“ฉันรอคอยพวกคุณทั้งหมดอยู่ค่ะ”

“โอ้เธอนี่เอง ลิเลียม ไม่เจอกันนาน”

คนที่ต้อนรับเราเมื่อเราลงกฤษณะและเดินเข้าไปในสนามบินคือลิเลียม; เอลฟ์หญิงจากเผ่าโรสที่เป็นไกด์พาทัวร์และไปกับเราด้วยเมื่อเรามาทีต้าครั้งแรก

“หืมม…… มันดูเหมือนคุณไม่ระวังวันนี้เหรอ?”

ลิเลียมมองพวกสัมภาระเราครั้งหนึ่งแล้วพูดเบาๆ

วันนี้สิ่งเดียวที่เราเอามาด้วยคือกระเป๋าเล็กๆ ของที่อยู่ข้างในมีแค่เสื้อไว้ใส่และซองพลังงาน มันไม่เหมือนครั้งที่แล้วที่เราเอากระเป๋าเป้ใหญ่ใส่อุปกรณ์รอดชีวิตและอาหารสำรอง

“พอเธอพูดแล้วฉันอยากระวังมากกว่านี้เลย”

“ได้โปรดอย่าเลยค่ะ ฉันเกือบถูกลดต่ำแหน่งเพราะเหตุการครั้งที่แล้วรู้มั้ยคะ?”

ลิเลียนทำแขนทั้งสองทำกากบาทแถมหน้าจริงจัง ผมไม่ได้สนใจที่เธอเกือบลดตำแหน่ง– ไม่สิ บางทีผมควรสน แต่มันไม่เหมือนที่เครื่องบินตกมันความผิดเราทั้งหมดรู้ไหม เพราะตั้งแต่แรก ผมไม่คิดว่าผมจะเป็นคนที่ทำให้ตก แต่แม้ว่าผมจะคิด มัน ไม่เหมือนผมรู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับพลังวิญญาณพวกนั้น ดังนั้นเองโทษผมไม่ได้หรอก

“ถ้าอย่างนั้นพวกเขาลงโทษเธอ นั่นเหมือนโทษเผ่าโรสเต็มๆ นั่นทำไมเขาไม่ลงโทษเธอตอนนั้น”

“โฮ่ะเอ๋〜……. ถ้าอย่างนั้นมันเกี่ยวกับการเมืองอีกละ”

เกี่ยวกับเหตุที่พาหนะโดยสารที่เตรียมมาโดยเผ่ากราโดตก เผาโรสตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัยทันทีเมื่อเหตุเกิดขึ้น และพยายามกดดันให้เราเดินทางโดยใช้ยานอวกาศขนาดเล็ก เพราะพาหนะโดยสารไม่มีโล่พลังงานแรงส่งพลังงานต่ำด้วยซ้ำ และความสามารถด้านการสื่อสารมันก็ทำมาให้มีน้อยที่สุดด้วย

มากกว่านั้น ตัวถังพาหนะเองก็ไม่ได้ทนทานเพราะไปเน้นกับการลดน้ำหนัก ดังนั้นระดับความเสี่ยงมีสูงถ้าอุบัติเหตุเกิดขึ้น

พวกเขาก็เสนอการใช้ยานอวกาศขนาดเล็กเพราะพยามค้นหาและช่วยเหลือหลังอุบัติเหตุ แต่ถึงอย่างไรก็เสนอไม่ผ่านเพราะความคิดเห็นฝั่งตรงข้ามเหมือนผู้นำเผ่ากราโด ผู้นำที่เกลียดวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสุดไส้ แต่ในท้ายที่สุด เมย์โมโหจนดีดและขับกฤษณะเพื่อช่วยเราแทน

มันดูเหมือนเธอรับไม่ได้กับการตอบโต้เหตุที่ล่าช้าของเหล่าผู้นำทั้งหลายของเผ่าเอลฟ์ แต่ อืม แน่นอน เธอจะรับไม่ได้ ในเวลานั้น เราสมควรเป็นแขกสุดพิเศษที่สุดที่ไปหาเผ่ากราโด และซวยเกิดอุบัติ พาหนะผู้โดยสารที่เราโดยสารตก และเราถูกทิ้งไว้ลำพัง ความพยายามช่วยเหลือเกิดขึ้นด้วยความเร็วเหมือนหอยทากคลานเนื่องจากเหล่าผู้นำของเอลฟ์มัวแต่เถียงกัน และในที่สุดเมย์ก็ตัดสินใจช่วยเสียเอง พูดอีกอย่างหนึ่ง เธอตัดสินใจว่าเผ่าทั้งหลายมันพึ่งพาไม่ได้และจัดการปัญหาด้วยมือตัวเอง

