บทที่ 54 เจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของข้า

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 54 เจ้าเป็นแก้วตาดวงใจของข้า

เมื่อหยุนถิงได้ยิน ก็ยื่นมือออกไปพยุงจวินหย่วนโยวตามสัญชาตญาณ “ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงเวียนหัวได้ล่ะ ให้ข้าตรวจดูหน่อยไหม?”

สีหน้าของจวินหย่วนโยวดูเย็นชาแต่ก็เจ็บปวดในเวลาเดียวกัน ดูแล้วเรียกได้ว่าแย่มาก ๆ “ถูกเจ้าทำให้โกรธน่ะสิ”

“ข้า?” หยุนถิงเม้มปาก แต่มือกลับตรวจดูชีพจรของจวินหย่วนโยวทันที

“ก็ใช่น่ะสิ มีเจ้าคนเดียวนี่แหล่ะที่มีความสามารถเช่นนี้” จวินหย่วนโยวแค่นเสียงในลำคอ

หยุนถิงรู้สึกว่านี่ดูออกจะไม่สมเหตุสมผลไปหน่อย “ข้ารู้ความผิดแล้วน่า นับจากนี้ข้าจะไม่ไปที่จวนหลีอ๋องอีก ข้าก็แค่คิดว่าถึงยังไงก็ไม่เป็นไร เลยตั้งใจไปกรรโชกทรัพย์จากจวนหลีอ๋องมาสักก้อนหนึ่ง ใครใช้ให้เมื่อก่อนเขาทำกับข้าแบบนั้นล่ะ”

“ถ้าเจ้าอยากสั่งสอนหลีอ๋อง มาบอกข้าก็ได้ ข้าส่งคนไปจัดการให้ก็จบแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือเองหรอก” จวินหย่วนโยวพูด

“ข้ารู้ว่าซื่อจื่อเช่นเจ้าร้ายกาจมาก แต่ไม่คิดว่าได้ลงมือทำเองมันสะใจกว่าหรอกรึ? นอกจากนี้ ถ้าเจ้าใช้คนของเจ้าไปสั่งสอนเขา แล้วโดนเขาสืบรู้ทีหลัง หลีอ๋องจะต้องตามรังควานไม่เลิกราแน่ ข้าไม่อยากให้เขามาสร้างความเดือดร้อนให้เจ้า” หยุนถิงอธิบาย

จวินหย่วนโยวที่เดิมทีรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจอยู่บ้าง ค่อย ๆ คลายคิ้วที่ขมวดแน่นเป็นปมออก “เจ้าเป็นห่วงข้ารึ?”

“แน่นอนสิ ตอนนี้ซื่อจื่อเป็นสามีของข้า ก็เท่ากับเป็นสวรรค์ของข้า เป็นผืนดินของข้า เป็นแก้วตาดวงใจของข้า ข้าย่อมเป็นห่วงเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว” หยุนถิงรีบพูดอวยชุดใหญ่

นางต้องลำบากแทบตายกว่าจะกำจัดพิษของจวินหย่วนโยวไปได้ถึงสองส่วน ถ้าเกิดถูกนางทำให้โกรธจนเป็นอะไรขึ้นมา นางมีหวังได้กลายเป็นคนบาปที่ถูกสาปแช่งไปชั่วลูกชั่วหลานของจวนซื่อจื่อทั้งจวนแน่

ทั้งคิ้วทั้งตาของจวินหย่วนโยวพลันผ่อนคลาย การหายใจราบรื่นขึ้น หัวก็ไม่เวียนแล้ว ร่างกายดูจะฟื้นตัวขึ้นมาทันที

จู่ ๆ ก็รู้สึกว่า การแกล้งป่วยก็ดูจะมีประโยชน์มากทีเดียว

“ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว หลังจากนี้ห้ามไปที่จวนหลีอ๋องอีก” จวินหย่วนโยวจงใจพูดด้วยสีหน้ามึนตึง

“เดิมทีข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปอยู่แล้วล่ะ ตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงถึงมือแล้ว ข้าย่อมไม่ไปอีกเป็นธรรมดา ข้าไม่ใช่คนโง่สักหน่อย” หยุนถิงพูดพลางยื่นตั๋วเงินให้ราวกับมอบสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน

“ท่านสามีที่เคารพ โปรดรับไว้ด้วย”

จวินหย่วนโยวเห็นนางทำแบบนี้ ก็ชำเลืองมองไปที่ตั๋วเงินแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้รับ “เจ้ายังเก็บซ่อนไว้กับตัวส่วนหนึ่งด้วยรึ?”

