ตอนที่ 135.1 กบตาบอดพบยุงตาย (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

การเป็นเจ้าสำนักนั้นช่างยากลำบากจริงๆ

ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วแขวนป้ายไม้ชั่วคราวที่ระบุว่า แมวเซียนไม่อยู่เอาไว้ขณะที่เขานั่งอยู่ในหอโอสถ และคาดเดาสิ่งต่างๆ อย่างระมัดระวัง

สิ่งที่เขาสัมผัสได้ในครั้งนี้เป็นลางร้ายที่มาพร้อมกับการนองเลือด

เหตุใดเขาถึงรู้สึกเช่นนั้น

หลี่ฉางโซ่วเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน เขาเข้าใจว่ามันเป็นการคุ้มครองผู้ที่มีร่างบุญของเต๋าสวรรค์

หากคิดให้มากกว่านี้ เขาก็เห็นว่าเป็นไปได้ที่สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินจะผลักดันเขา

ในเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วนั่งอยู่ในหอโอสถด้วยท่าทางฝึกฝน เขานับพลังบุญของเครื่องสักการะและกรรมในร่างของเขาและรวบรวมมันเอาไว้รอบๆ ปราณวิญญาณของเขา ก่อนที่จะทำให้มันดูบางเบาลง…

ไม่มีทางเลือก เวลานี้เขาไม่มีเครื่องสักการะบูชามากนัก เขาไม่ได้สะสมเอาไว้เพียงพอ และยิ่งกว่านั้น ปราณวิญญาณของเขาไม่มีส่วนสำคัญใดๆ มันเป็นการปรับแต่งวิญญาณให้สะอาดบริสุทธิ์และสูงส่งขึ้นเท่านั้น

การทำสิ่งต่างๆ ต้องเป็นไปตามขั้นตอน เฉกเช่นการสวมเสื้อผ้าให้ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ เขาต้องเริ่มจากใส่เสื้อผ้าชิ้นแรกก่อน ไม่ใช่การใส่ถุงเท้าก่อน…

ย้อนกลับไปที่หัวข้อหลัก

บัดนี้ หลี่ฉางโซ่วแผ่พลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปตรวจสอบสถานการณ์ของสำนักเทพทะเลทักษิณทั้งหมดอย่างรอบคอบ

หลังจากนั้น เขาจึงพบว่า ทุกแห่งล้วนมั่นคงไร้ภัยพิบัติใดๆ

ในเวลานี้ พื้นที่ขนาดใหญ่บนชายฝั่งทะเลทักษิณและพื้นที่ขนาดเล็กบนชายฝั่งทะเลบูรพาล้วนเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการถวายเครื่องสักการะบูชาแก่สำนักเทพทะเลทักษิณ

มีปรมาจารย์เผ่ามังกรนับสิบคน พร้อมกับเซียนจินสองคนและเซียนเทียนขั้นสูงสุดอีกสิบสองคนประจำการอยู่ในสถานที่ต่างๆ พวกเขาล้วนเป็นผู้พิทักษ์ของสำนักเทพทะเลทักษิณและสามารถรับเครื่องสักการะได้อีกด้วย

หลี่ฉางโซ่วจะไม่ปล่อยให้พวกเขาทุ่มเทโดยไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ แม้ว่าภารกิจหลักของเผ่าพันธุ์มังกรคือการปกป้ององค์ชายรองของวังมังกรทะเลบูรพา อ๋าวอี่

ลางร้ายนี้อาจเกี่ยวข้องกับศาลสวรรค์หรือไม่

เวลานี้ สำนักเทพทะเลทักษิณกำลังจะได้รับพระราชโองการจากศาลสวรรค์ประกาศแต่งตั้งให้เป็นเทพ ซึ่งองค์เง็กเซียนเคยตรัสถึงเรื่องนี้แล้วในหอสมบัติหลิงเซียว…และเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งหรือสองร้อยปีเท่านั้นที่จะได้รับการแต่งตั้ง

มีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากเห็นศาลสวรรค์เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ จึงต้องการชี้นิ้วไปที่สำนักเทพทะเลทักษิณ

มันไม่สมเหตุผลที่การต่อต้านศาลสวรรค์จะเป็นการต่อต้านองค์เง็กเซียน

ซึ่งการต่อต้านองค์เง็กเซียนก็คือการต่อต้านบรรพาจารย์เต๋า

หากบรรพาจารย์เต๋าตัดสินว่าเป็น ‘การท้าทายเจตจำนงแห่งสวรรค์’ ผู้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าแห่งโลกบรรพกาลย่อมไม่ลงมือเอง และสามปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแห่งเต๋าย่อมจะสามารถเอาชนะผู้บงการได้เองเช่นกัน…

ไม่สิ ทันทีที่สายฟ้าเทพสวรรค์ม่วงฟาดลงมา มันย่อมจะไม่เหลือเถ้าถ่านอีกแล้ว!

