ตอนที่ 297 จัดการเรื่องส่วนตัวของพี่ใหญ่กันก่อนดีกว่า
หญิงชราได้ยินว่าเซี่ยอวี่บอกว่าหล่อนจะไม่แต่งงานเพราะเห็นแก่แฟนคลับ เธอจึงพูดว่า “พระเอกคนนั้นที่แสดงหนังกับลูกยังแอบแต่งงานแบบลับ ๆ เลยไม่ใช่เหรอ? แถมเขามีลูกแล้วด้วย แฟนคลับไม่รู้ซะหน่อย ลูกก็แต่งงานแบบลับ ๆ ได้เหมือนกัน”
เซี่ยอวี่กลอกตาใส่ “แล้วฉันต้องแอบแต่งตามเขาด้วยหรือไง? แม่เฒ่า คุณมีหลานแล้วนะคะ ดังนั้นอย่าเอาแต่กดดันฉันอยู่เลย…”
หลินเซี่ยช่วยพูดว่า “ใช่ค่ะ คุณย่า อย่าเพิ่งเร่งเร้าอาเลย เวลาที่เหมาะสมของอายังมาไม่ถึงต่างหาก”
เซี่ยอวี่ปฏิเสธที่จะแบ่งรับแบ่งสู้ “ฉันไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ชายคนไหนเลย บางทีฉันอาจจะแค่โชคร้าย อย่าพูดถึงมันเลย แม่ควรกังวลเรื่องของพี่ใหญ่มากกว่าฉันนะ เราต้องช่วยกันคิดช่วยกันวางแผนว่าจะทำให้พี่ใหญ่กับพี่อิงจื่อกลับมาสานต่อความสัมพันธ์กันยังไง”
ด้วยคำพูดของเซี่ยอวี่ ทันใดนั้นความสนใจของหญิงชราก็ถูกเบี่ยงเบนไปทันที
ใช่แล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของเจ้าใหญ่
ค่อย ๆ แก้ปัญหากันไปเป็นรายคน ก่อนอื่นนางจะต้องให้จับคู่อิงจื่อกับเซี่ยเหลยให้สำเร็จ จากนั้นจึงเบนเข็มไปกระตุ้นลูกสาวคนโตและลูกชายคนเล็ก
หญิงชรายินดีมอบสร้อยข้อมืออันเป็นมรดกตกทอดให้กับหลินเซี่ยด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้า เธอจึงทำได้เพียงรับไว้เท่านั้น
พอเห็นหญิงชราให้ของรับขวัญ เซี่ยอวี่เองก็ไม่ยอมน้อยหน้าเหมือนกัน หันไปสั่งเซี่ยไห่ “เสี่ยวไห่ ไปเอากระเป๋าเดินทางของฉันมาให้หน่อย”
ทันใดนั้นหลินเซี่ยก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าตอนที่พวกเขาเข้ามา พวกเขาลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาด้วย เธอไม่ทันสังเกตเพราะตอนแรกที่พวกเขามาถึงหญิงชราเอาแต่กอดเธอไว้
เซี่ยไห่หยิบกระเป๋าเดินทางมาแล้วเปิดซิปออก
“เซี่ยเซี่ย มาดูสิ นี่คือของขวัญที่ฉันตั้งใจซื้อมาให้เธอจากฮ่องกงเลยนะ”
เซี่ยอวี่พูดขณะเริ่มหยิบของออกมาทีละอย่าง
“เสื้อกันลม กระโปรง และรองเท้าบูทคอนเลคชั่นใหม่ล่าสุด ฉันซื้อไว้ครบเซ็ต”
“เครื่องสำอาง ลิปสติก เครื่องประดับก็มีครบทุกอย่าง”
จากนั้นเซี่ยอวี่ก็หยิบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวออกมาสองสามชิ้น เซี่ยไห่รีบพูดว่า