เหมือนธรรมชาติดำเนิน เผ่าโรสตักเตือนเผ่ากราโดที่พวกเขาว่าเป็นคนที่ผิดกับเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เนื่องจากพวกเขายืนกรานจะใช้พาหนะผู้โดยสารที่เห็นชัดว่าพึ่งไม่ได้ของพวกตัวเอง พร้อมกับตักเตือนเผ่ามินฟาที่เสนอความคิดขึ้นมาด้วย แต่ในทางกลับกัน เผ่ากราโดและเผ่ามินฟาเขี้ยวปาคำวิพากษ์วิจารณ์มาลงกับลิเลียม ไกด์นำเที่ยวที่เผ่าโรสส่งไป ลิเลียมผู้ที่พวกเขาโทษว่าปล่อยให้เราหากินเอาเองระหว่างอยู่อย่างปลอดภัยในรถที่เหลือของพาหนะโดยสาร

อืมใช่ พวกเขาไม่มีเหตุผล กลับไปเมื่อตอนนั้น รถที่อยู่หน้าเราก็เกือบจะตกด้วยอยู่แล้ว และนักบินพาหนะโดยสารอากาศคือเอลฟ์ชายชื่อฮิชิอิ ก็มาจากเผ่ามินฟา เขาไม่มีทางเลือกมากมายนอกจากทำดีที่สุดเพื่อบินพาหนะลงถิ่นฐานหลักของเผ่ากราโดเพื่อรายงานเรื่องเครื่องบิิฃนตก โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่แน่ใจว่าพาหนะจะอยู่ในอากาศได้อีกนานแค่ไหนเพราะได้รับความเสียหายมา

แน่นอน เผ่าโรสควรแค่ปัดทิ้งไม่รับความพยายามย้ายมาโทษพวกเขา

พวกเขาจะยืนกรานว่าลิเลียมไม่ได้ทำอะไรผิดที่ตอบโต้อย่างนั้น แต่ดังนั้นเอง พวกเขาปล่อยลิเลียมไปเฉยๆเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ และผลลัพธ์ ผมอยากคิดกลอนเรื่องคอของเธอยังอยู่บนไหล่ได้ด้วยแค่หนังเล็กๆแต่คิดไม่ได้

“ถ้าอย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าทั้งหลายล่ะ หลังจากนั้นน่ะ?”

“ตอนนี้มันเย็นชาใส่กันเหมือนที่สุดความเย็นของอวกาศนอกค่ะ มากกว่านั้น ความไม่พอใจกันเหมือนกันหมดระหว่างผู้นำเผ่าและผู้นำระดับสูงของเผ่ากราโดก็ไปถึงจุดแตกหักแล้วด้วย”

“เฮ้ยเฮ้ย ฉันบอกนี่กับเธอดีกว่าฉันไม่ยุ่งกับที่เผ่าพวกเธอเถียงกันอีกแล้วนะเข้าใจมั้ย?”

“ไม่เป็นไรค่ะ แม้ฉันบอกว่ามันไปถึงจุดแตกหัก มันแค่ระหว่างเหล่าผู้นำอย่างเดียว พวกเขายังยิ้มหลอกๆให้กันและกันไม่ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาเจอกันและอะไรๆต่างๆจะไม่ตกไปอยู่ในการต่อยกันค่ะอย่างน้อย”

“อืม ฉันฟังนั่นแล้วจะพูดยังไงดีล่ะ……?”

“โอ้เอาน่า มันดีกว่าพวกเขาฆ่ากันและดวลปืนกันเยอะนะ”

ทีน่าพูดบางอย่างรุนแรงเสียน่ากลัว ดวลปืนหรือ……? พวกเขาไม่ใช่มาเฟียหรือแก๊งอาชญากรนะรู้ไหม

“เราควรสนิทกับเผ่าโรสง่ายด้วยเอลม่าซามะค่ะ เอลม่าซามะที่สายเลือดเดียวกัน, เป็นกลุ่มเรา, และมุมมองเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเหมือนเราส่วนใหญ่เหมือนกันค่ะนายท่าน”

เผ่าโรสเป็นฝ่ายที่เทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดในเผ่าหลักสามเผ่าของเอลฟ์ พวกเขาเน้นการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาชีวิตแล้วยังเห็นด้วยและเสนอความคิดไปข้างหน้าสู่อวกาศ พูดอีกอย่าง พวกเขาเป็นฝ่ายโน้มเอียงหาจักรวรรดิที่สุดในทีต้า

