงนะคะ”

“ได้”

ฉินมู่หลานไปยังสวนด้านหลังและเห็นลุงเจี่ยงกำลังเล่นเกมนับนิ้วกับเด็กน้อยทั้งสองคน เด็กทั้งสองคนกำลังหัวเราะ ทำให้ใบหน้าของลุงเจี่ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะของเด็กน้อยเป็นสิ่งที่เยียวยาได้ดีที่สุด ดังนั้นอารมณ์ของลุงเจี่ยงดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ลุงเจี่ยงเองก็เห็นฉินมู่หลานอย่างรวดเร็ว เขารีบลุกขึ้นและกล่าว “คุณหนูน้อยกลับมาแล้ว วันนี้ไปรายงานตัว ทุกอย่างราบรื่นไหมครับ?”

“ลุงเจี่ยงวางใจเถอะค่ะ ทุกอย่างราบรื่นดี ลำบากคุณแล้วที่ต้องดูแลเด็กทั้งน้อยทั้งสองคน”

ลุงเจี่ยงโบกมือไปมาและกล่าว “ไม่ลำบากเลย ผมต้องขอบคุณเฉินเฉินและชิงชิงมากกว่า อยู่กับพวกเขาแล้วผมมีความสุขมาก”

“ลุงเจี่ยงคะ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องพวกพ่อบุญธรรมหรอกนะคะ หลังจากเกิดเรื่องครั้งก่อน พวกพ่อบุญธรรมก็เตรียมตัวแล้ว ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกค่ะ”

สุดท้ายฉินมู่หลานยังคงเห็นความกังวลเล็กน้อยของลุงเจี่ยง จึงเอ่ยปลอบประโลม ขณะเดียวกันก็กล่าว “ก่อนหน้านี้ฉันได้ทำสิ่งของป้องกันตัวเองบางอย่างให้กับพ่อบุญธรรมและอาหลี่แล้ว แถมโหยวหย่งและหวังหู่ก็ไปอยู่ในแผนกรักษาความปลอดภัยของสถาบันวิจัยแล้ว ดังนั้นไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกค่ะ”

เห็นฉินมู่หลานกล่าวเช่นนี้ ลุงเจี่ยงเองก็วางใจเล็กน้อย

“ยังคงเป็นคุณหนูน้อยที่คิดอย่างรอบคอบ”

ขณะนี้ เฉินเฉินและชิงชิงเหยียดมือออกไปหาฉินมู่หลานอย่างใจร้อน ต้องการให้เธออุ้ม

มือทั้งสองข้างของฉินมู่หลานอุ้มเด็กทั้งสองคนขึ้นมา ก่อนหน้านี้เธอฝึกฝนร่างกายมาบ้างแล้วจนตอนนี้มีพละกำลังไม่น้อย อุ้มเด็กทั้งสองคนได้อย่างไม่มีปัญหา

“คุณหนูน้อย ให้ผมอุ้มสักคนหนึ่งเถอะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะลุงเจี่ยง ฉันอุ้มได้ค่ะ”

ฉินมู่หลานยิ้มพลางอุ้มเด็กน้อยทั้งสองคนไปยังลานหน้าบ้านและเล่นกับพวกเขาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นวางแผนจะไปผลิตเครื่องสำอาง อย่างไรก็ตามความเร็วของคนเดียวนั้นมีขีดจำกัด เธอจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเหยาจิ้งจือและซูหว่านอี๋

“แม่คะ พวกคุณสนใจเรียนผลิตเครื่องสำอางกับหนูไหมคะ?”

“ผลิตเครื่องสำอางเหรอ?”