“พี่สาว ของพวกนี้ที่พี่ซื้อมา ร้านเซี่ยเซี่ยมีครบหมดแล้ว”
“จริงเหรอ?” เซี่ยอวี่เลิกคิ้ว
หลินเซี่ยส่ายหน้า “ฉันไม่มีสินค้าแบรนด์นี้เลยค่ะ”
“นั่นแน่อยู่แล้ว ของพวกนี้เป็นแบรนด์หรูขึ้นห้างทั้งนั้นเลย”
หลังจากหยิบของให้หลินเซี่ยแล้ว เซี่ยอวี่ก็เริ่มหันไปมอบของขวัญมากมายให้กับหู่จือ “หู่จือ นี่เป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ รองเท้าผ้าใบ กระเป๋านักเรียนใบเล็ก และปากกาสีน้ำของหนูนะ”
กระเป๋าเดินทางทั้งหมดเต็มไปด้วยของฝากสำหรับหลินเซี่ยและหู่จื่อ
เซี่ยอวี่หยิบของออกมาจนเกลี้ยงกระเป๋าแล้วก็เหลือบมองไปที่เฉินเจียเหอ “หลานเขย ฉันต้องขอโทษด้วย รอบนี้ไม่ได้ซื้อของขวัญอะไรมาให้เธอเลย”
เฉินเจียเหอยิ้มอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไรครับ”
เซี่ยไห่บ่นพึมพำอยู่ข้าง ๆ “ไม่มีของของฉันด้วย วันหลังถ้าฉันกลับบ้านฉันจะลืมซื้อของไปฝากเธอบ้างแล้วกัน เธอนี่ใจร้ายจริง ๆ”
“ฉันแบกมาไม่ไหวแล้วต่างหาก” เซี่ยอวี่พูดอย่างใจป้ำ “งั้นนายก็พาหลานสาวกับหลานเขยออกไปช้อปปิ้งหน่อยสิ แล้วฉันจะคืนเงินให้ตามจำนวนเงินที่นายจ่ายไป”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยไห่ก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที “ไม่ต้องก็ได้”
ทุกคนอยู่คุยกันจนถึงห้าทุ่ม ก่อนที่จะจากไปอย่างไม่เต็มใจ
ก่อนออกไป หญิงชรายังหันมาจับมือหลินเซี่ยไว้แน่น แล้วบอกเธอว่า “เซี่ยเซี่ย พรุ่งนี้ย่าจะให้อารองของเธอมารับนะ พวกเราไปกินข้าวที่บ้านด้วยกัน”
“คุณย่า พรุ่งนี้ฉันยังมีงานที่ต้องทำตอนกลางวัน ไว้หลังเสร็จงานตอนบ่าย ฉันจะไปกินข้าวมื้อเย็นกับทุกคนนะคะ”
พรุ่งนี้เจียงอวี่เฟยต้องร่วมประกวดในรอบรองชนะเลิศของเวทีประกวดนางแบบ เธอต้องติดตามอีกฝ่ายไปด้วย
“ได้”
หญิงชราปล่อยมือหลินเซี่ยอย่างอาลัยอาวรณ์ หันกลับมามองถึงสามครั้ง “หลานสาวแสนดีของย่า พวกเราไปก่อนนะ”
“คุณย่า คุณอา ลาก่อนค่ะ”
“ทำไมเธอไม่เรียกฉันว่าอาบ้างล่ะ?” เซี่ยไห่เสนอตัวอีกครั้ง
หลินเซี่ยไม่ตอบ แต่พูดกับเขาว่า “รีบไปช่วยประคองคุณย่าเร็วเข้า ระวังเวลาเดินขึ้นลงบันไดด้วย”
หลังจากส่งคนออกไปแล้ว หลินเซี่ยก็มองไปที่กองของขวัญมากมายบนโซฟา จากนั้นก็หัวเราะคิกคัก
เฉินเจียเหอปิดประตู พอเห็นว่ารายการโทรทัศน์จบแล้ว ก็เดินไปปิดทีวี
“มีอะไรให้หัวเราะกัน?”
