บทที่ 221 แรงกระตุ้น

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 221 แรงกระตุ้น

ไป๋ชิวหรานหวีผมของเจียงหลานให้เรียบเสมอกัน จากนั้นจึงสอดปิ่นปักผมหยกที่เป็นมรดกตกทอดจากมารดาของนางเข้าไปในมวยผมจนได้ที่แล้วส่งคืนหวีไม้ให้กับเจ้าของเดิม

หลังจากนั้น ทั้งสองก็ไม่สนทนาอะไรกันอีก เจียงหลานขอให้ไป๋ชิวหรานพานางออกไปนอกห้อง

นางต้องการทำความรู้จักกับซูเซียงเสวี่ยและคนอื่น ๆ เต็มประดา

หลังจากที่พวกเขาออกมาแล้ว เมื่อถามไถ่จากสาวรับใช้ ไป๋ชิวหรานกับเจียงหลานจึงรับรู้ว่าซูเซียงเสวี่ยและหญิงสาวอีกสองคนได้รับการรับรองเป็นอย่างดีโดยหลินรุ่ยอยู่ภายในห้องโถงด้านข้าง เจียงหลานจึงเดินเข้าไปอย่างไม่รอช้า

ทันทีที่พวกเขาเห็นไป๋ชิวหรานและเจียงหลานเดินเข้ามา หญิงสาวทั้งสามที่กำลังพูดคุยและหัวเราะกันอยู่พลันหยุดการสนทนา ดวงตาของพวกนางจับจ้องไปยังเจียงหลานที่ยืนอยู่เคียงข้างไป๋ชิวหราน

“อาจารย์”

ถังรั่วเวยมองไปที่เจียงหลานพร้อมเอ่ยถาม

“แม่นางผู้นี้ใช่…”

“ใช่แล้ว”

ชายหนุ่มผายมือไปที่เจียงหลานแล้วแนะนำนางว่า

“เรียกนางว่าอาจารย์หญิงสิ”

“อาจารย์หญิง”

ถังรั่วเวยทักทายเจียงหลาน ทว่าสายตาจับจ้องไปยังซูเซียงเสวี่ยและหลีจิ่นเหยาด้านข้างว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร

หลีจิ่นเหยาเหลือบมองเจียงหลานเล็กน้อย เจียงหลานมีรูปร่างเล็กราวเด็กสาวอายุสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น ก่อนจะก้มลงมองสัดส่วนของตนเองแล้วบุ้ยริมฝีปาก

“ผู้อาวุโสไป๋ ท่านเคยบอกไม่ใช่หรือว่าท่านชื่นชอบสตรีรูปร่างดี?”

“ใช่”

ไป๋ชิวหรานไม่ได้ปฏิเสธ

หลีจิ่นเหยามองไปที่เจียงหลานอีกครั้งและกล่าวต่อ

“คงจริงที่ว่าบุรุษมักกล่าวอย่างหนึ่งและกระทำอีกอย่างหนึ่ง”

“หมายความว่าอย่างไร?”

ไป๋ชิวหรานงงงวย

“เอาล่ะ ชิวหราน”

เจียงหลานขัดจังหวะความคิดของเขา

“เจ้าช่วยแนะนำพวกนางให้ข้าได้รู้จักดีหรือไม่?”

ดังนั้นไป๋ชิวหรานจึงแนะนำซูเซียงเสวี่ยและคนอื่น ๆ เช่นเดียวกันกับที่แนะนำให้หลินรุ่ยได้รู้จักบนลำเรือ จากนั้นจึงแนะนำให้พวกนางรู้จักกับเจียงหลานอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากการแนะนำตัวเสร็จสิ้น หลีจิ่นเหยากลับมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเอาเสียเลย

ทว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ภายใต้สายตาของเจียงหลาน ดังนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นว่า

“เจ้าออกไปเดินเล่นก่อนสักครู่เถิด ให้ข้าได้พูดคุยทำความรู้จักกับพวกนางสักประเดี๋ยว”

“ข้าอยู่ด้วยไม่ได้รึ?”