พวกเขาก็มีทรัพย์สินเป็นเงินมากที่สุดในหมู่ทั้งสามฝ่ายเนื่องจากการเน้นกับความสัมพันธ์จากภายนอกและการป้องกันทั้งระบบดาวรีวิล ซึ่งนำพวกเขาไปได้กำไรมากมายจากส่วนแบ่งการแลกเปลี่ยนเชิงพานิชย์กับระบบดาวอื่นในจักรวรรดิ อย่างไรก็ตาม พื้นฐานมุมมองพวกเขาเข้าไม่ได้เลยกับเผ่ากราโดที่เน้นประเพณีดั้งเดิม, สื่อสารกับภูติ, และวัฒนธรรมแห่งเวทมนตร์ และเผ่ามินฟาด้วยที่ยังยืนกรานว่าจะเอาของดีที่สุดของทั้งสองโลก เพราะแม้แต่ผู้นำเผ่าตอนนี้ก็ดูเหมือนเป็นแฟนเวทมนตร์ตัวยงอีกด้วย

“อืม ฉันว่าเป็นอย่างนั้น ฉันแน่ใจว่าเธอและคนอื่นจะตกใจฮิโระ ตกใจว่าที่นี่ปรกติแค่ไหนน่ะที่ฉันหมายถึง”

“ปรกติอย่างนั้นเหรอ…… เอ่อ อืม คนของเผ่ากราโดและมินฟาไม่ค่อนข้างหยิ่งก็แปลกเกิน”

ภาพของเอลฟ์หล่อกล้าม, เอลฟ์เจ้าหญิงเรียบร้อยสง่า, และเอลฟ์โอตาคุเวทมนตร์และอะไรประมาณนั้นกระพริบเข้ามาในหัวของผม

คนเดียวเท่านั้นที่ดูจะปรกติคือเน็ก ลูกชายหัวหน้าเผ่ามินฟา

“เราเตรียมเรื่องขนส่งมาแล้วค่ะ ได้โปรดตามฉันมา มันเป็นพาหนะหรูหราเหมาะสำหรับบุคคลสำคัญสุดเช่นตัวพวกท่าน ดังนั้นไม่ต้องกังวลค่ะ”

“โอออ้ ฟังดูดี เฮ้บอสพวกกเธอพูดว่าเราบุคคลสำคัญสุด บุคคลสำคัญสุดนะได้ยินมั้ย? ฉันแน่ใจว่ามีเหล้าชั้นสูงและขนมอยู่ด้วย”

“ดูหนังโฮโลมากไปป่าวทีน่า? หรือเธอมีแผนมาซดเหล้าเวลานี้เหรอ? เราจะเจอกับคนระดับสูงของเผ่าโรสหลังจากนี้นะรู้มั้ย?”

“ไม่เป็นไรหรอกบอส สำหรับดวอร์ฟอย่างเราเหล้าส่วนใหญ่เหมือนน้ำองุ่นนั่นแหละ”

“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเลยพี่สาว……”

แน่นอนมันไม่ดี ในความจริงมันเป็นปัญหา หรือไม่ใชเธอคิดกับตัวเองว่าดีจนไปฟังเหมือนติน้องสาววิสเกอร์หรือ? เธอหลอกฉันไม่ได้หรอก

เห็นไหมปากเธอกระตุกนิดหนึ่ง

“ขนมหรู……”

อืม ผมรู้สึกเหมือนมีมี่เพิ่มความแรงตัวละครชอบกินที่เธอเลือกมากไปหน่อยหนึ่ง มีเวลาและสถานที่สำหรับอะไรแบบนั้นคุณหนู แต่อืม ก็ดีกับเธอแล้วผมว่าเพราะเธอพัฒนาสินทรัพย์ด้านหน้าได้มากกว่านี้

ใช่ แต่ผมไม่พูดนั่นออกไปดังๆหรอก

“อ่ะ หยุดเล่นได้แล้ว เราให้อีกฝ่ายรอเรานานไม่ได้ ไปได้แล้ว”

“ใช่สิ มาเถอะเมย์”

“ค่ะนายท่าน”

เราออกสนามบินกับพี่น้องผู้ตื่นเต้นตามด้วยมีมี่ที่ตามมา จริงๆแล้วผมไม่ได้เดินทางไกลๆบนพื้นดินมาก่อนดังนั้นผมรอได้พบประสบการณ์ เพราะเราใช้แต่กฤษณะหรืออะไรที่คล้ายกับทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อไปททั่วเมืองหลวงจักรวรรดิ

“ถ้าอย่างนั้นพาหนะพื้นดินบนดาวเคราะห์นี้เป็นแบบนี้”

เราขึ้นรถเหินที่โด่งดัง มันขนาดประมาณรถใหญ่เท่ารถบรรทุก แต่มันยังเล็กกกว่ากฤษณะ อย่างไรก็ตาม ภายในมันค่อนข้างหรูหรา มันคล้ายโถงต้อนรับของโรงแรม 5 ดาว ที่นั่งสบายที่สามคนนั่งติดกันได้จัดอยู่ในรูปแบบตัว L และแม้แต่มีเคาน์เตอร์บาร์ที่มีเครื่องดื่ม, ขนม, และผลไม้หลากหลย

มากกว่านั้น พาหนะยังอัตโนมัติอีกด้วย

“เราไม่มีโอกาสได้เดินทางแบบนี้เยอะ ฉันว่านี่คือที่คนแถวเมืองไปมาในดาวเคราะห์ถูกมั้ย?”

