บทที่ 232 กระเป๋านักเรียนที่เป็นปัญหา

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 232 กระเป๋านักเรียนที่เป็นปัญหา

บทที่ 232 กระเป๋านักเรียนที่เป็นปัญหา

ภายใต้การดูแลของซูฉางจิ่ว เด็กสิบกว่าคนพร้อมทั้งกระเป๋าสีเขียวทหารปักดาวสีแดงไปอำเภอด้วยการนั่งรถไถของชุมชนอย่างยิ่งใหญ่

กระเป๋าสีเขียวทหารนับว่าเป็นภาพน่าชมของอำเภอด้วย

ทันทีที่ลงจากรถ คนในเมืองต่างมองด้วยความอิจฉา

เด็กบางคนก็รบกวนพวกผู้ใหญ่ว่าอยากได้เหมือนกันบ้าง แต่ไม่ใช่ทุกครอบครัวที่สามารถทำให้ได้

ยิ่งถ้าเป็นกระเป๋านักเรียนสีเขียวทหารด้วยแล้วยิ่งหายาก

มีคนอดตำหนิดพวกเสี่ยวเถียนไม่ได้

“ไม่รู้ว่าบ้านใครมันสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ ผ้าก็ดีแต่ทำได้แย่นัก ทำไมถึงตัดเอามาทำเป็นกระเป๋ากัน?”

“ใช่ ๆ สุรุ่ยสุร่ายเหลือเกิน! ผ้าเยอะขนาดนี้พอที่จะทำเสื้อผ้าได้ตัวนึงเลยนะ!”

แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น เพราะมันเป็นสิ่งของคนอื่น พวกเขาเลยทำได้แค่พูด

เสี่ยวเถียนมาอำเภอหลายรอบแล้ว แต่ไม่เคยโดนคนห้อมล้อมขนาดนี้มาก่อนเลย ครั้งนี้จึงตกเป้าสายตาของทุกคน

เธอมองไปรอบ ๆ ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขามองที่ตนเอง ที่แท้ก็เป็นเพราะกระเป๋านี้เอง

ภายใต้สายตาอิจฉาของผู้คนมากมาย พวกเสี่ยวเถียนจึงมุ่งหน้าไปบ้านของอาใหญ่

ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปบ้านตัวเอง แต่ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน และมีแค่อาใหญ่เท่านั้นที่อยู่บ้าน

พอหม่านซิ่วเห็นเด็ก ๆ และหัวหน้าซูมาที่บ้านก็รู้สึกตกใจ

“พวกเธอมาแล้ว ได้ยินว่าพรุ่งนี้เปิดเรียน ยังคิดอยู่เลยว่าทำไมยังไม่มาอีก” ซูหม่านซิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม

ในขณะเดียวกันก็ต้อนรับทุกคนอย่างอบอุ่น และชวนให้ทุกคนเข้ามานั่งในบ้าน

หลังจากที่ซูฉางจิ่วเข้าไปในบ้านก็ดื่มน้ำแก้วนึง แล้วส่งเด็ก ๆ ให้ ก่อนเขาจะกล่าวอย่างสุภาพและหมายจะจากไป

แต่ซูหม่านซิ่วปฏิเสธ โดยบอกให้เขากินข้าวก่อนแล้วค่อยเดินทางกลับชุมชน

แต่อีกฝ่ายไม่ยอม บอกว่ามีหลายเรื่องที่น่ากังวลต้องไปให้ได้

ใกล้เที่ยงแล้ว เพราะงั้นหม่านซิ่วจึงฝากลูกชายไว้กับเด็ก ๆ ส่วนตัวเองรีบเข้าครัวไปทำอาหาร

เสี่ยวเฉ่าและเสี่ยวเหมยมองหน้ากัน ก่อนจะไปหาหม่านซิ่วพร้อมกับธัญพืชถุงน้อย

“น้าหม่านซิ่ว”

“อาหม่านซิ่ว!”

