ตอนที่ 372 มองหาผิดทางแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 372 มองหาผิดทางแล้ว

ประวัติความเป็นมาของตระกูลซือได้รับการจดบันทึกโดยผู้บันทึกประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดมากกว่าจิตรกรรมบนฝาผนัง เรื่องน้อยใหญ่ล้วนถูกบันทึกไว้ในนั้น สิ่งที่ถูกบันทึกไว้มากที่สุดคือเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ห้าสิบปีต่อมา ตามที่ตระกูลซือประกาศว่าจะไม่ฝึกพลังพ่อมดอีกต่อไป สายเลือดบั่นทอนลงจากรุ่นสู่รุ่น เรื่องที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของเผ่านี้ก็เริ่มน้อยลง

ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ใช้กระดาษเพียงสองสามหน้าในการจดบันทึกก็จบสิ้นแล้ว

ประวัติความเป็นมาของเผ่านี้ เริ่มตั้งแต่ความรุ่งโรจน์จนไปสู่ความเสื่อมโทรม จากนั้นก็เสื่อมถอยทีละขั้น เลือดและหยดน้ำตาหนักหนาสาหัสราวกับภูผา

ฉินหลิวซีเปิดกลับไปที่เมื่อร้อยปีก่อนอีกครั้ง หลังจากอ่านอย่างละเอียดทีละน้อย ก็พบว่าประวัติศาสตร์ของเผ่านี้ไม่มีการเอ่ยถึงว่าฝั่งพ่อมดแม่มดสายดำมีบุตรชายหรือไม่

แต่ข่าวลือที่ปีศาจโสมน้อยได้ยินกลับบอกว่าแม่มดสายดำผู้นั้นได้ทำการผ่าท้องเอาเลือดทารกในครรภ์ออกมาวาดยันต์ค่ายกลบนแท่นบูชา

เป็นเป็นผีน้อยตนนั้นที่คุยโว หรือว่าแม่มดสายดำทิ้งไม้ตายเอาไว้ ไม่ให้พ่อมดผู้นี้รู้ว่าตัวเองท้อง ส่งผลให้แม่มดสายขาวทั้งเผ่าไม่รู้เรื่องนี้

ฉินหลิวซีเปิดไปหน้าหนึ่ง เขียนไว้ว่า ‘ในปลายเดือนสองปีมะโรง ซือเซิงแม่มดผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าเราได้เรียกรวมตัวปุโรหิตแปดท่านและเทพธิดาซือชิ่งมาล้อมวิหารของฝั่งพ่อมดสายดำ ได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ แม่มดสายดำระเบิดหยวนตันของตัวเองที่แท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ สังเวยวิญญาณและร่ายคำสาปเลือด สาปแช่งให้เผ่าของข้าได้รับผลกรรมอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป’

ปลายเดือนสี่ปีมะแม พ่อมดซือหลิงเสียชีวิตเพราะเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด วิญญาณดับสลาย มหาปุโรหิตโศกเศร้าจากการเสียบุตรชาย

ปลายเดือนสิบสองปีมะโรง เทพธิดาซือชิ่งได้ใช้เลือดบวงสรวง ล้วงความลับสวรรค์ ทำนายว่าคำสาปเลือดจะถูกทำลายภายในหนึ่งร้อยปี รวบรวมพลังของปุโรหิตทั้งหมดสร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องหมู่บ้าน ทิ้งร่องรอยร่มเงาไว้ ปกป้องสายเลือดที่บอบบาง

บันทึกต่อไปเกี่ยวกับผู้คนที่เสียชีวิตในแต่ละปีและเสียด้วยโรคอะไร

เมื่อเปิดไปอีกหน้าหนึ่ง ฉินหลิวซีอุทานด้วยความประหลาดใจ สายตาจ้องมองไปที่หน้านั้น

บันทึกนี้แตกต่างจากหน้าอื่น เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนบ้าที่สูญเสียจิตวิญญาณ การกระทำก่อนตายคือการผ่าเอามดลูกออกมา คุกเข่าลงบนพื้นแล้ววาดลวดลายมั่วๆ ปากเอ่ยพึมพำอะไรบางอย่าง ราวกับว่ากำลังทำการสังเวย ทำให้คนตกใจกลัว

ฉินหลิวซีจิ้มไปที่บันทึกหน้านี้พลางคิดบางอย่าง การกระทำนี้ดูคุ้นเคย!

