ตอนที่ 282 คำพูดชวนหลงใหล
ตอนที่ 282 คำพูดชวนหลงใหล
ด้วยความกลัวว่าซูเถาจะไม่เห็นพวกเขา เหลยสิงเลยขอให้คนขับอย่างหั่วเสอเปิดเพลงเสียงดังขึ้น เพื่อทำให้ขบวนรถรอบ ๆ ต้องเปิดหน้าต่างเพื่อดู
สวี่ฉางซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังกระแอมถึงสองครั้ง “กัปตันเหลย คุณสะดุดตามาก”
เหลยสิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ต้องทำอย่างนี้แหละ”
เขาน่าดึงดูดขนาดนี้ ซูเถาจะมองไม่เห็นเขาได้ยังไง?
ซูเถาไม่อยากสนใจพวกเขาก็คงไม่ได้ เพราะเสียงเพลงที่มีชีวิตชีวาแทบจะเปลี่ยนถนนสายนี้ให้กลายเป็นเวที
เฉินหยางผู้ซึ่งอยู่เคียงข้างหม่าต้าเพ่ารู้สึกตื่นเต้นมากที่สุด เขาโผล่หัวออกไปนอกหน้าต่างและตะโกนใส่เหลยสิง
“พี่ใหญ่เหลย…”
เหลยสิงเพียงแค่เอนร่างกายครึ่งหนึ่งของเขาออกไปนอกหน้าต่าง พร้อมกับผิวปากและโบกมือให้พวกเขา เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้พวกเขาขับรถเร็วขึ้น
จากนั้นก็บอกหั่วเสอให้ขับรถช้า ๆ โดยคิดว่าเขาจะสามารถพูดคุยกับซูเถาได้สักสองสามคำ
อย่างไรก็ตาม คนขับรถของซูเถาคือเฉินเทียนเจียว เขามองไปที่ดวงตาของสือเหล่าต้าและฉลาดมากที่เขาเลือกจะขับรถไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เพราะว่าเขาไม่เข้าใจสัญญาณของเหลยสิง
หั่วเสอตะโกนกลับมาบอกว่า “คนขับรถของเธอคือคนของสือจื่อจิ้น”
เหลยสิงแสดงความไม่พอใจออกมา “เบี่ยงรถไปด้านหน้าพวกเขา วันนี้ฉันต้องพูดอะไรบางอย่างกับซูเถา เร็วเข้า ก่อนที่พวกเขาจะแซงไปเสียก่อน”
หั่วเสอชะลอรถพร้อมกับหมุนพวงมาลัยไปด้านข้าง เพื่อเปลี่ยนเลนไปวิ่งอยู่หน้ารถพวกเขา
เมื่อเฉินเทียนเจียวผู้รับหน้าที่ขับรถ ถูกรถอีกคันมาปาดหน้าก็รู้สึกไม่พอใจ
รถของทั้งสองอยู่ใกล้กันมัน แต่พวกเขาก็ยังไม่สัมผัสกัน
การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ผู้คนในขบวนรถโดยรอบจำขบวนของกลุ่มเป้าถูได้ และมีรถหลายคันทักทายเหลยสิง
เหลยสิงก็ตอบรับผู้คนที่ทักทายเขาอย่างเป็นมิตร และแข่งขันกับเฉินเทียนเจียวต่อไป
ผู้คนในกลุ่มเป้าถู ขี้เล่นมาก และได้เล่นเกมไล่ล่าแบบนี้ ก็ลืมเรื่องเจ้านายที่มาจากฉางจิง ที่นั่งอยู่ข้างหลังไปเสียสนิท
สวี่ฉางไม่เข้าใจ ดังนั้นเขาจึงถามว่า “พวกนายกำลังทำอะไร?”
ต้าจุ่ยเป็นคนเดียวที่กลัวผู้นำจะไม่พอใจ เขาเกาหัวแล้วพูดว่า “พอดีเจอคนที่รู้จัก”
สวี่ฉางมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
ต้าจุ่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกระซิบว่า “ผู้หญิงที่เจ้านายเราชอบนั่งอยู่รถคันข้างหลัง”
สวี่ฉางรู้สึกว่าเขาคงอายุมากแล้ว จึงไม่เข้าใจการจีบผู้หญิงคือการขับรถขวางเธอ?
