ตอนที่ 262 มาถึงด่านศุลกากร

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 262 มาถึงด่านศุลกากร

เคอจื่อฉิงเห็นสีหน้าท่าทางของผู้รักษาความปลอดภัยพวกนั้นทั้งหมด

หล่อนไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ก่อนจะเดินประกบติดด้านหลังของหลินม่ายราวกับบอดี้การ์ด

ในตอนที่เดินผ่านต้นไม้ในกระถางปากกว้างต้นหนึ่ง หล่อนก็พลันสับสันมือลงไป ต้นไม้เล็กๆ ต้นนั้นก็แยกออกเป็นสองส่วน

จากนั้นมองไปยังเถ้าแก่เนี้ยและผู้รักษาความปลอดภัยพวกนั้นอย่างท้าท้าย

เถ้าแก่เนี้ยและผู้รักษาความปลอดภัยสองสามคนนั้นไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อน ขณะจ้องมองพวกเธอจากไปต่อหน้าต่อตา

ระหว่างทาง เคอจื่อฉิงก็พูดกับหลินม่าย “ถ้าเธออยากซื้อเสื้อผ้านำเข้า ก็บอกฉันมาตั้งแต่แรกสิ ฉันทำงานอยู่ที่ด่านศุลกากร ฉันหาของลักลอบนำเข้าดีๆ ที่ถูกศุลกากรกักไว้มาให้เธอได้ เธออย่าไปซื้อสินค้าลักลอบนำเข้าที่มีปัญหาพวกนั้นเลยน่า สินค้าลักลอบที่มีปัญหาประเภทนั้น ด่านศุลกากรกักเอาไว้หนึ่งวัน สุดท้ายก็จะถูกทำลายทิ้ง”

หลินม่ายไม่เข้าใจนโยบายของศุลกากร จึงถามขึ้น “ทำแบบนั้นจะผิดกฎหมายหรือเปล่า?”

“ผิดกฎหมายอะไรกันเล่า” เคอจื่อฉิงอธิบายให้เธอฟัง “ศุลกากรจะกวาดล้างสินค้าหนีภาษีอยู่เป็นระยะ มันเป็นธรรมเนียมปกติ มีทุกอย่างตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงอาหาร ซึ่งราคาจะถูกเป็นพิเศษเลยล่ะ”

“ราคาถูกขนาดไหนเหรอ?” หลินม่ายถามอย่างค่อนข้างสนใจ

“ไม่ว่าเป็นสิ่งของอะไร จะขายในราคาหนึ่งในสิบของราคาตลาด แน่นอนว่า สินค้าที่ไม่สามารถเก็บไว้ได้นานเช่นอาหารเป็นข้อยกเว้น”

หลินม่ายถึงกับตกตะลึง

มิน่าเล่าครั้งก่อนเถ้าแก่เนี้ยถึงขายเสื้อผ้ามือสองนำเข้ากองใหญ่ขนาดนั้นให้ตนเพียงแค่ 1,500 หยวนเท่านั้นเอง แล้วยังแถมเพิ่มให้ 500 อีกต่างหาก

เสื้อผ้ามือสองนำเข้าแต่เดิมนั้นราคาถูกอยู่แล้ว ถ้าเป็นของที่ศุลกากรขายมา น่ากลัวว่าเสื้อผ้าหนึ่งกองเถ้าแก่เนี้ยอาจจะซื้อมาแค่ร้อยสองร้อยหยวนเท่านั้นเอง

แต่กลับขายให้เธอตั้ง 1,500 หยวน นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นสำคัญคือหลังจากที่ตนซื้อมาได้แล้วดันดีอกดีใจ นึกไปว่าตัวเองซื้อมาได้ในราคาถูก

นี่มันเรียกว่าถูกที่ไหนกันเล่า!

มิน่าถึงได้มีสำนวนที่ว่า มีแต่ซื้อพลาด ไม่มีขายพลาด

หลินม่ายดีดลูกคิดอยู่ในใจด้วยความตื่นเต้น ศุลกากรขายให้ในราคาหนึ่งในสิบ

นั่นก็หมายความว่าสินค้าที่ตั้งราคาตลาดไว้ 300 หยวน จะใช้ต้นทุนซื้อมาแค่ 30 หยวน เพียงแค่ความต่างตรงกลางนี้ก็สามารถทำกำไรได้อู้ฟู่แล้ว!

