ตอนที่ 250 ทำไมนายไม่ทำหนังตลกต่อล่ะ

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ตอนที่ 250 ทำไมนายไม่ทำหนังตลกต่อล่ะ

เมื่อเทียบกับฉู่ขวงและเซี่ยนอวี๋ในวงการของตน อิ่งจือยังคงเป็นรองทั้งสองคนอยู่ไกลโข ทั้งในแง่ชื่อเสียงและอิทธิพล แม้แต่แฟนคลับซึ่งติดตามเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อพร้อมกันทั้งสามคน ก็มักจะมองอิ่งจือเป็นเงาจืดจางจนเคยชิน แต่หลังจากที่เรื่องจิตวิญญาณสือจี่เผยแพร่ออกไปและประสบความสำเร็จ ระยะห่างนี้จึงลดลงอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเมื่อมองในภาพรวมแล้ว อิทธิพลของอิ่งจือในวงการการ์ตูน จะยังคงไม่สามารถเทียบกับอีกสองคนได้เลยก็ตามแต่

นี่เป็นมุมมองของหลัวเวย

เมื่อได้เห็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของเรื่องจิตวิญญาณสือจี่เป็นประจักษ์แก่สายตา หลัวเวยก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ

ในสมองของเธอเต็มไปด้วยจินตนาการว่าหลังจากอิ่งจือกลายเป็นบุคคลชั้นนำในวงการการ์ตูน ก็ได้เดินจับมือกับฉู่ขวง คิดมากจนเธออดไม่ได้ที่จะเผลอสัปหงกไปเล็กน้อยเมื่อมาถึงออฟฟิศในวันรุ่งขึ้น

แต่ทว่า…

การสัปหงกก็ไม่ได้ช่วยข่มความตื่นเต้นและคาดหวังในตอนนี้ของเธอเลย

“ตอนนี้ต่อให้มีระยะห่างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต้องมีสักวันที่อิ่งจือจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับฉู่ขวงและเซี่ยนอวี๋”

หลัวเวยโอบกอดความคิดเช่นนี้

เมื่อเธอพบหน้าหลินเยวียนอีกครั้ง ความรู้สึกก็พลันซับซ้อนและสะท้อนใจ

ก่อนหน้านี้เธอนึกไม่ถึงว่าหลินเยวียนจะประสบความสำเร็จในวงการการ์ตูนในนามอิ่งจือได้มากถึงขนาดนี้ ไม่เพียงเชี่ยวชาญการวาดภาพ ยังเขียนบทการ์ตูนได้ดีมากเช่นเดียวกัน!

หลินเยวียนเองก็ปลื้มปริ่มเช่นกัน

เนื่องจากรายได้ซึ่งเข้ากระเป๋ามาหลังจากที่เรื่องจิตวิญญาณสือจี่โด่งดังนั้นน่าดูชมมากทีเดียว ค่าความโด่งดังด้านจิตรกรรมของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะการ์ตูนเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

“หัวหน้า”

จินมู่ซึ่งรับบทบาทผู้จัดการอย่างเต็มตัวก็กล่าวกลั้วหัวเราะ “ทันทีที่การ์ตูนเรื่องนี้ออกไป ป้ายของหัวหน้าในฐานะนักวาดบริสุทธิ์ก็นับว่าถูกฉีกทิ้งทันทีเลยล่ะครับ แต่พวกเรายังหยุดไม่ได้ จะต้องนั่งในตำแหน่งของหนึ่งในสามเสาหลักของปู้ลั่วให้มั่นคงซะก่อน”

หลินเยวียนนึกสงสัย “สามเสาหลัก?”

จินมู่ตอบ “ผมเองก็เพิ่งรู้หลังจากที่ช่วงนี้เช็กข้อมูลและทำความเข้าใจเหมือนกันครับ ผลงานสามอันดับแรกบนเว็บไซต์การ์ตูน โดยทั่วไปแล้วจะถูกเว็บไซต์อุ้มชูในฐานะเสาหลัก ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำบนเว็บไซต์ หรือโปรโมตนอกเว็บไซต์ ทรัพยากรที่ได้รับล้วนดีที่สุด เพราะเว็บไซต์เองก็ต้องการใช้อิทธิพลของผลงานระดับเสาหลักเพื่อสร้างความมั่นคงของตนในอุตสาหกรรมนี้เช่นเดียวกัน”

หลินเยวียนพยักหน้า

หลัวเวยซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงดัง “เรารีบอัปเดตให้เร็วขึ้นได้ค่ะ! ถ้าอยากทำผลงานได้ดีกว่านี้ ก็ต้องเร่งมืออัปเดตตอนใหม่ให้เร็วขึ้น! ฉันไม่กลัวงานหนักไม่กลัวเหนื่อย!”