หยุนถิงถึงกับมุมปากกระตุก “ไม่ได้เก็บอยู่แล้วสิ หลงเอ้อลำบากออกไปกับข้า ข้าก็เลยแบ่งให้เขาครึ่งหนึ่ง ถือเสียว่าเป็นค่าเผชิญงานหนัก”

“ถ้าอย่างนั้นที่เฆี่ยนเขาไปสองทีก็ยังถือว่าไม่คุ้มนะ” จวินหย่วนโยวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา

“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีก ซื่อจื่อ เจ้าลงมือโหดเหี้ยมเกินไปแล้วนะ แผลจากรอยแส้บนหน้าอกของหลงเอ้อลึกมาก มีเลือดไหลออกมาเลยด้วย ว่ากันตามความจริง เขาก็เป็นลูกน้องของเจ้าคนหนึ่งนะ” หยุนถิงพยายามพูดจาโน้มน้าวทันที

“เจ้าไปดูบาดแผลของเขามาแล้วรึ?” สีหน้าของจวินหย่วนโยวที่เดิมทีฟื้นคืนสภาพแล้ว พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

“แน่นอนล่ะสิ เขาได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนั้น ข้าช่วยใส่ยาให้เขาแล้ว” หยุนถิงเพิ่งจะพูดจบ จวินหย่วนโยวก็โกรธจนเส้นเลือดสีเขียว ๆ บนหน้าผากปูดโปนเต้นตุบขึ้นมาเลยทีเดียว จากนั้นก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรง

“ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงไอขึ้นมาได้ล่ะ? ที่ตรวจชีพจรเมื่อครู่ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาใหญ่อะไรนี่? กำลังภายในก็นับว่าดีอยู่” หยุนถิงรู้สึกงงงัน รีบเอื้อมมือไปช่วยลูบแผ่นหลังให้เขาอย่างแผ่วเบา

“คนมาซิ!” จวินหย่วนโยวตวาดสั่งอย่างโกรธเกรี้ยว

รั่วจิ่งรีบพุ่งเข้ามาทันที “ซื่อจื่อ มีอะไรจะสั่งหรือขอรับ?”

“เอาหลงเอ้อไปโยนทิ้งในพื้นที่รกร้างทางตอนเหนือ—” จวินหย่วนโยวยังพูดไม่ทันจบ หยุนถิงก็รีบปิดปากของเขาเอาไว้

“ไม่มีอะไร เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ ซื่อจื่อไม่ได้พูดอะไรเลย” หยุนถิงพูดโกหกตาใสอย่างไหลลื่น

รั่วจิ่งตกใจจนผงะ เบิกตากว้างจ้องมองหยุนถิงอย่างไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เห็น ฮูหยินจะกล้าหาญชาญชัยเกินไปหน่อยแล้วกระมัง? ถึงขั้นกล้าปิดปากของซื่อจื่อเอาดื้อ ๆ เมื่อครู่เขายังได้ยินอยู่ชัด ๆ ว่าซื่อจื่อจะให้ทำอะไรสักอย่างกับหลงเอ้ออยู่เลยนะ?