มิน่าสินค้าลักลอบนำเข้าที่ศุลกากรยึดไว้จึงไม่มีทางตกถึงมือคนทั่วไปได้เลย ไม่แม้แต่จะเคยได้ยินด้วยซ้ำ!

ด้วยกำไรที่มากมายขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ศุลกากรต่างกินกันเองภายในแล้ว ไหนเลยจะปล่อยออกมาสู่ภายนอก

หลินม่ายวิเคราะห์ในใจเสร็จแล้ว จึงยิงคำถามแรกกับเคอจื่อฉิง “สินค้าที่เก็บได้ไม่นานอย่างพวกอาหารจะขายในราคาไหนเหรอ?”

“ตามปกติแล้วจะอยู่ในราคาหนึ่งในสามของราคาตลาด แต่บางครั้งก็จะต่ำกว่าราคานี้”

หลินม่ายได้ยินราคานี้ก็ยิ่งตื่นเต้น พลันยิงคำถามที่สอง “ตอนนี้ด่านศุลกากรพวกเธอจัดการสินค้าอะไรบ้างล่ะ?”

“ฉันบอกเธอไปแล้วนี่ ว่ามีทุกอย่างตั้งแต่ของใหญ่ๆ จำพวกรถยนต์นำเข้า เครื่องกลึงนำเข้า แผ่นเหล็กหรือเหล็กม้วนนำเข้า จนถึงของเล็กๆ อย่างเช่นอาหารเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวัน”

“เมื่อกี้นี้ไม่ได้ตั้งใจฟังนี่นา” หลินม่ายยิ้มอย่างหยอกเย้า ก่อนครุ่นคิดอีกครั้ง แล้วพูดขึ้น “งั้นเธอช่วยหาพวกเสื้อผ้าหรืออาหารให้หน่อยนะ”

เธอไม่สนใจของอย่างรถยนต์นำเข้า เครื่องกลึงนำเข้า เพราะเธอไม่มีช่องทางการขายของพวกนั้น ถึงรับมาก็ขายไม่ออก

ส่วนเสื้อผ้ากับอาหารแม้ว่าเธอจะไม่ได้มีช่องทางการขายเหมือนกัน แต่เสื้อผ้านั้นเธอสามารถตั้งแผงขายได้ อาหารก็สามารถวางขายในตลาดสดได้

เคอจื่อฉิงตอบรับอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ หลินม่ายก็มาถึงด่านศุลกากรพร้อมกับหล่อน

เคอจื่อฉิงที่เดินอยู่ข้างหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน แล้วหัวเราะแหะๆ ให้เธอ เพียงแต่เสียงหัวเราะนั้นฟังดูแปลกๆ และรอยยิ้มก็ดูไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก

หากไม่ได้อยู่ในด่านศุลกากร หลินม่ายคงสงสัยว่าหล่อนกำลังจะทำมิดีร้ายกับตัวเองไปแล้ว

ชั่วขณะนั้น ในหัวของเธอก็ผุดภาพที่เคอจื่อฉิงลงมือสังหารเธอเพื่อปล้นเงินบนตัวเธอไปขึ้นมาเป็นฉากๆ

เธอถอยไปข้างหลังสองก้าว แล้วถามด้วยท่าทางเหมือนนกตื่นธนู “ทำไมเธอถึงยิ้มมีเลศนัยขนาดนั้นล่ะ?”

เคอจื่อฉิงพลันเก้อเขินขึ้นมา “ฉันมีบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกเธอ”

“งั้นเธอก็พูดมาตอนนี้เลยสิ”

เคอจื่อฉิงพูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “คืออย่างนี้ ฉันเพิ่งจะเข้าทำงานที่ศุลกากรได้ไม่นาน ไม่ได้มีสิทธิ์จัดการสินค้าที่ถูกยึดพวกนั้นหรอก คนที่จัดการสินค้าถูกยึดพวกนั้นต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าแผนกขึ้นน่ะ”

หลินม่ายอึ้งพลางนึกตำหนิอยู่ในใจ ยัยเด็กนี่ ในเมื่อตัวเองไม่มีสิทธิ์จัดการ แล้วจะหลอกฉันมาทำไมยะ?

แม้ว่าในใจจะนึกโมโห แต่ก็ยังต้องประคองรอยยิ้มบางเอาไว้

เธอโบกมือพลางพูดด้วยดวงตาหยีโค้ง “ไม่เป็นไรจ้ะ” ก่อนหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป

“นี่! ฉันยังพูดไม่จบเลย เธอจะรีบไปทำไมกัน?”