ชายหนุ่มถามกลับ

“ขืนเจ้าอยู่ต่อไปก็คงไม่เข้าใจนิสัยประสาสตรีเป็นแน่”

เจียงหลานไม่รอให้ชายหนุ่มหยิบยกเหตุผลอื่นมาหักล้าง ผลักเขาออกไป ก่อนจะตะโกนเรียกเสียงดัง

“หลินรุ่ย”

“เจ้าค่ะ”

“พานายท่านออกไปเดินเล่นทีเถิด”

“ได้เจ้าค่ะ”

ไป๋ชิวหรานมองไปยังประตูวิหารที่อยู่ข้างหลัง ก่อนมองเลยออกไปยังหญิงสาวสะสวยในชุดดำที่ยืนอยู่ด้านหลังเช่นกัน

“อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะนายท่าน”

หลินรุ่ยส่งยิ้มให้เขา

“นายหญิงมีวุฒิภาวะ ไม่มีทางต่อสู้กับพวกนางอย่างแน่นอน”

“เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าพวกนางจะต่อสู้กันเล่า?”

ไป๋ชิวหรานโคลงศีรษะ

จากสิ่งที่เขารับรู้เกี่ยวกับเจียงหลานและซูเซียงเสวี่ย หญิงสาวทั้งสองต่างมีความเป็นผู้ใหญ่ ซ้ำยังมีภาวะผู้นำมากพอ ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนหากเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น

“ทว่าภายในห้องโถงยังมีถังรั่วเวยอีกคนหนึ่ง เด็กคนนี้เอาแน่เอานอนด้วยไม่ได้”

ไป๋ชิวหรานพึมพำ

ต่อให้ถังรั่วเวยอยู่ข้างใน และไป๋ชิวหรานอยากเปลี่ยนใจกลับเข้าไปในห้องตอนนี้ ทั้งเจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยย่อมไม่อนุญาตอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงทำได้เพียงหันศีรษะกลับมากล่าวกับหลินรุ่ย

“เช่นนั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

ภายใต้การนำทางโดยหลินรุ่ย ไป๋ชิวหรานจึงมีโอกาสได้เดินสำรวจไปรอบบริเวณมหาวิหารฝูซาง

“ข้าจำได้ว่ามีสาวรับใช้บางคนเคยพำนักอยู่ที่นี่กับหลานเอ๋อร์ พวกนางไปอญู่ที่ใดเสียเล่า?”

ระหว่างเดินเล่นเพื่อฆ่าเวลา ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามหลินรุ่ย

“หลายคนออกไปช่วยเหลือในสงครามครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ล้มหายตายจาก”

หลินรุ่ยตอบกลับ

“อีกหลายคนก็แต่งงานแล้ว นายหญิงกล่าวว่าเป็นเรื่องส่วนตัวในชีวิตของพวกนางที่สามารถกระทำได้ จึงอนุญาตให้ออกไปจากมหาวิหาร”

หลังจากหยุดชะงักฝีเท้าสักครู่ นางจึงถามกลับอย่างระมัดระวัง

“นายท่านคงไม่รังเกียจกับการตัดสินใจเช่นนั้นใช่หรือไม่?”