สีหน้าของจวินหย่วนโยวเย็นเยียบสุดขีด คิดจะปัดมือของหยุนถิงออกไปโดยไม่รู้ตัว

หยุนถิงมีหรือจะยอม นางโถมตัวนั่งลงบนตักของเขาตรง ๆ กอดรอบคอของเขาจนแน่น “รั่วจิ่งเจ้ารีบออกไปเถอะ ข้ากับซื่อจื่อกำลังจะเร่าร้อนกันแล้ว เจ้าอยู่ด้วยมันเกะกะนะ”

ใบหน้าของรั่วจิ่งเปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันที ชักเท้าถอยออกไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งไม่ลืมปิดประตูให้ด้วย

จวินหย่วนโยวมองหยุนถิงที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ได้กลิ่นหอมสดชื่นจาง ๆ บนร่างกายของนาง เขาไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านใด ๆ แค่จ้องมองนางอยู่อย่างนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา

ทันทีที่หยุนถิงเก็บสายตากลับมา ก็ประสานเข้ากับดวงตาที่ลึกล้ำราวกับท้องทะเล ซ่อนประกายสว่างไสวในดวงตาดำขลับ ราวกับมีดวงดาวที่กำลังส่องแสงบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิดคู่นั้นของจวินหย่วนโยว ทั้งร่างพลันแข็งทื่อ

“ซื่อจื่อ ดวงตาของเจ้าสวยจริง ๆ เลย” หยุนถิงหลุดปากพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว

จวินหย่วนโยวปัดมือของนางที่ปิดปากเขาอยู่ออกไปอย่างไม่ปรานี “เจ้าคิดว่าแค่คำพูดดี ๆ ประโยคเดียว ก็จะกำหราบข้าได้ดั่งใจแล้วรึ?”

“ซื่อจื่อ สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริงนะ ข้าชอบดวงตาของเจ้ามากจริง ๆ” หยุนถิงพูดพลางเอนตัวเข้าไปใกล้ ๆ

จวินหย่วนโยวลมหายใจกระชั้นถี่ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย

จากนั้นหยุนถิงก็จุมพิตลงบนดวงตาของเขาเบา ๆ จวินหย่วนโยวก็หลับตาลงตามสัญชาตญาณ

เมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากนุ่มนวลของนาง จุมพิตลงมาอย่างแผ่วเบาราวสัมผัสของปีกจักจั่นอันบางใส หัวใจที่เย็นชาของจวินหย่วนโหยวก็พลันอุ่นซ่าน ยิ่งเต้นเร็วขึ้น ลมหายใจกระชั้นจนเหมือนคนหายใจไม่ทันขึ้นมาทันที

ผู้หญิงคนนี้ ช่างไม่รู้จักคำว่าละอายเลยจริง ๆ

แต่ทำไมความรู้สึกนี้ กลับทำให้เขารู้สึกโลภมากขึ้น รู้สึกเพลิดเพลินยิ่งขึ้น

“ซื่อจื่อ เจ้าอย่าโกรธแล้วได้หรือไม่? ข้าไม่อยากให้หลงเอ้อต้องถูกลงโทษเพราะข้าเป็นต้นเหตุอีกแล้ว ที่ข้าช่วยใส่ยาให้เขาก็เพราะข้ารู้สึกว่าตัวเองติดค้างเขา เจ้าก็ปล่อยเขาไปเถอะนะ” หยุนถิงสองแขนโอบรอบคอของจวินหย่วนโยว พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

“ให้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ” จวินหย่วนโยวพยักหน้าตอบรับ

“ซื่อจื่อ ท่านน่าจะพูดให้เร็วกว่านี้หน่อยสิ ลำบากข้าต้องงัดแผนสาวงามออกมาใช้เลย” หยุนถิงเม้มปาก ทำท่าจะลุกขึ้นออกจากตักเขาไป

เมื่อจวินหย่วนโยวได้ยินดังนั้น สองมือใหญ่จอมเผด็จการพลันโอบรอบเอวนาง ยื่นมือขึ้นไปกดนางลงบนตัก แล้วก้มหน้าลงจุมพิตนางทันที

เผด็จการ แข็งแกร่ง ไม่ยอมให้ปฏิเสธ

หยุนถิงตกใจจนผงะไปชั่วครู่ จ้องมองนัยน์ตาดำขลับดั่งนิลคู่นั้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง รู้สึกถึงความบ้าคลั่งและพลังอันแข็งแกร่งของเขา ลมหายใจของหยุนถิงเริ่มสับสนว้าวุ่น