ไม่ว่าจะมองอย่างไร องค์เง็กเซียนย่อมเป็นสายใยชีวิตของสำนักเทพทะเลทักษิณ

ในเวลานี้ แม้จะยังไม่ได้เปิดเผยความลับของข้ามผ่านมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ แต่สำนักเทพทะเลทักษิณก็ยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของศาลสวรรค์ แล้วจะมีผู้ใดมุ่งเป้ามาทำร้ายพวกเขาเพราะเรื่องนั้น

นอกจากนี้ ในเวลานี้ อิทธิพลของศาลสวรรค์ยังต่ำเกินไป และไม่มีตัวตนปรากฏต่อหน้าจอมปราชญ์เทพ…

แม้ว่าหลี่ฉางโซ่วจะไม่อาจปฏิเสธความเป็นไปได้นั้น แต่เขาก็มองว่ามีโอกาสหนึ่งในสิบส่วน

โดยส่วนที่เหลืออีกเก้าส่วนนั้นจะอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายที่สุดคือ สำนักบำเพ็ญประจิมกำลังจะลงมือ

หากเป็นพวกเขาจริงๆ เช่นนั้นแล้ว พวกเขามีแรงจูงใจอันใดกัน เพียงเพื่อเครื่องสักการะหรือ

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็รู้สึกว่าความคิดของเขาค่อนข้างสับสนวุ่นวาย ดังนั้นเขาจึงเปิดค่ายกลภายในของยอดเขาหยกน้อย และลงไปที่ห้องลับใต้ดิน

จากนั้น เขาจึงหยิบกระดาษและพู่กันมาวางลงบนพื้นและเริ่มวิเคราะห์และเขียนลงไปอย่างระมัดระวัง

เนื่องจากปกติแล้ว เขาไม่อาจอ่านนามของจอมปราชญ์เทพได้ เขาจึงไม่อาจจดรายนามของพวกเขาได้ หลี่ฉางโซ่วจึงใช้ ‘ชื่อสัญลักษณ์’ บางอย่างที่เขารู้ดีอยู่ในใจแทน

หากเขาทำการสรุปเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบรรพชนไท่ชิงในสำนักของเขา เขาจะใช้ไม้ตีกลองเพื่อแสดงว่านี่คือผู้สนับสนุนรายใหญ่ของเขา

เมื่อพูดถึงปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ทงเทียนเจี้ยวจู่ และหยวนสื่อเทียนจุน[1] เขาก็ใช้จอกเรืองแสงยามราตรีและตะกร้าไม้ไผ่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา

ส่วนจอมปราชญ์ทั้งสองคนแห่งสำนักบำเพ็ญประจิม ก็เป็นกล้วยไม้และหน้าไม้

แต่ความจริงแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะส่วนใหญ่มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนนึกถึงจอมปราชญ์

แม้จะคาดเดาได้ว่า จอมปราชญ์กำลังวางแผนต่อสู้กันเอง หลี่ฉางโซ่วก็จะแค่เอากล้วยไม้ถูกับหน้าไม้ แล้วใช้หน้าไม้ เพื่อส่งจอกเรืองแสงยามราตรีบินไปออกไป…

แน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วจะไม่ทำเช่นนี้ และเพียงแต่ทำการวิเคราะห์ความเป็นไปได้และการคาดเดาสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบกายเขาและสำนักเทพแห่งท้องทะเลทักษิณ

มีเพียงทำความเข้าใจในสิ่งที่ศัตรูต้องการทำเท่านั้น เขาจึงจะหาวิธีที่ดีในการจัดการกับมันได้

ไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบพู่กันขึ้นมาและเริ่มเขียน และไม่นานก็จมอยู่ในสมาธิในการทำงานนี้อย่างรวดเร็ว

แต่หลี่ฉางโซ่วไม่คิดว่าครั้งนี้ เขาจะคาดการณ์ผิดพลาดได้ ทว่าเขาคำนวณผิดพลาดในเรื่องกรรม…

สามวันต่อมา…

เมืองอันสุ่ย แท่นบูชาหลักของสำนักเทพเจ้าทะเลหนานไห่ เป็นหนึ่งในวัดที่งดงาม

ในยามราตรีเช่นนี้ ไม่มีผู้มาเยี่ยมเยียนที่วิหารอันงดงามในสำนักหลักเทพทะเลทักษิณในเมืองอันสุ่ย

ในช่วงกลางดึก จะไม่มีเหล่าสานุศิษย์มาแสวงบุญที่นี่ และทูตเทวะผู้ทรงพลังจะปิดประตูวิหารเทพทะเลเอาไว้ โดยมีทูตเทวะหกคนเฝ้าดูแลสถานที่อยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืน

ในขณะนั้น รูปปั้นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลทองคำสูงสามจั้งค่อยๆ เปล่งแสงเซียนออกมา และจางหายไปอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น ดูเหมือนจะมีสายตาพุ่งออกมาจากใบหน้าที่เลือนรางของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และ ‘สายตาจ้องมอง’ นี้หันไปที่มุมหนึ่งและตกลงไปบนรูปปั้นของรองปรมาจารย์เจ้าสำนักซึ่งสูงสองจั้ง และทำจากหยกที่ฝังด้วยทองคำและสวมเสื้อคลุมชุดเกราะล้ำค่าโดยมีฐานรูปปั้นเป็นปะการัง

อ๋าวอี่…

อ๋าวอี่?