“แล้วไม่เมืองจะเป็นแบบไหนล่ะเนี่ยถ้าอย่างนั้น?”

“ที่ขับอัตโนมันติใช้ได้ไม่เยอะ คุณจะต้องขับพาหนะเองตรงที่นั่งคนขับเหมือนยานอวกาศ รถเร็วที่บินได้ทั้งพื้นและท้องฟ้าถูกใช้เป็นหลักมากกว่าค่ะ”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

มีมี่พยักหน้าหลังได้ยินลิเลียมอธิบายตอนเธอกินขนมหวานที่เธอถูกแนะนำให้กิน เอ๋? พี่น้องช่าง? พวกเธอเริมชิมไวน์ต่างๆในเคาน์เตอร์บาร์แล้ว

เราควรปล่อยพวกเธอไว้ที่นี่เมื่อเราเจอผู้นำไหมผมสงสัย

“นายท่านคะ”

“อะไรเหรอ?”

“มีแผนจะทำยังไงกับของชิ้นนี้คะ​?”

หลังจากถาม เมย์ไปมองของต้องสาประดับพิเศษที่ส่องแสงสว่างไสว – เมล็ดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์

“ฉันจะส่งมันให้ผ่าโรส”

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้านั่นเป็นที่ท่านตัดสินใจฉันก็ว่านันดีที่สุดค่ะนายท่าน”

“มีที่อื่นในใจเหรอเมย์”

“ไม่ค่ะ ของชิ้นนั้นดูเหมือนมีความสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของท่านขึ้นทวีคูณ ดิฉันเพียงแค่คิดว่าเราเก็บไว้เองก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง อย่างไรก็ตามการทำอย่างนั้นไม่ต้องสงสัยว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของงเรากับเอลฟ์ระบบดาวรีฟิลแย่ลง ดังนั้นดิฉันก็ไม่ได้ชอบความคิดนั้นมากเท่าไหร่”

เข้าใจแล้ว? อืม มันจริงทที่เก็บสิ่งนี้ไว้อาจทำพลังลึกลับผมยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก

“ไม่ไม่ไม่สำคัญว่าเธอพูดยังไง นั่นจะนำไปเรื่องไม่ดีแหงๆ ฉันจะส่งมันให้เผ่าโรส”

“ฉันดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นค่ะ”

ผมหันไปหาลิเลียมผู้ฟังเมย์และผมคุยกันแล้วเห็นเธอลูบอกโล่งใจ แน่นอนมันจะสร้างปัญหาหลักสำหรับเอลฟ์ระบบดาวรีฟิลถ้าผมเอาของต้องสาประดับพิเศษไปด้วยกันกับผม จริงเป็นพิเศษสำหรับคนเหล่านั้นที่ใช้วิญญาณใช้ชีวิตด้วย

เผ่าโรสไม่ได้ดูเหมือนชอบความสำคัญของพลังวิญญาณมากเมื่อเทียบกับเผ่าอื่น แต่พวกเขาส่วนใหญ่ยังใช้พลังนั้น

และมากกว่านั้น ผมเป็นบางคนที่ถูกพามาที่นี่โดยลูกสาวตระกูลวิลโรส ถ้าภาพลักษณ์ผมกลายเป็นห่วยสุดติดใต้ดินในหมู่เอลฟ์หลังจากเอาเมล็ดต้นไม้ศักดิ์สิทธิไป ตำแหน่งเผ่าโรสก็มีอันตรายเสี่ยงๆจะหลุดด้วยเหมือนกัน

นั่นทำไมการตัดสินใจของผมทำเธอโล่งใจ

“เราจะไปถึงโถงรวมพลกลางของเผ่าโรสไม่นานค่ะ”

“ได้สิ เฮ้เธอสอง หยุดกินเหล้าได้แล้วมั้ง? เราจะถึงอยู่แล้ว”

ผมแย่งขวดไวน์ไปจากมือทีน่าเมาๆและเตรียมออกจากรถ แต่เจ้านี่เรียกรถได้หรือ? ช่างมันเถอะ เราพร้อมออกพาหนะ

ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ ผมสงสัยว่าคนเผ่าโรสจะเป็นแบบไหนกัน? ผมคุยกับกลุ่มผู้แทนนิดหน่อยระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำตอนนู้น แต่ผมเห็นแล้วเฉยๆไม่ประทับใจเรื่องอะไรัั