เขาก็เลยพูดออกมาตรงประเด็น “ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะไม่สนใจเจ้านายของนายนะ”
เพราะถ้าเธอสนใจจริง ๆ เธอคงมาทักทายและได้พูดคุยกันไปแล้ว
ต้าจุ่ยปฏิเสธที่จะยอมรับ “นายจะว่าแบบนั้นไม่ได้ เพราะว่าคนขับรถของเธอมีอคติต่อเหล่าต้าของเรา เขาคงไม่อยากให้เถ้าแก่ซูได้เจอกับเหล่าต้า เฮ้อ นายอย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าเจ้านายของเรานะ ไม่งั้นเขาคงระเบิดลงแน่”
สวี่ฉางยิ้มและส่ายหัว และหลังจากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก และปล่อยให้เป็นเรื่องของคนหนุ่มสาว
เขาอายุมากแล้ว และไม่รู้ว่าจะหาลูกสาวเจออีกหรือไม่ และจะมีโอกาสได้เห็นภาพชายหนุ่มไล่จีบเธอหรือเปล่า
…
ซูเถาเสียอารมณ์เพราะการเคลื่อนไหวที่คดเคี้ยว “เฉินเหล่าเอ้อร์ ทำอะไรน่ะ ฉันเวียนหัว”
สือจื่อจิ้นสนับสนุนเขาอย่างใจเย็น
“ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รถของเป้าถูมาขวางเราไว้ เฉินเหล่าเอ้อร์ก็เลยพยายามที่จะหลบหลีกพวกเขา”
ซูเถาเกิดความสงสัย ไม่รู้ว่าทำไม่จู่ ๆ เหลยสิงถึงทำแบบนี้
ทั้งสองทีมแข่งขันกันจนถึงจุดแวะพักสถานีสุดท้าย ก่อนที่จะหยุดลง
เหลยสิงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร ก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ
เมื่อเขาลงจากรถ ก็เดินไปหาเฉินเทียนเจียวด้วยท่าทางฉุนเฉียว และผลักเขาทันทีที่เผชิญหน้ากับเขา “จงใจ?”
ตั่งซิ่งเหยียน ผลักเขากลับไปทันที “คุณต้องการทำอะไร? หาเรื่องเหรอ?!”
หั่วเสอเมื่อเห็นว่าเจ้านายกำลังเสียเปรียบ หลังจากเขาสบถออกมาก็รีบวิ่งไปเพื่อเตรียมตัวปะทะ แต่ถูกเหลยสิงรั้งไว้
ส่วนคนอื่น ๆ ก็เกิดอารมณ์โทสะเช่นเดียวกัน และพุ่งตัวไปข้างหน้า
โจวไห่และโจวหยางเกร็งกล้ามเนื้อและตั้งท่าโจมตี จากนั้นบรรยากาศทั้งสองฝ่ายก็ตึงเครียดขึ้น
เมื่อเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ซูเถาก็ลงจากรถและจ้องมองทั้งสองฝ่าย
“คิดจะต่อสู้กันอย่างนั้นเหรอ อากาศร้อนทำให้พวกคุณสมองเพี้ยนไปแล้วหรือไง?”
เมื่อเหลยสิงเห็นเธอและได้ยินเสียงของเธอ หัวใจของเขาก็ชาวาบไปชั่วขณะ
บรรยากาศที่เย็นยะเยือกในตอนแรกก็เปลี่ยนไป หั่วเสอถามต้าจุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ เขาด้วยเสียงต่ำ
“ฉันไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไปใช่ไหม ทำไมฉันถึงคิดว่าเป็นเสียงของเถ้าแก่ซู…”
เขาอยากจะพูดอะไรแปลก ๆ แต่เขากลัวว่ากัปตันเหลยจะได้ยิน ดังนั้นเขาจึงได้แต่อ้าปากค้างและกลืนคำพูดเหล่านั้นเข้าไป
ต้าจุ่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เหลยสิงไม่ได้คิดมากขนาดนั้น
เขาแค่รู้สึกว่าซูเถาที่เขาไม่ได้เจอมานานสามารถพรากวิญญาณของเขาไปด้วยคำพูดเพียงคำเดียว แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญ แต่เขาอยากจะพูดกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าว่าเขาอยากใช้ชีวิตที่เหลือกับเธอ
ซูเถาพูดด้วยความโกรธ “ฟางจือ! ช่วยมาทำให้พวกเขาเย็นลงหน่อย”
หลินฟางจือไม่สนใจว่าใครจะชนะใคร เขายัดขวดน้ำแร่แช่เย็นใส่มือของพวกเขา และพูดอย่างไร้อารมณ์
“ไปที่หลังรถบ้าน แล้วเอาน้ำนี่ล้างหน้าเพื่อสงบสติอารมณ์”
หั่วเสอและคนอื่น ๆ ลืมเรื่องการปะทะคารมณ์ไปเสียสนิท พวกเขารับน้ำเอาไว้แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง
ความโกรธของเหลยสิงหายไปเมื่อเห็นอีกฝ่าย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องระบายความร้อนทางร่างกาย
เขาต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างกับซูเถา แต่ซูเถาไม่สนใจเขา
เหลยสิงรู้สึกละอายใจ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำให้เธอเกิดความไม่พอใจ แต่ดวงตาของเขายังคงจับจ้องที่เธอ
สือจื่อจิ้นมายืนซ้อนข้างหลังเธอ
ซูเถาหันไปหาต้าจุ่ยผู้ซื่อสัตย์เพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ต้าจุ่ยอธิบายทุกอย่างและสุดท้ายก็เสริมว่า
“เหลยเหล่าต้ามีเรื่องจะคุยกับคุณสองสามประโยค เขาไม่ได้มีเจตนาอื่น แต่ว่าคนของพลตรีสือไม่ไว้หน้ากันเลย เขาก็เลยร้อนใจนิดหน่อย”
ซูเถาถามว่า “มีเรื่องอะไรเร่งด่วนที่จะบอกฉันเหรอ จริง ๆ โทรมาหรือส่งข้อความมาหาฉันก็ได้นะ”
ต้าจุ่ยเกือบสำลัก
การสนทนาผ่านตัวอักษร มันจะไปเหมือนการสนทนากันตัวต่อตัวได้ยังไง?