เด็กสาวตะโกนขึ้นพร้อมกัน ก่อนซูหม่านซิ่วจะหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม

“พวกเธอสองคนเอาอันนี้มาทำอะไรหรือ?” ซูหม่านซิ่วมองถุงในมือพวกเด็ก ๆ แล้วเอ่ยถาม

“พ่อบอกให้หนูเอามาค่ะ ครั้งก่อนมากินข้าวที่บ้านอาหลายวัน พ่อบอกว่าอาหม่านซิ่วอยู่ในเมืองไม่ว่าอะไรก็ต้องซื้อทุกอย่าง ไม่สะดวกสบายเท่าที่ชนบท เลยให้หนูเอามาค่ะ”

ซูเสี่ยวเฉ่าพูดด้วยรอยยิ้มขณะยื่นถุงในมือให้

จริง ๆ เสี่ยวเฉ่าเป็นเด็กขี้อาย แต่เพราะหม่านซิ่วคอยดูแลพวกเธอจึงสนิทกับอีกฝ่ายขึ้นนิดหน่อย

ส่วนเสี่ยวเหมยวางถุงในมือลงบนโต๊ะแล้วเอ่ย “น้าคะ แม่บอกว่าเสี่ยวกังกับหนูจะรบกวนคุณมากขึ้นนับจากนี้ ถ้าไม่รับอาหารไป พวกเราสองพี่น้องคงไม่กล้ามาหาอีก!”

หม่านซิ่วได้ยินก็อดจิ้มหน้าผากเสี่ยวเหมยอย่างตำหนิไม่ได้ “เด็กคนนี้ พูดจ้อเชียวนะ ถ้าฉันไม่รับจริง ๆ ขึ้นมาก็จะไม่มาเลยใช่ไหม?”

เสี่ยวเหมยยิ้ม “ใช่ค่ะ ไม่กล้ามาแล้ว สามีน้าต้องทำงานคนเดียวเลี้ยงคนที่บ้านสามคนก็ยากแล้ว หนูจะมีหน้ามาอีกได้ยังไงกัน?”

หม่านซิ่บขบคิด ที่เธอพูดก็ล้วนมีเหตุผล ถ้าครั้งนี้เธอไม่รับไว้ ไม่แน่ว่าเด็กพวกนี้คงไม่มาหาอีกแน่ ๆ ในอนาคต

เสี่ยวเถียนเดินเข้ามาเห็นฉากนี้พอดี จึงคลี่ยิ้ม “อาใหญ่คะ นี่เป็นคำขอของป้าเถาฮวากับลุงหัวหน้านะ อารับไว้เถอะ!”

พูดกับผู้เป็นอาเสร็จ เธอก็พูดกับพี่สาวทั้งสอง “พี่เสี่ยวเหมย พี่เสี่ยวเฉ่า ถ้ารอบหน้ามาอีกเอาฟักทอง ผักกาดขาว แล้วก็หัวไชเท้าที่บ้านเราทำมาด้วยนะคะ”

คนอื่นไม่รู้ แต่เสี่ยวเถียนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคุณย่าคอยหนุนบ้านลูกสาวคนโตด้วยตั๋วธัญพืชไม่น้อย

แต่ให้แค่ตั๋วธัญพืช ไม่ได้ให้ธัญพืชหรือเงิน

พอดีกับที่ในมือเฉินจื่ออันมีเงินและมีตั๋วธัญพืชอยู่ ครอบครัวที่มีสมาชิกสามคนเลยอยู่ดีกินดี กินข้าวขาวและแป้งสาลีบ่อยมาก แทบไม่มีธัญพืชทั่วไปอยู่บนโต๊ะเลย

“ใช่ ถ้ามาอีกเอาเป็นผักมาก็พอแล้ว” ซูหม่านซิ่วรีบกล่าว

เสี่ยวเหมยยิ้ม “น้าหม่านซิ่ว หัวไชเท้ากับผักกาดอะไรนั่นไม่มีค่าเลย หนูจะเอามาให้อาทำไมคะ!”