หลินเซี่ยมองไปยังสร้อยข้อมือเก่าแก่ที่ย่าของเธอมอบให้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข “ฉันมีความสุขมาก ในที่สุดฉันก็มีครอบครัวที่แท้จริงแล้ว”
ทันทีที่พวกเขาแวะมาพูดคุยด้วย เธอสัมผัสได้ทันทีว่าพวกเขามีเคมีบางอย่างที่สอดคล้องกับเธอ
ชาติก่อนเธอไม่มีญาติทางสายเลือดเลย ได้แต่อยู่ในบ้านตระกูลเสิ่นร่วมกับคนอื่น ๆ อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวตลอดเวลา
คนนอกมองเผิน ๆ อาจเห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นไปด้วยดี แต่มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองเหนื่อยแค่ไหน
ไม่มีใครปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นคนในครอบครัวเลย
เกิดใหม่ชาตินี้ เธอตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเสิ่น มีหลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนเป็นญาติสนิททางสายเลือด
แต่เนื่องจากบุคลิกและความเคยชินด้านวิถีชีวิตของพวกเธอ และเนื่องจากพวกเขาไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมายี่สิบปี ทำให้หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนระมัดระวังในการติดต่อกับเธออยู่เสมอ
จนกระทั่งคุณย่าเซี่ยและเซี่ยอวี่มาปรากฏตัวตรงหน้าเธอ แล้วสวมกอดเธออย่างอบอุ่น เธอรู้สึกสบายใจมากจริง ๆ
ตอนนี้หลินเซี่ยยังไม่ง่วงนอน ดังนั้นเธอจึงขอให้เฉินเจียเหอช่วยเล่าสถานการณ์ปัจจุบันของเซี่ยเหลยให้เธอฟัง
“คุณได้เจอพ่อตาของคุณหรือยัง? ช่วยเล่านิสัยใจคอของเขาให้ฉันฟังหน่อยสิ”
เฉินเจียเหอรู้สึกเครียดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเรื่องพ่อตา “บุคลิกของเขาค่อนข้างเย็นชา แถมยังสร้างกำแพงไว้แข็งแกร่งมาก ผมได้พูดอะไรกับเขาแค่สองสามคำเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน”
“บางทีเขาอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าก่อนออกไปรบกลางสงครามเคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ผมยังสังเกตด้วยว่าแม้แต่เซี่ยไห่ยังคุยกับเขาอย่างระมัดระวัง ถ้าเราเอาใส่ใจเขาให้มากขึ้นในอนาคต อาการของเขาต้องดีขึ้นแน่”
หลินเซี่ยรู้สึกหนักใจมากหลังจากได้ยินคำบรรยายจากเฉินเจียเหอ
“เขาต้องแบกรับความทรมานมากแน่เลย”
แม้ว่าเขาจะไม่เคยทำหน้าที่พ่อในการเลี้ยงดูอุ้มชูเธอ และอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเธออยู่ แต่ในอดีตเขาก็เคยเสียสละซึ่งร่างกายของตัวเองเพื่อสงบสุขของชาติ ปกป้องไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศ
ในฐานะลูกสาว แน่นอนว่าเธอทั้งสงสารเห็นใจและภาคภูมิใจในตัวเขา
วันรุ่งขึ้นก็ถึงวันที่เจียงอวี่เฟยต้องไปเข้าร่วมประกวดในรอบรองชนะเลิศของเวทีประกวดนางแบบ
หลินเซี่ยตื่นนอนแต่เช้า เตรียมเครื่องสำอางและอุปกรณ์แต่งหน้าทั้งหมดแล้วออกไปที่ร้านตัดผม
เธอหยิบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เซี่ยอวี่มอบให้ติดมือมาเป็นพิเศษ ตั้งใจว่าใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ในการเนรมิตใบหน้าให้กับเจียงอวี่เฟย
ทันทีที่เจียงอวี่เฟยมาถึงร้านตัดผมในตอนเช้า หลินเซี่ยก็เริ่มทำผมให้หล่อนเป็นสิ่งแรก ครั้งนี้เธอตั้งใจให้ลุคโดยรวมของอีกฝ่ายออกมาอ่อนหวานน่ามอง ทรงผมจึงค่อนข้างเรียบง่าย ยืดผมให้ตรงเป็นแพยาว จากนั้นก็ใช้หวีไฟฟ้าดัดผมหน้าม้าเป็นทรงแบบฝรั่งเศส
หลังจากนั้นก็มาถึงขั้นตอนการแต่งหน้า
ที่จริงหลังเวทีประกวดมีช่างแต่งหน้าของทีมงานคอยอำนวยความสะดวก ถ้าอยากแต่งหน้ากับพวกเขาจะต้องต่อคิว แต่เจียงอวี่เฟยมอบความรับผิดชอบทั้งหน้าและผมให้กับหลินเซี่ยทั้งหมด หลินเซี่ยไม่อยากโดนครูพักลักจำ ดังนั้นจึงแต่งหน้าให้เธอตั้งแต่อยู่ในร้านก่อนที่จะเดินทางไป
ก่อนแต่งหน้าจริงจังจะต้องลงรองพื้นก่อน
เจียงอวี่เฟยทำผมเสร็จแล้ว และกำลังจะแต่งหน้า ทันใดนั้นแขกที่ไม่คาดคิดก็เดินเข้ามาในร้าน
หญิงสาวคนนี้สวมแว่นกันแดดสีทึบ สวมหน้ากากผ้า ใส่เสื้อกันลมตัวโคร่ง ดูคลับคล้าบคลับคลาเหมือนนางเอกละครฮ่องกง
ชุนฟางคิดว่าเธอเป็นลูกค้าที่ต้องการมาทำผม ดังนั้นจึงเดินไปต้อนรับอย่างสุภาพ
ผู้หญิงคนนั้นมีออร่าที่แข็งแกร่งมาก ยังไม่ทันที่ชุนฟางจะพูดอะไร เธอก็ชี้ไปทางหลินเซี่ยแล้วพูดว่า “ไม่ต้องต้อนรับฉันหรอก ฉันแค่แวะมาหาเธอ”
หล่อนตัวสูงโปร่ง มีนิสัยเป็นเอกลักษณ์ อาจารย์หวังซึ่งเป็นชายวัยกลางคนที่อายุประมาณสี่สิบและเคร่งขรึมยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหล่อนอีกครั้ง
ทำไมถึงได้ดูเหมือนนางเอกภาพยนตร์คนหนึ่งนักนะ?