เหยาจิ้งจือมองอย่างสงสัย จากนั้นส่ายศีรษะและเอ่ย “แต่พวกฉันทำไม่เป็นนะ”

ซูหว่านอี๋เองก็พยักหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะสองพวกคุณเอง ยิ่งกว่านั้นตอนแรกจะเริ่มทำจากขั้นตอนง่ายๆ”

หลังจากนั้นฉินมู่หลานก็พูดกับแม่และแม่สามีถึงเรื่องเครื่องสำอางของเธอมีโอกาสสูงมากที่จะได้เข้าสู่ห้างโหยวอี้และร้านค้าทะเลจีนโพ้น ขณะเดียวกันก็เอ่ยถึงความปรารถนาของเธอ “ตอนนี้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าสิ่งของต่างชาตินั้นดี แต่ฉันต้องการทำให้สิ่งของของประเทศตัวเองนั้นออกมาดี เมื่อถึงเวลานำไปขายที่ต่างประเทศจะทำให้คนต่างชาติเหล่านั้นชื่นชอบ เป็นเช่นนี้แล้วพวกเราก็จะสร้างรายได้จากชาวต่างชาติได้”

แม้ว่าจะเป็นเพียงอุดมการณ์กว้างไกลอย่างหนึ่งของฉินมู่หลาน แต่ซูหว่านอี๋และเหยาจิ้งจือก็อดไม่ได้ที่จะปรบมือ

“มู่หลาน ลูกพูดถูก พวกเราจะต้องทำให้ดี”

เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่ทั้งสองคนต่างก็เห็นด้วย ฉินมู่หลานก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้และเอ่ย “งั้นเดี๋ยวพวกเราก็เริ่มกันเลย หนูจะเริ่มทำการผลิตอยู่ด้านข้าง พวกคุณก็คอยดูก่อน”

“ตกลง”

ฉินมู่หลานเล่นกับเด็กน้อยทั้งสองคนอีกชั่วครู่ จากนั้นก็พาพวกเขาก็ไปงีบหลับช่วงบ่าย

หลังจากนั้นฉินมู่หลานก็ยุ่งอยู่กับการผลิตเครื่องสำอาง โดยมีเหยาจิ้งจือและซูหว่านอี๋คอยเฝ้ามองอยู่ด้านข้าง ตอนแรกพวกหล่อนยังไม่เข้าใจอะไรเลย แต่หลังจากได้ดูมากขึ้นก็ค่อยๆ เข้าใจว่าฉินมู่หลานใช้อะไรบ้างในการผลิตเครื่องสำอาง พวกหล่อนเองจึงคอยส่งเครื่องมือเป็นบางครั้งบางคราวหรือไม่ก็งานง่ายๆที่สามารถทำได้ เช่น การบดกลีบดอกไม้และขยี้ให้กลายเป็นผง

ฉินมู่หลานและคนอื่นต่างก็ยุ่งมากจนไม่สามารถปลีกตัวได้

อีกด้านหนึ่ง เซี่ยเจ๋อหลี่และเจี่ยงสือเหิงเองก็ยุ่งมากจนไม่สามารถปลีกตัวได้เช่นกัน ขณะนี้เจี่ยงสือเหิงกำลังใช้เครื่องมือสำรวจตัวอย่างสำรวจพลางบันทึก หลังจากวางปากกาลงก็เช็ดใบหน้าด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย

เดิมทีหลังจากเขาทำงานเสร็จสิ้นก็สามารถออกจากห้องทดลองได้ ทว่าเจี่ยงสือเหิงก็ไม่ได้ออกไป เขานั่งเงียบๆอยู่อย่างนั้น พอเวลาล่วงเลยไปหนึ่งชั่วโมงและไม่มีใครเข้ามา เขาก็หยิบปากกาขึ้นพลางจัดการสะสางงานอื่นต่อ

ในที่สุดประตูทางเข้ามีการเคลื่อนไหว แต่กลับเป็นเซี่ยเจ๋อหลี่ที่เข้ามา

“พ่อบุญธรรม พวกเราไปทานข้าวกันเถอะครับ”

เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่เข้ามา นัยน์ตาของเจี่ยงสือเหิงเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ทำไมถึงเป็นนายล่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โครงการระดับพันล้านของมู่หลานเริ่มขึ้นแล้ว นึกไปถึงวันเปิดตัววันแรกเลย

พ่อบุญธรรมหวังให้ใครเข้ามาคะ?

ไหหม่า(海馬)