“ไม่หรอก ข้าเองก็คิดเช่นนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”

ไป๋ชิวหรานส่ายหน้า

“หลานเอ๋อร์สานต่อเจตนารมณ์ของข้าได้เป็นอย่างดี เข้าใจในสิ่งที่ข้าต้องการจะทำ”

หลังจากเดินไปรอบนอกมหาวิหารฝูซางครบสองครั้ง หลินรุ่ยก็พาไป๋ชิวหรานกลับไปยังห้องโถงด้านข้าง ก่อนจะขอตัวออกไปตระเตรียมงานเลี้ยงอาหาร ขณะที่เจียงหลานและคนอื่น ๆ เพิ่งจะยอมเปิดประตูให้เขา

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกนางสนทนาเรื่องใดกันไปบ้าง ทว่าไป๋ชิวหรานก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ยดูเหมือนจะคลี่คลายลง และเมื่อพิจารณาจากการแสดงออกของสตรีทั้งสองแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกนางต่างยอมรับในสถานะของกันและกันเป็นอย่างดี

นี่จึงทำให้เขาโล่งใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นหลินรุ่ยได้จัดเตรียมงานเลี้ยงอาหารค่ำสำหรับต้อนรับไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ ภายในงานเลี้ยงดังกล่าว เฟิงเจียนเหยาเองก็กลับมาร่วมงานด้วยเช่นกัน ก่อนที่เจียงหลานจะลากแขนไป๋ชิวหรานให้ติดตามนางไปยังห้องอาหาร บรรยากาศงานเลี้ยงอาหารค่ำเต็มไปด้วยสีหน้าและรอยยิ้มอันสดใสจากบรรดาหญิงสาว

ประมาณสองสามวันถัดมา รุ่งเช้าของวันที่ห้า ทุกคนต่างมารวมตัวกัน หลังจากมื้ออาหารเช้าเสร็จสิ้น ซูเซียงเสวี่ยจึงหันไปกล่าวกับไป๋ชิวหราน

“ชิวหราน เหตุใดเจ้าไม่พาเจียงหลานลงไปยังโลกเบื้องล่างเพื่อเที่ยวเล่นเสียหน่อย ปล่อยให้รั่วเวย แม่นางหลี และข้าคอยอยู่ในวิหารก็ย่อมได้”

“เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงเกิดความคิดเช่นนั้นขึ้นมาเล่า?”

ไป๋ชิวหรานกำลังวางแผนดังกล่าวอยู่พอดิบพอดี ทว่าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจู่ ๆ ซูเซียงเสวี่ยถึงเสนอเรื่องนี้กับเขา

“เราไปเที่ยวเล่นด้วยกันทั้งหมดไม่ได้หรือ?”

“เกรงว่าคงไม่เหมาะสม”

ซูเซียงเสวี่ยเหลือบตามองไปยังเจียงหลานที่กำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่กับหลีจิ่นเหยา

“เจ้าทั้งสองไม่ได้พบเจอหน้ากันมายาวนานนับแสนปี เทียบกับพวกเราแล้วควรไปกับนางเพียงลำพังจึงจะเหมาะสม อีกอย่าง…”

นางหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อว่า

“ถึงเวลาแล้วที่ข้าต้องเก็บตัวอีกครั้งเพื่อพัฒนาขั้นการฝึกตน”

การตัดสินใจดังกล่าวเป็นเพราะนางรู้สึกวิตกกังวลมาก ไป๋ชิวหรานอาจรู้อยู่แล้วว่าเจียงหลานมีชีวิตอยู่มานานหลายแสนปี แม้แต่เผ่าพันธุ์อื่นยังสามารถหมั่นเพียรฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเจียงหลานที่เคยมีสถานะเป็นเทพเจ้า อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว ดังนั้นเพื่อไล่ตามความแข็งแกร่งของนางให้ทัน ซูเซียงเสวี่ยจึงจำเป็นต้องฝึกฝนให้เลื่อนขั้นไปสู่ขั้นการฝึกตนสุดท้ายที่ไป๋ชิวหรานสร้างขึ้น