ระหว่างรูปปั้นทั้งสองนั้น เจตจำนงเทวะได้ถูกถ่ายทอดผ่านไปอย่างลับๆ

ในเวลาเดียวกันนั้น ในสระสมบัติของเกาะเต่าทอง ที่จุดตัดบรรจบกันระหว่างทะเลทักษิณและทะเลบูรพา

ในขณะนั้น อ๋าวอี่ซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่บนแท่นดอกบัว จู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นในทันใด จากนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่งและปิดตาลงอีกครั้งทันที

และท่ามกลางความงุนงงนั้น อ๋าวอี่ก็มาถึงดินแดนแห่งเมฆและหมอกที่ลอยละล่องอยู่ในความฝัน และเห็นรูปปั้นขนาดใหญ่ของเทพเจ้าแห่งท้องทะเล

บัดนี้ หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่ข้างรูปปั้นและรอเขาอยู่จากระยะไกล…

ในสถานการณ์เช่นนี้ ตัวตนของหลี่ฉางโซ่วในฐานะตัวแทนผู้ได้รับมอบหมายบุญก็ได้รับการยืนยันเช่นกัน และปรมาจารย์ที่แท้จริงก็ยังคงอยู่เบื้องหลังเขา…

จุดเดียว รายละเอียดเล็กน้อย

ทันใดนั้น อ๋าวอี่รีบก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและโค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วพลางกล่าวว่า “น้อมพบ ศิษย์พี่เจ้าสำนักขอรับ!”

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วดูเป็นกังวลและกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ต้องมากพิธี มาลงมือทำงานกันก่อน พี่อี่ เผ่ามังกรกำลังมีภัยพิบัติ”

“อย่างไรกัน…ภัยพิบัติเกิดขึ้นได้อย่างไรขอรับ” อ๋าวอี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบถามว่า “โปรดบอกข้าเถิดศิษย์พี่เจ้าสำนัก!”

หลี่ฉางโซ่วถอนหายในใจ

เขาไม่อยากหลอกลวงอ๋าวอี่เช่นกัน เขาก็ต้องให้เผ่ามังกรมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ใช้ทักษะวาทศิลป์ปรับเปลี่ยนคำพูดของเขาเท่านั้น

ในการสรุปการคาดการณ์ของหลี่ฉางโซ่ว ลางร้ายที่ตามมาต่อไป น่าจะเป็นเพราะสำนักบำเพ็ญประจิมจะเริ่มดำเนินการ ‘กอบกู้ดินแดนแห่งเครื่องสักการะ’ และจะเปิดการโจมตีเซียน

การต่อสู้ระหว่างศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินและการลอบโจมตีของปรมาจารย์ที่ซุ่มโจมตีเพื่อทำลายวิหารเทพทะเลได้ดำเนินไปพร้อมๆ กันทั้งคู่…

หากเขาบอกเผ่ามังกรโดยตรง พวกเขาอาจจะหนีจากสำนักเทพทะเลทักษิณเพราะพวกเขากลัวจอมปราชญ์ของสำนักบำเพ็ญประจิม

ดังนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงทำได้เพียงพยายามทำให้เผ่าพันธุ์มังกรซึ่งเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งของเขามีเสถียรภาพ

หากเผ่ามังกรประสบความสูญเสียมากเกินไป เขาจะมอบเครื่องสักการะบูชาให้สี่ในสิบส่วนของสำนักเทพทะเลทักษิณให้กับเผ่ามังกรเพื่อเป็นการชดเชยสำหรับเรื่องนี้…

หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “พี่อี่ ท่านรู้หรือไม่ว่า ผู้ดำรงอยู่ทั้งสองทางประจิมได้แอบเฝ้าดูเผ่าพันธุ์มังกรมาเป็นเวลานานแล้ว”

อ๋าวอี่ตกตะลึงครู่หนึ่ง เขาจำได้ว่าเขาเคยได้ยินการสนทนาระหว่างมังกรชราสองตัวในระหว่างงานเลี้ยงของเผ่าพันธุ์มังกร

[1] หยวนสื่อเทียนจุน อีกพระนามขององค์เง็กเซียน