หลินเซี่ยเหลือบมองคนที่เข้ามาใหม่จากหางตา ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เธอถาม “คุณมาที่นี่ทำไมคะ?”
“มาหาเธอน่ะสิ”
เซี่ยอวี่ลากเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง “ทำธุระของตัวเองต่อไปเถอะ ฉันแค่มานั่งพักสักหน่อย”
“ค่ะ”
หลินเซี่ยมือเป็นประวิงจริง ๆ ในตอนนี้ ไม่สามารถหยุดกลางคันได้
เซี่ยอวี่นั่งอยู่ตรงนั้น ดูหลินเซี่ยแต่งหน้าอย่างตั้งใจ
ตอนแรกที่เธอเข้ามาในร้าน เจียงอวี่เฟยยังไม่ได้แต่งหน้าเลย
แต่พอหลินเซี่ยเริ่มแต่งแต้มความงามลงบนใบหน้าของหล่อนทีละส่วน ทันใดนั้นใบหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไป
ม่านตาเซี่ยอวี่ขยับเล็กน้อย ก่อนจะเพ่งพินิจไปที่หลานสาวตัวเองอีกครั้ง ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและรู้สึกทึ่ง
หล่อนถามหลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย เธอไปเรียนทักษะการแต่งหน้ามาจากไหน?”
หลินเซี่ยตอบเซี่ยอวี่ขณะที่กำลังวาดริมฝีปากให้กับเจียงอวี่เฟย “ฉันเรียนรู้ด้วยตัวเองค่ะ”
“จริงเหรอ?” เธอถามต่อ “ทักษะการทำผมก็ด้วยเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
“สุดยอดจริง ๆ”
เซี่ยอวี่กวาดตามองรูปลักษณ์โดยรวมของเจียงอวี่เฟยตั้งแต่หัวจรดเท้า ถามอย่างสงสัย “พวกเธอกำลังจะไปร่วมงานอะไรสักอย่างใช่ไหม?”
หลินเซี่ยตอบกลับ “เราจะไปที่สถานีโทรทัศน์ที่จัดประกวดนางแบบครั้งแรกของไห่เฉิงค่ะ หล่อนเป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง และเข้าร่วมการประกวดในครั้งนี้ด้วย”
“อ้อ เวทีประกวดนางแบบครั้งแรก”
เซี่ยอวี่มองเจียงอวี่เฟยขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างให้ความสนใจ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหมายบางอย่าง “ไม่เลว เธอมีแววว่าจะทำผลงานออกมาได้ดี พยายามให้เต็มที่ล่ะ ฉันหวังว่าจะได้เห็นเธอบนเวทีทั้งในรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ”
เจียงอวี่เฟยตอบกลับอย่างสุภาพ “ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ”
ถึงหล่อนจะไม่รู้ว่าผู้หญิงที่สวมแว่นกันแดดในร้านคือใคร แต่เจียงอวี่เฟยก็สัมผัสได้ถึงกำลังใจที่ส่งผ่านมาจากอีกฝ่ายจริง ๆ ทำให้หล่อนยิ่งมีแรงใจที่จะต่อสู้มากยิ่งขึ้น
สิ่งที่หล่อนต้องการมากที่สุดคือกำลังใจ
“ถึงเวลาที่พวกเราต้องไปแล้วค่ะ คุณอยากนั่งในร้านอีกสักพัก หรือจะแวะไปที่ร้านของเถ้าแก่เซี่ยก่อนดีคะ?” หลินเซี่ยถามหล่อน
“พวกเธอยุ่งอยู่กับงานของตัวเองไปเถอะ ฉันว่าจะเข้าไปตรวจงานของเถ้าแก่เซี่ยสักหน่อย”
เซี่ยอวี่เดินออกจากร้านไปพร้อมกับพวกเธอ แล้วเดินไปที่ห้องเต้นรำซึ่งอยู่ตึกข้าง ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ในที่สุดก็เจอครอบครัวแล้ว ชีวิตต่อไม่ไม่เหงาแล้วนะคะเซี่ยเซี่ย
ไหหม่า(海馬)