แต่นางก็ไม่ได้ผลักจวินหย่วนโยวออกไป แต่กลับหลับตาลงตอบโต้เขากลับ

แม้ว่าการกระทำของจวินหย่วนโยวที่ทำลงไป หยุนถิงจะไม่เห็นด้วย แต่ความห่วงใยและความใส่ใจที่เขามีต่อนางก็เป็นเรื่องจริง

เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผู้ดูแลพูด ว่าตลอดหลายปีมานี้จวินหย่วนโยวอยู่คนเดียวเพียงลำพัง หยุนถิงก็รู้สึกสงสารเขามาก ชั่วขณะนั้นนางตอบสนองต่อความอบอุ่นของเขา ทั้งยังยอมมอบหัวใจของตัวเองให้ไป

หนุ่มหล่อหน้าตาดี ฐานะทางครอบครัวดี ร่ำรวยมีอำนาจบารมี ให้พูดยังไงนางก็ไม่ขาดทุน

ทั้งสองทั้งกอดทั้งจูบกันอยู่เช่นนี้ ในห้องอันใหญ่โตปรากฏเสียงของหล่นลงพื้นดังสนั่นแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ

รั่วจิ่งที่อยู่หน้าประตูรู้สึกกังวลใจมากเมื่อได้ยินเสียงเหล่านั้น ฮูหยินออกจะรุนแรงเกินไปหน่อยแล้วกระมัง? ถึงกับทำเสียงดังอึกทึกขนาดนี้กับซื่อจื่อเลย

แน่นอนว่าเขาย่อมไม่กล้าเข้าไป เพราะถ้าเกิดไปรบกวนเรื่องดีงามของซื่อจื่อเข้า เขาคงได้เจอดีแน่

ส่วนทางห้องของหลงเอ้อ หลังจากหลิงเฟิงกับองครักษ์ลับที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่บนหลังคาได้ยินสิ่งที่เขาเล่า ต่างก็รู้สึกอิจฉาเขาอย่างยิ่ง

“ทำไมจู่ ๆ ข้าถึงรู้สึกว่า สองแส้ที่เฆี่ยนเจ้าไปมันคุ้มเกินคุ้มเลยนะ คราวหน้าข้าจะขอแลกชีวิตเพื่อติดตามฮูหยินออกไปข้างนอกด้วย ฮูหยินช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ ถึงกับทำให้หลีอ๋องที่แสนจะหยิ่งผยองไม่เคยเห็นใครในสายตาต้องกินฉี่เด็กได้” หลิงเฟิงพูดอย่างชื่นชม

“แต่ข้ากลับยิ่งอิจฉาตั๋วเงินห้าหมื่นตำลึงนั่นของหลงเอ้อมากกว่า ฮูหยินให้เจ้าตั้งมากขนาดนี้ พอจะให้ข้ายืมสักหมื่นตำลึงได้หรือไม่? ข้าจะได้เอาไปซื้อเหล้ามาดื่ม” องครักษ์ลับที่ซ่อนอยู่บนหลังคาคนหนึ่งพูดขึ้น

หลงเอ้อมองขึ้นไปที่หลังคา พลางกลอกตามองบนใส่ “ไปให้พ้นเลยไป้! นี่ไม่ใช่แค่เงินห้าหมื่นตำลึงหรอกนะ แต่เป็นสิ่งที่ฮูหยินให้ค่าให้ความสำคัญกับข้าด้วย บางทีครั้งหน้าข้าอาจได้ส่วนแบ่งหนึ่งแสนตำลึงเลยก็ได้ ข้ายังต้องเก็บเงินแต่งเมียอยู่นะ”

“อั้ยโยว! ยังคิดจะแต่งเมียซะด้วย? เรื่องยังไม่ถึงไหนเลยนะ ใครเขาจะมาสนใจเจ้า?”

“ข้าพอใจซะอย่าง ถึงอย่างนั้นข้าก็กินดีอยู่ดีได้แล้ว เพราะยังไงตอนนี้ข้าก็ถือว่าเป็นคนมีเงินแล้ว พวกเจ้ามีหรือไม่ล่ะ? เงินตั้งห้าหมื่นตำลึงเชียวนะ เงินตั้งมากมายขนาดไหน” หลงเอ้อพูดด้วยสีหน้าลำพองใจสุด ๆ