เคอจื่อฉิงคว้าแขนข้างหนึ่งของเธอเอาไว้ “ถึงฉันจะไม่มีสิทธิ์จัดการสินค้าถูกยึดพวกนั้น แต่หัวหน้าสือมีสิทธิ์น่ะ”

หลินม่ายกระพริบดวงตาโตถามขึ้น “หัวหน้าสือขายของทั้งหมดที่ฉันต้องการให้ได้เหรอ?”

เคอจื่อฉิงพูดอย่างมุ่งมั่น “ถ้าฉันบอกหล่อน หล่อนก็จะขายให้เธอ”

หลินม่ายถามอย่างสงสัย “ทำไมหล่อนถึงจะทำตามที่เธอบอกล่ะ?”

หัวหน้าสือเป็นเจ้านาย มีเจ้านายที่ไหนทำตามที่ลูกน้องสั่งกัน? มันฟังดูแปลกประหลาดเกินไป

เคอจื่อฉิงอธิบาย “หัวหน้าสือเป็นคนที่แม่ฉันเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาให้น่ะ ถ้าฉันวานให้หล่อนขายสินค้าให้เธอ หล่อนก็ต้องเห็นแก่หน้าฉันสักนิด”

หลินม่ายกลับไม่เชื่อถือเท่าไรนัก

คนจากไปชาก็เย็น(1) หัวหน้าสือไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าเคอจื่อฉิงเสมอไป

เธอส่ายหน้า “ฉันไม่รบกวนเธอดีกว่า”

ขณะที่กำลังจะเดินไปอีกครั้ง ก็กลับถูกเคอจื่อฉิงคว้าแขนเอาไว้อีก

“ไม่รบกวนหรอก ตามฉันมา” หล่อนลากหลินม่ายเข้าไปในห้องทำงาน เพื่อมาพบกับหญิงวัยทำงานที่ดูนิสัยดี ทั้งขาวและอวบอิ่ม อายุราวสามปีกว่าปีคนหนึ่ง

แล้วก็เรียกขึ้นคำหนึ่ง “หัวหน้าสือคะ”

หัวหน้าสือเงยหน้าขึ้นมองหล่อน สายตายังนับว่าเป็นมิตร “มีธุระอะไรเหรอ?”

ขณะที่พูด หล่อนก็กวาดมองหลินม่ายด้วยสายตาราบเรียบ

เคอจื่อฉิงเอ่ยอย่างประจบสอพลอ “คือว่า เพื่อนของฉันคนนี้หล่อนอยากจะซื้อสินค้าสักหน่อย คุณสามารถขายให้หล่อนได้ไหมคะ?”

หัวหน้าสือจ้องมองหลินม่ายอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าเอ่ย “ได้สิ”

ก่อนจะลุกยืนขึ้นพาพวกเธอทั้งสองเข้ามาในโกดัง และพูดกับเคอจื่อฉิง “เธอดูแลเพื่อนของเธอให้ค่อยๆ เลือกไปนะ เลือกเสร็จแล้วก็มาบอกฉัน หลังจากที่ฉันตรวจเช็คแล้ว เธอก็พาหล่อนไปดำเนินการตามขั้นตอนการซื้อขายได้เลย”

เคอจื่อฉิงตอบรับในทันที จากนั้นหัวหน้าสือจึงหมุนตัวเดินออกไป

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินม่ายได้มาที่โกดังของด่านศุลกากร

ภายในนั้นเต็มไปด้วยอาหารนำเข้ามากมายหลายอย่าง เช่น ช็อกโกแลต นมผง บิสกิต และอื่นๆ กองสูงเป็นตั้ง ดูละลานตาทีเดียว

เคอจื่อฉิงชี้ไปยังอาหารนำเข้าบางอย่าง เช่น เนสกาแฟและกั่วเจิน(2) แล้วพูดขึ้น “สองสามอย่างนี้อีกสองเดือนก็จะหมดอายุแล้ว เบื้องบนสั่งให้รีบจำหน่ายออกไปให้เร็วที่สุดในราคาผักกาด(3)เลยล่ะ”

หลินม่ายรีบถาม “ราคาผักกาดคือเท่าไหร่เหรอ?”