คนบ้าบางคนแม้ว่าจะสูญเสียจิตวิญญาณไป แต่กลับมีพรสวรรค์ที่แตกต่างจากคนอื่น อย่างเช่นสื่อสารกับผีหรือเทพเจ้า รู้อดีตและอนาคต อาการบ้านี้เป็นประเภทไหนกัน

“เห็นอะไรหรือ” ซือเหลิ่งเย่ว์เดินเข้ามา

ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น “บวงสรวงเสร็จแล้วหรือ”

“เป็นเพียงแค่พิธีบวงสรวงเล็กๆ ทุกวันนี้ก็มีเพียงไม่กี่คน นอกจากพิธีบวงสรวงใหญ่ในทุกสิบปีแล้ว พิธีบวงสรวงเล็กๆ ที่เหลือก็เรียบง่ายมาตั้งแต่ที่ท่านแม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย

ฉินหลิวซีชี้บันทึกในหน้านั้นให้นางดู “เจ้าดูสิ”

ซือเหลิ่งเย่ว์รับมาดู ใช่ว่านางไม่เคยอ่านบันทึกมาก่อน หากเป็นเมื่อก่อนเมื่อนางเห็นย่อหน้านี้ก็คงเปิดหนีไปแล้ว อย่างไรเสียสาเหตุการเสียชีวิตของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป

แต่จากข่าวลือที่ปีศาจโสมน้อยได้ยิน แล้วพอมาอ่านที่ย่อหน้านี้ ในใจก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย

“คิดอะไรออกหรือ” ฉินหลิวซีถามนาง

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “เหมือนกับข่าวลือที่ปีศาจโสมน้อยได้ยินมา เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนบ้าผู้นี้ก็เห็นด้วยเช่นกัน”

“เจ้าดูสิว่านางพึ่งจะอายุเท่าไหร่เอง สิบห้าปีเท่านั้น กงเซียนฮู่ผู้นั้นคงตายไปนานแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกอายเล็กน้อย เอ่ย “ขายหน้าเจ้าแล้ว เช่นนั้นหรือว่านางมีความสามารถในการรับรู้อดีต”

“ยากที่จะบอกได้ คนบ้าที่ขาดจิตวิญญาณ บางทีนางอาจมีพรสวรรค์ที่เห็นอดีตโดยบังเอิญ หรือบางทีจิตวิญญาณของนางที่หายไปนั้นได้ไปเห็นตอนที่กงเซียนฮู่กำลังทำการสังเวยอยู่พอดี”

“จิตวิญญาณส่วนหนึ่งก็สามารถมองเห็นได้ด้วยหรือ”

“คนเรามีสามจิตเจ็ดวิญญาณ เมื่อรวมกันจะเป็นคนคนหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากแยกจากกันก็เหมือนกับการแยกร่าง” ฉินหลิวซีใช้สองนิ้วในการเปรียบเทียบ เอ่ยว่า “การที่สามารถเห็นได้นี้ ไม่แน่อาจสามารถเห็นได้ในอีกห้วงเวลาหนึ่งด้วยเช่นกัน”

ซือเหลิ่งเย่ว์เริ่มตระหนกรู้บางอย่าง

“แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้า แต่บันทึกนี้ ข่าวลือแรกอาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ข่าวลือที่สองจะยังนับเป็นเรื่องบังเอิญอยู่หรือไม่” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าบันทึกเผ่าของพวกเจ้าเมื่อร้อยปีนี้ ทุกคนล้วนพยายามอย่างหนักเพื่อแก้คำสาปเลือดนี้ แต่กลับไม่มีใครที่ทำสำเร็จ เกรงว่าจะเป็นดั่งที่เจ้าเอ่ยไว้ว่าเราหามองผิดทางแล้ว หากไม่พบต้นตอที่แท้จริงก็จะไม่สามารถแก้ไขได้”

ซือเหลิ่งเย่ว์ตกตะลึง หันไปมองรูปปั้นแม่มดศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยอย่างขบขันว่า “นางเคยทำนายว่าจะแก้ไขได้ภายในร้อยปีนั้นไม่ผิดเลย หากไม่มีการปรากฏตัวของเจ้า ก็คงจะไม่ได้รู้ถึงจุดนี้ตลอดไปหรอกหรือไม่”

ฉินหลิวซีก็หันไปมองเช่นกัน แต่กลับมีท่าทางสนอกสนใจ เอ่ยว่า “นางเก่งมาก คาดว่านางได้รับความเคารพอย่างสูงจากผู้ศรัทธาในเวลานั้น พลังแม่มดก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน”

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “นางก็ฝึกบำเพ็ญทั้งแม่มดและผู้ทำนาย หากตอนนี้นางยังอยู่ คงจะเข้ากับเจ้าได้เป็นอย่างดีแน่นอน”

รูปปั้นยืนอยู่อย่างเงียบสงบบนแท่นสูง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างมองไปข้างหน้า ท่าทางสงบนิ่ง มีความเมตตา เป็นมิตร

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “ไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าไปดูจดหมายของแม่มดศักดิ์สิทธิ์”

ฉินหลิวซีเดินตามนางออกไป ตอนที่นางก้าวข้ามธรณีประตูวิหารศักดิ์สิทธิ์ ดูเหมือนนางจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง หันกลับไปมองที่รูปปั้น ราวกับเห็นแสงริบหรี่