“ฮ่าๆๆ ”

จินมู่หลุดหัวเราะ “ผู้ช่วยหลัวขยันขันแข็งจังเลยนะครับ แต่นักวาดที่มีชื่อเสียงแล้วในวงการ โดยทั่วไปแล้วจะมีผู้ช่วยหลายคน ต่อให้เราอยากเร่งมืออัปเดตให้เร็ว แต่ก็อาจไม่ได้เร็วกว่าคนอื่น นอกเสียจากว่าจะหาคนมาเพิ่ม…”

“เอ่อ”

หลัวเวยได้ยินดังนั้น ใบหน้าเล็กมุ่ยลง “อาจินไม่พอใจกับผลงานฉันหรือเปล่าคะ”

“ตรงกันข้ามเลยล่ะครับ”

จินมู่ตอบอย่างจริงจัง “ผู้ช่วยหลัวไม่ได้แค่มีฝีมือระดับผู้ช่วยแล้ว คุณแบ่งเบางานของหัวหน้าได้ครึ่งหนึ่งเลย ผมเลยอยากหาผู้ช่วยจริงๆ สักสองคน เพื่อช่วยแบ่งเบางานของหัวหน้ากับผู้ช่วยหลัวน่ะครับ”

หลัวเวยยิ้มเอ่ย “เรื่องนั้นฉันไม่มีปัญหาค่ะ”

เธอเป็นผู้ช่วยอันดับหนึ่งของหลินเยวียน ออฟฟิศอยากหาคนเพิ่ม ก็เป็นได้เพียงผู้ช่วยลำดับที่สองที่สาม ไม่ได้ส่งผลต่องานของเธอ หนำซ้ำยังช่วยงานเธอได้เยอะด้วย

หลินเยวียนพยักหน้า เพื่อบอกว่าตนไม่คัดค้าน

จินมู่พยักหน้า “อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการดัดแปลงปรินซ์ออฟเทนนิสเป็นอนิเมชัน ผมคุยกับเสินอี้แล้วนะครับ เรื่องเซ็นสัญญา…”

หลินเยวียนพูด “ผมอ่านสัญญาแล้วครับ ไม่มีปัญหา มอบอำนาจเต็มให้อาจินเซ็นแทนผมเลยครับ”

ระยะนี้จินมู่เจรจาเรื่องการดัดแปลงปรินซ์ออฟเทนนิสเป็นอนิเมชัน จนท้ายที่สุดจึงตัดสินใจเซ็นสัญญากับเสินอี้

เสินอี้เป็นบริษัทที่มีกำลังในการแข่งขันที่สุดในบรรดาบริษัทผลิตอนิเมชันที่สนใจเรื่องปรินซ์ออฟเทนนิส ชื่อเสียงของอนิเมชันที่ผลิตนั้นอยู่ในทางที่ดีมาโดยตลอด

จินมู่เคยคุยกับหลินเยวียนไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมไปถึงเรื่องสัญญา

……

ช่วงเวลาหลังจากนั้น จินมู่ก็หาผู้ช่วยเข้ามาในออฟฟิศของอิ่งจือ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสองและผู้ช่วยสามในการผลิตเรื่องจิตวิญญาณสือจี่ แบ่งเบาภาระงานของหลินเยวียนกับหลัวเวยไปได้มากจริงๆ

และเมื่อการอัปเดตตอนใหม่ดำเนินต่อไป

เรื่องจิตวิญญาณสือจี่นี้ก็ครองอันดับสามอย่างมั่นคง ไม่มีวี่แววว่าจะตกอันดับแต่อย่างใด

แน่นอนว่าไม่ได้ไต่อันดับสูงขึ้นกว่าเดิม

สำหรับเรื่องนี้หลินเยวียนไม่ได้ผิดหวัง ถ้าอยากให้เรื่องจิตวิญญาณสือจี่ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งบนเว็บไซต์ นับเป็นเรื่องอยากเรื่องหนึ่งเลย แม้ว่าการ์ตูนเรื่องนี้จะยอดเยี่ยมมาก แต่ก็ไม่สามารถประมาทนักวาดการ์ตูนบนบลูสตาร์ได้

ยิ่งไปกว่านั้น…

หมวดหมู่ของการ์ตูนซึ่งได้รับความนิยมตลอดกาลจากนักอ่านจากมณฑลฉินและฉี ก็คือหมวดแอกชันต่อสู้ดุเดือด และไม่เคยมีบริษัทการ์ตูนบริษัทไหนที่การ์ตูนเรือธงอยู่นอกเหนือจากแนวต่อสู้