สำหรับชาวไร่ชาวนา ธัญพืชเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เพราะงั้นจึงเลือกส่งสิ่งนี้มาให้ครอบครัวหม่านซิ่ว

“ไม่คุ้มเงินน่ะสิ น้าซื้อได้นะ แต่มันไม่สด สู้ที่พวกเธอปลูกไม่ได้หรอก” ซูหม่านซิ่วอธิบาย

ถ้าที่บ้านมีแปลงที่ปลูกได้นะ ไม่งั้นก็ไม่ต้องไปต่อแถวแย่งซื้อกันตายหรอก!

“แต่รอบนี้หนูเอาผักมาเยอะแยะเลยนะคะ ดูสิคะ กุยช่าย หัวไชเท้า กระเทียม ถั่ว อยากได้อะไรมีหมดเลย!” ซูเสี่ยวเถียนพูดด้วยรอยยิ้มสดใส

ครอบครัวอาใหญ่ไม่ขาดแคลนอาหารและเงินนัก แต่จู่ ๆ ก็มีเด็กมาอยู่เยอะขนาดนี้จะต้องขาดมันแน่นอน

คุณย่าซูเตรียมผักไว้เลยให้เธอเอามา แน่นอนว่าเธอไม่ลืมที่จะเอาเนื้อแห้งมาให้อาใหญ่ด้วย

มีไก่ตากแห้ง กระต่ายป่า หมูป่า และเนื้อแพะ ทั้งหมดล้วเป็นของที่เก็บได้นาน

แต่ตอนนี้เสี่ยวเถียนไม่ได้บอกว่าตัวเองเอาเนื้อมาให้เยอะเลย

“พี่เสี่ยวเหมย พี่เสี่ยวเฉ่า คิดดูสิคะ คนตั้งเยอะกินผักไม่น้อยเลย แปลงผักบ้านอาใหญ่มันเล็ก กินสองมื้อก็หมดแล้ว!”

ทั้งสิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่กลับรู้สึกว่าเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด

มันผิดปกติตรงไหนนะ?

“ธัญพืชพวกนี้ฉันจะรับไว้แล้วกัน แต่รอบหน้าไม่ต้องเอามาแล้วนะ” ซูหม่านซิ่วพูดและหยิบโถข้าวออกมาเพื่อเตรียมทำอาหาร

ข้าวพวกนี้ พี่สามแอบซื้อมาให้ตอนเด็ก ๆ มาสอบ

เดิมทีเธอไม่ได้เอ่ยปากขอ แต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่อยากให้เธอคอยหนุนครอบครัวที่บ้าน ไม่งั้นจะโดนสามีไม่ชอบเอาได้

ภายใต้มุมมองของพี่สาม การแต่งงานของน้องใหญ่เป็นการแต่งงานกับผู้ที่มีสถานะสูงกว่า

คงจะเศร้าถ้าโดนน้องเขยใหญ่ดูถูกเพราะเอาอาหารพวกนั้นมาเลี้ยงหลาน ๆ

แต่ตอนนี้พวกเขาทำงานเป็นคนงานในเมืองแล้ว มีเงินเดือนและตั๋วเพิ่มขึ้น รวมถึงตั๋วที่คนจากบ้านคอยหนุนด้วย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถ้าจะซื้อของให้

แต่เรื่องนี้ซูหม่านซิ่วไม่ได้ปิดบังต่อสามี

ตอนนั้นสามีกล่าวด้วยรอยยิ้มด้วยซ้ำว่า ญาติควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำอะไรต้องชัดเจน ไม่มีอะไรมากมายเลย

แต่ก็คิดในใจเหมือนกันว่าตระกูลซูได้ตั๋วมาจากไหน

เขาสงสัยด้วยซ้ำว่าเป็นของปลอมหรือเปล่า

แต่มันคือของจริง ไม่สามารถจริงได้มากกว่านี้อีกแล้ว