หลังจากที่กลายเป็นเซียนแล้ว การขึ้นไปสู่โลกเซียนจำเป็นต้องใช้พลังปราณจำนวนมหาศาลอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้ การดูดซับและเปลี่ยนแปลงพลังปราณเหล่านี้จะต้องใช้ทั้งเวลากับความพากเพียรอุตสาหะอย่างยาวนาน ต่อให้มีพรสวรรค์สูงส่งเพียงใดก็ไม่สามารถใช้เพื่อชดเชยได้ ความแตกต่างด้านการฝึกตนระหว่างเจียงหลานกับซูเซียงเสวี่ย อาจกล่าวได้ว่ามีระยะกว้างใหญ่กว่าช่องว่างระหว่างการหลอมสร้างกายและขั้นมหายานเสียอีก

“จำเป็นต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม

“อย่างน้อย… ข้าจะพยายามเท่าที่สามารถทำได้”

ซูเซียงเสวี่ยส่ายหน้า นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อขณะกระซิบ

“นอกจากนี้ ข้ายังไม่มีเวลาดูดซับพลังชีวิตจากเจ้ามากพอ หากสามารถดูดซับมันออกมาจนหมด คงเพียงพอแล้วสำหรับข้าที่จะบรรลุขั้นการฝึกตนอีกนับไม่ถ้วน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋ชิวหรานจึงกระแอมไอเล็กน้อย

ชายหนุ่มพอจะเข้าใจความรู้สึกเร่งด่วนของซูเซียงเสวี่ยอยู่บ้าง เนื่องจากความสัมพันธ์ของไป๋ชิวหรานที่เพิ่งผุดขึ้นมาภายหลัง ทำให้ซูเซียงเสวี่ยยอมเพิกเฉยต่อความแตกต่างระหว่างเวลาอันใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายร้อยหลายพันปี และยอมรับว่าเจียงหลานเป็นเสมือนสหายคนหนึ่ง

ก่อนหน้านี้เมื่อเขาเห็นว่าบรรดาคนรอบกายต่างมีระดับขั้นการฝึกตนที่สูงกว่าตนเองเป็นอย่างมาก ไป๋ชิวหรานไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ว่าตนนั้นรู้สึกอึดอัดใจเพียงใด

ดังนั้นเมื่อซูเซียงเสวี่ยมีความรู้สึกเช่นนั้นในตอนนี้ เขาจึงเข้าใจหัวอกของนางพอสมควร

ไป๋ชิวหรานถามไถ่เพิ่งเติมอีกไม่กี่ประโยค จึงได้รู้ว่าหลีจิ่นเหยากับถังรั่วเวยเองก็มีความคิดที่จะตระเตรียมเก็บตัวเพื่อฝึกฝนให้ระดับขั้นก้าวกระโดดขึ้นไปใกล้เคียงกับเจียงหลานบ้าง ดูเหมือนว่านางจะใช้ประสบการณ์ที่สะสมมาเป็นเวลาหลายแสนปีสร้างแรงกระตุ้นให้หญิงสาวทั้งสองได้รับแรงบันดาลใจบางอย่าง

แน่นอนว่าไป๋ชิวหรานไม่อาจทราบได้ ว่าหญิงสาวทั้งสองเร่งรีบที่จะบรรลุขั้นการฝึกตนเป็นหลัก หรือมีความคิดกังวลเรื่องอื่นร่วมด้วยกันแน่

ดังนั้นชายหนุ่มจึงไปเชื้อเชิญให้เจียงหลานลงไปเที่ยวเล่นยังโลกเบื้องล่าง หลังจากเจียงหลานมอบหมายภารกิจภายในมหาวิหารฝูซางให้กับหลินรุ่ยและเจี่ยเฉวียนแล้ว นางจึงตอบรับการไปเที่ยวเล่นกับไป๋ชิวหรานอย่างสุขใจ

หลังจากซูเซียงเสวี่ยและหญิงสาวอีกสองคนเริ่มเก็บตัวแล้ว ชายหญิงทั้งสองจึงก้าวขึ้นลำเรือ เพื่อลงไปยังดินแดนเบื้องล่างบนหมู่เกาะทั้งสี่แห่งฝูซาง