เคอจื่อฉิงชี้ไปยังเนสกาแฟกองพะเนินเทินทึกแล้วพูด “เนสกาแฟนี้มีหนึ่งหมื่นลัง ทุกลังมีหกกระป๋อง ทั้งหมดนี้จ่ายแค่หนึ่งหมื่นหยวนเท่านั้นเอง”

ในสมัยนี้ เนสกาแฟล้วนเป็นแบบกระป๋องทั้งหมด ที่ร้านเฟรนด์ชิพสโตร์ขายอยู่ที่กระป๋องละ 15 หยวน เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีเอกลักษณ์ในยุคนี้

หนึ่งหมื่นลัง ทุกลังมีหกกระป๋อง กระป๋องละประมาณ 1.7 เหมา ราคาผักกาดสมชื่อจริงๆ

ต่อให้ขายต่อกระป๋องละ 5 หยวน ก็ยังได้กำไรประมาณสามหมื่นหยวนเลย

แต่ปัญหาก็คือ เนสกาแฟหนึ่งหมื่นลัง เท่ากับว่ามีทั้งหมดหกหมื่นกระป๋อง เป็นเรื่องยากที่จะขายออกไปภายในเวลาสองเดือน

หากขายออกไม่ได้ภายในสองเดือนก็จะขาดทุน

หลินม่ายถาม “ซื้อแค่ครึ่งเดียวได้ไหม?”

เธอมีแผงตลาดสดอยู่แล้ว ซื้อเนสกาแฟมาแค่ครึ่งเดียว เธอยังมีความมั่นใจว่าขายให้หมดได้อยู่

แต่หกหมื่นกระป๋อง… เธอไม่มั่นใจเท่าไรนัก

เคอจื่อฉิงส่ายหน้า “ไม่ได้ ไม่ว่าสินค้าประเภทไหนก็ต้องขายรวมกันทั้งหมดน่ะ”

หลินม่ายได้แต่ยอมแพ้อย่างเศร้าสร้อย แล้วให้หล่อนพาเธอไปดูทางเสื้อผ้าของใช้

เคอจื่อฉิงพาเธอมาถึงโกดังสำหรับเก็บเสื้อผ้าและของใช้โดยเฉพาะ

มีเสื้อผ้าหน้าร้อนของโรงงานผลิตเล็กๆ จากทางประเทศหมู่เกาะมาล็อตหนึ่ง ทั้งหมดห้าหมื่นตัว ทุกตัวราคาไม่เท่ากันตั้งแต่สองถึงห้าหยวน

หลินม่ายอยากได้มาก แต่เธอจ่ายเงินมากขนาดนั้นไม่ไหว

นอกจากนั้นต่อให้เธอจ่ายมากขนาดนั้นได้ แต่เสื้อผ้าห้าหมื่นตัวก็ต้องขายอย่างน้อย 300 วันถึงจะหมด เป็นเวลาเกือบจะทั้งปี

ตอนนี้ก็เดือนกรกฎาคมแล้ว มีเวลาอย่างมากที่สุดสามเดือนก็จะสิ้นสุดช่วงหน้าร้อนของเมืองเจียงเฉิง

เมื่อหน้าร้อนผ่านไป เสื้อผ้าล็อตนี้ก็ยากที่จะขายออกได้อีกแล้ว

สิ่งที่เธอต้องเผชิญในตอนนี้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือเสื้อผ้า ก็มีปัญหาในการจำหน่ายออกในเวลาอันสั้น เพราะจำนวนที่มหาศาลเกินไป

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงเฉินเฟิงขึ้นมา

เมื่อก่อนเขาเป็นพ่อค้าเก็งกำไร ก็น่าจะมีช่องทางการค้าอยู่นะ

………………………………………………………………………………………………………………………..

(1)คนจากไปชาก็เย็น เปรียบกับการรินชาให้กับแขก หมายถึง เมื่อไปจากสถานที่เดิมที่เคยอยู่ ความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เคยมีนั้นก็แปรเปลี่ยนไปทันที

(2)Tang (กั่วเจิน) ยี่ห้อน้ำผลไม้ชนิดผงชงดื่มที่มีการจัดจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก

(3)ราคาผักกาด หมายถึงราคาที่ถูกเป็นพิเศษจนแทบให้ฟรี

สารจากผู้แปล

มาคราวนี้ได้ของเยอะจนขายไม่หมดเลย แถมมาถูกที่อีกต่างหาก

จนท. ศุลกากรบ้านเขาก็คล้ายๆ ของเราเลยแฮะ

ไหหม่า(海馬)