“อะ ฮึ่ม”
เมื่อต้าจุ่ยได้ยินเสียงกระแอมนี้ เขาก็รู้ทันทีว่าผู้นำคนนั้นยังอยู่ที่นั่น เขาเลยรีบแนะนำ
“หัวหน้าสวี่ นี่คือเถ้าแก่ซูจากเถาหยาง เถ้าแก่ซู นี่คือหัวหน้าสวี่จากฉางจิง ซึ่งมาจากแผนกพัฒนาและกำกับดูแล”
สวี่ฉางก็ไม่รังเกียจที่ต้าจุ่ยไม่สามารถออกเสียงชื่อเต็มของแผนกของเขาได้ เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นซูเถา
“คุณอายุเท่าไร?”
ซูเถารู้สึกว่าคน ๆ นี้ค่อนข้างดูเป็นทางการ ดูจากการวางตัวของเขาแล้ว ดูเหมือนเขาจะอายุประมาณ 40-50 ปี ดังนั้นเธอจึงทำตัวเหมือนเป็นรุ่นน้องและพูดอย่างเชื่อฟัง “อายุ 19 ปีค่ะ”
ในความเป็นจริง อีก 3 เดือนเธอจะอายุครบ 19 แต่เมื่อเธอออกไปข้างนอก เธอมักจะบอกคนอื่นเสมอว่าเธออายุ 20 ปี แต่เป็นเพราะสวี่ฉางดูไม่ใช่คนโง่ เธอจึงซื่อสัตย์
สวี่ฉางพยักหน้าและถามอีกครั้ง “เถาหยางอยู่ตรงไหนเหรอ”
ไม่น่าแปลกใจที่เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ เพราะชื่อเสียงของเถาหยางเพิ่งโด่งดังในทางใต้ และยังไม่มีข่าวคราวในทางเหนือ
การสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตในวันสิ้นโลกนั้นไม่เสถียรและมีข้อจำกัดในระดับภูมิภาค และข่าวสารจำนวนมากก็ไม่เร็วเท่าที่จะสามารถส่งได้เหมือนก่อนวันสิ้นโลก
ซูเถาพูดอย่างสุภาพ “เป็นสถานที่เล็ก ๆ ถัดจากฐานตงหยางค่ะ”
สวี่ฉางเคยได้ยินชื่อเสียงของตงหยาง และได้ยินมาว่าอดีตผู้นำกองทัพที่เกษียณแล้วได้ยื่นคำร้องเป็นการส่วนตัวสำหรับการอุทิศตน และฉางจิงก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้เช่นกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
สวี่ฉางก็คิดว่าเถาหยางเป็นสถานที่ชุมนุมเล็ก ๆ ถัดจากตงหยาง
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ค่อนข้างสงสัย “คุณเป็นผู้จัดการของเถาหยางเหรอ”
ค่อนข้างหายากสำหรับเด็กสาวที่บอบบางที่จะได้เป็นผู้จัดการสถานที่ในวันสิ้นโลก
ซูเถาลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่ยอมรับในทันที
ในความเป็นจริง ก่อนที่เธอจะออกเดินทาง เธอวางแผนที่จะผลักดันให้หม่าต้าเพ่าหรือจวงหว่านเป็นผู้จัดการที่เฉิดฉายของเถาหยาง
เหตุผลที่เธอไม่อยากแสดงตัวในที่สาธารณะเป็นเพราะว่าเธออายุยังน้อย และใครก็ตามที่พบเห็นจะมีอคติที่ไม่ไว้วางใจเพราะเธออาจะดูไม่น่าเชื่อถือ
ประการที่สองคือการที่เธอมีระบบ มันอาจไม่ดีนักถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป การที่เธอเก็บเรื่องนี้เอาไว้เป็นความลับน่าจะปลอดภัยกว่า
เมื่อสือจื่อจิ้นมาหาเธอ ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ และชี้ไปที่หม่าต้าเพ่าซึ่งกำลังสนทนากับผู้คนอยู่ไม่ไกล และพูดกับสวี่ฉาง “นั่นคือผู้จัดการหม่าจากเถาหยาง”
นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก และสิ่งที่สวี่ฉางได้ยินก็ทำให้เขาเชื่อว่าหม่าต้าเพ่าเป็นผู้จัดการที่แท้จริง
เขาพยักหน้า ใช่แล้ว ผู้จัดการหม่าคนนั้นดูเหมือนคนที่สื่อสารและจัดการเก่งจริง ๆ
สวี่ฉางมองไปที่สือจื่อจิ้นทันที “แล้วคุณล่ะ? ผมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา เหมือนพวกเราเคยเจอกันมาก่อน”