ที่พักอาศัยของแม่มดศักดิ์สิทธิ์อยู่หน้าน้ำตก แม้จะผ่านไปเกือบร้อยปี แต่เรือนก็ยังคงสะอาดสะอ้าน เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าเรือนก็จะเห็นภายในหุบเขาได้

ฉินหลิวซีมองสำรวจหอเล็กแห่งนี้ เรียบง่ายและสะอาดสะอ้านเป็นอย่างมาก มีรูปภาพแกะสลักไปทุกที่ เตียงเป็นเตียงไม้ไผ่ มีม้วนตำราจำนวนหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ราวกลับว่าเจ้าของไม่เคยจากไปไหน เพียงแต่ออกเดินทางไปไกลแล้วยังไม่ได้กลับมาเท่านั้น

นางมองดูซือเหลิ่งเย่ว์ดึงบันทึกม้วนหนึ่งออกมาจากชั้นตำราแล้วยื่นให้

“ข้าคิดว่าจดหมายเช่นนี้จะถูกเก็บไว้อย่างเป็นความลับเสียอีก” ฉินหลิวซีหัวเราะ

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยว่า “คำทำนายไม่ถือเป็นความลับ เพียงแต่ไม่ได้ละเอียดเท่ากับจดหมายที่เขียนด้วยลายมือ ดังนั้นแม้ว่าคนในเผ่าจะรู้ว่ามีคำทำนายนี้ เพราะมันเป็นเรื่องในอนาคต อยากจะค้นหาก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหน ทำได้เพียงแค่รอ ต่อมาคนในเผ่าก็ลดน้อยลง แต่ละรุ่นแย่ลงเรื่อยๆ และสุดท้ายก็ไม่มีสายเลือดสืบทอด ผู้ที่รู้รายละเอียดคือหัวหน้าตระกูลเท่านั้น”

ฉินหลิวซีเปิดจดหมายอ่าน มองดูแล้วเป็นจดหมายที่เขียนด้วยตัวอักษรข่าย อ่านอย่างครบทุกตัวอักษร ขณะที่นางอ่านต่อไป ราวกับว่ามองเห็นคนผู้นั้นนั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะ กำลังเขียนเรื่องราวคำสาปเลือดของคนในเผ่าอย่างตั้งใจ

พวกเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อทำลายคำสาป แต่กลับไม่สำเร็จ ทำได้เพียงดูคนในเผ่าล้มหายตายจาก

พวกเขาเริ่มโทษการที่ให้พ่อมดผู้นั้นไปเป็นสายลับว่าเป็นการตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุดที่เคยมีมาตั้งแต่ก่อตั้งเผ่าพ่อมดสายขาว ซึ่งทำให้เผ่าพ่อมดสายขาวตกอยู่ในหายนะ

“…ข้าได้แลเห็นความลับสวรรค์ คำสาปเลือดมีมาร้อยปี มีการกำเนิดของผู้ที่มีไฟนรกบนดอกบัว เขาจะช่วยเผ่าของเราให้พ้นจากหายนะสายเลือด หากผู้มีบารมีสามารถแก้ไขความยากลำบากของเผ่าเราได้ คนในเผ่าของข้าจะยกย่องให้ผู้สูงศักดิ์เป็นผู้นำ รักษาความสัมพันธ์อันดีไว้เป็นเวลาหลายหมื่นปี ไม่มีวันทรยศ เพื่อตอบแทนพระคุณอันศักดิ์สิทธิ์…”

มีหยดเลือดสีแดงหยดลงบนประโยคนี้ ฉินหลิวซีมองไปที่โต๊ะ ราวกับเห็นเลือดไหลออกจากมุมปากของซือชิ่งในขณะที่กำลังเขียนจดหมาย

ฉินหลิวซีอ่านต่อไป ซือชิ่งยังได้เขียนเกี่ยวกับข้อสงสัยของนางที่มีเกี่ยวกับคำสาปเลือดที่สังเวยวิญญาณของกงเซียนฮู่ นางสงสัยว่ามีแผนอื่นซ่อนอยู่ แต่กลับไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะนางมีเวลาไม่มากแล้ว

จดหมายสิ้นสุดลงในย่อหน้านี้ทันที

ฉินหลิวซีอ่านตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง เอ่ย “ซือชิ่งอาจเดาได้ว่ากงเซียนฮู่กำลังเล่นกลบังตาบนแท่นบูชาพ่อมดสายดำ เพียงแต่นางมีเวลาไม่พอที่จะค้นหาแหล่งที่มาที่แท้จริง เช่นนั้นเรามีปัญหาที่ใหญ่ที่สุดแล้ว คือพวกเราต้องหาแท่นบูชาที่แท้จริงที่ใช้สาปแช่งว่าอยู่ที่ใด”

ผีน้อยตนนั้นไปเกิดแล้ว และไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาเคยเห็นมันที่ใด แล้วพวกนางจะหาสถานที่นั้นได้อย่างไรกัน