อีกเรื่องหนึ่ง

นอกจากเรื่องการ์ตูนแล้ว ในที่สุดหลินเยวียนก็ขบคิดเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องที่สองของตนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเข้าไปหาเหล่าโจว

“หนังเรื่องใหม่”

เหล่าโจวได้ฟังเหตุผลที่หลินเยวียนมาหา ก็พลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “บทหนังเรื่องต่อไปของนายเขียนเสร็จแล้วเหรอ เอามาให้ฉันดูหน่อยสิ ทางแผนกภาพยนตร์เราต้องศึกษาก่อน ดูว่าบริษัทจะลงทุนเท่าไหร่ถึงเหมาะสม!”

หลินเยวียนเอ่ย “ผมอยากลงทุนเหมือนกันครับ”

เมื่อได้สัมผัสถึงความหอมหวานของผลตอบแทนจากเรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศ ตอนนี้หลินเยวียนจึงอยากลงทุนในภาพยนตร์เองบ้าง

เหล่าโจวชะงักไป “นายอยากลงทุนเหมือนกัน?”

หลินเยวียนพยักหน้า “ไม่ได้เหรอครับ”

เหล่าโจวกล่าวกลั้วหัวเราะ “ได้ก็ได้อยู่หรอก แต่อัตราส่วนของการลงทุนขึ้นอยู่กับบริษัทตัดสินใจ พอถึงตอนนั้นพวกเราค่อยว่ากันอีกที ขอดูบทก่อนได้ไหม”

“ครับ”

หลินเยวียนหยิบบทเรื่องนักปรับเสียงเปียโนซึ่งตนเพิ่งทำเสร็จในช่วงนี้ออกมา

ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อเรื่อง

เพียงเพิ่มชื่อ ‘นักเปียโน’ เมื่อภาพยนตร์ออกฉาย

เหล่าโจวพลิกอ่านบทภาพยนตร์ต่อหน้าหลินเยวียน

เปิดไปมาได้ไม่ถึงห้านาที จู่ๆ เหล่าโจวก็เงยหน้าขึ้นมองหลินเยวียน กล่าวอย่างใช้ความคิด “หนังเรื่องนี้…เอิ่ม เหมือนจะคนละแนวกับหนังเรื่องก่อนหน้านี้นะ?”

“ไม่เหมือนกันครับ”

หลินเยวียนเอ่ย “ครั้งนี้เป็นแนวระทึกขวัญครับ”

เหล่าโจวขมวดคิ้วทันที ทว่าเขาตั้งตัวทัน หัวคิ้วจึงกระตุกเพียงเล็กน้อย “ทำไมนายไม่ทำหนังตลกต่อล่ะ”

คำถามนี้ปกติเหลือเกิน

คนที่มีสารบบความคิดปกติ ต่างก็รู้ว่าภาพยนตร์เรื่องใหม่ของหลินเยวียนควรเป็นภาพยนตร์ชวนหัวไร้แก่นสาร

กระโดดจากหนังตลกมาเป็นหนังระทึกขวัญเลยหรือ

ตัวเลือกนี้ชวนให้รู้สึกสับสนเสียยิ่งกระไร

ทั้งที่เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศเพิ่งพิสูจน์ความสำเร็จไปแล้วแท้ๆ

ตราบใดที่หลินเยวียนยังคงผลิตภาพยนตร์ที่คล้ายกันตามเดิม ทางที่ดีควรใช้นักแสดงและทีมงานชุดเดิม ยอดบ็อกซ์ออฟฟิศไม่มีทางย่ำแย่อย่างแน่นอน!

แม้แต่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยังหวังว่าเหล่าโจวจะคุยกับหลินเยวียน ว่าสร้างถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศภาคสองได้หรือไม่

ปรากฏว่าไม่เพียงไม่มีภาคสอง บทภาพยนตร์เรื่องใหม่ของหลินเยวียนนั้นเปลี่ยนไปแม้แต่หมวดหมู่และสไตล์!

นี่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบของวงการภาพยนตร์และโทรทัศน์เอาซะเลย

หลินเยวียนพูด “มีแค่เรื่องนี้ครับ”

หลินเยวียนเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร เพราะระบบให้มาแค่เรื่องนักปรับเสียงเปียโน

เขาเลือกไม่ได้

เหล่าโจวคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าท้ายที่สุดแล้วเพียงแค่พยักหน้า “งั้นฉันจะกลับไปศึกษาบทดูอีกที”

…………………………………………….