บทที่ 285 การประชุมสุดวิเศษ

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

บทที่ 285 การประชุมสุดวิเศษ

หลังจากที่มาถึงห้องของไป๋เยี่ยแล้ว อาคามอสและโมลโดก็มองหน้ากันอย่างประหม่า การรีบคุยโวโอ้อวดไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย

ไป๋เยี่ยมองทั้งสองคนก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมพวกคุณดูสีหน้าไม่ดีเลย”

อาคามอสถอนหายใจ “อาจารย์ ผมขอโทษ…”

ไป๋เยี่ยผงะ “มีอะไรเหรอครับ”

โมลโดหน้าแดง “มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เราเชิญมาไม่ได้ โดยเฉพาะระดับบนๆ ของแต่ละสาขา พวกเขามีเหตุบางอย่างทำให้มาที่นี่ไม่ได้”

อาคามอสพูดต่อ “พวกเราได้เชิญคนมาราวๆ ยี่สิบกว่าคน ถึงพวกเขาจะไม่ใช่ระดับแนวหน้า แต่ความสามารถของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย อาจารย์โอเคไหมครับ”

ไป๋เยี่ยยิ้ม อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาด้วยซ้ำ แค่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือก็พอแล้ว ท้ายที่สุดแล้วไป๋เยี่ยก็ไม่ได้ต้องการเชิญคนตำแหน่งสูงเหล่านั้นมาเล่นๆ แต่เขาหวังว่าจะได้พูดคุยกันในประเด็นต่างๆ เท่านั้นเอง

ไป๋เยี่ยจึงหัวเราะออกมาเบาๆ “แค่นี้ก็พอแล้วครับ พวกคุณไปเตรียมตัวมาให้พร้อมเถอะ อีกไม่กี่วันเราจะเริ่มดำเนินการแล้ว จบงานนี้ผมจะได้เตรียมตัวกลับประเทศจีนสักที”

เมื่อทั้งสองคนได้ยินว่าไป๋เยี่ยจะกลับประเทศ พวกเขาก็หันไปมองหน้ากัน เร็วๆ นี้เนี่ยนะ

อันที่จริงเรื่องนี้จะโทษทั้งสองคนก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะเต็มใจเดินทางมาที่เมียนมาและก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อในสิ่งที่อาคามอสพูด

ท้ายที่สุดแล้วการพัฒนาด้านการแพทย์ในปัจจุบันของเอเชียก็ยังคงล้าหลังอยู่บ้าง

ดังนั้นหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นได้รับสายแล้ว บางคนก็เลือกที่จะหัวเราะกลบเกลื่อน และหาเหตุผลต่างๆ นานามาปฏิเสธ

อย่างไรเสียทุกคนก็ยุ่งอยู่กับงาน เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะผละออกมาจากงานเพื่อเดินทางมาที่เมียนมา

คุณคิดว่าผู้เชี่ยวชาญมีเวลาว่างขนาดนั้นเลยหรือ

แน่นอนว่าไม่!

เวลาของพวกเขาล้วนมีค่า พวกเขายังมีโครงการสำคัญต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบ ไหนจะต้องเข้าร่วมการประชุมใหญ่และเขียนรายงานอีก

วันที่สิบห้า วันนี้เป็นวันเทศกาลหยวนเซียว[1]

ไป๋เยี่ยซึ่งเดินทางมาถึงเมียนมาแทบไม่ได้กินกับข้าวร้อนๆ มาตั้งแต่ตรุษจีนจนกระทั่งตอนนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกี๊ยวหรือบัวลอย[2]เลย

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดภารกิจที่นี่ก็ใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว กลับไปก็คงต้องให้รางวัลตัวเองสักหน่อย

ความช่วยเหลือจากอาคามอสและโมลโดทำให้การประชุมผ่านไปอย่างราบรื่น อย่างไรเสียพวกเขาทั้งคู่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ ต่างเคยเข้าร่วมการประชุมเล็กใหญ่มานับไม่ถ้วน การเชิญผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ มานั้นจึงไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง

คนที่มาร่วมประชุมส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของทั้งสองคน ต่อให้ไม่ใช่เพื่อนก็เป็นคนที่รู้จักกันดีจึงสะดวกต่อการเชิญมาเข้าร่วมงานนี้

ถึงกระนั้น จะมีการประชุมที่ไหนที่ออกค่าเดินทางมาเมียนมาให้กับคนที่จะมาเข้าร่วม

เวลาบริษัทเวชภัณฑ์หลายเจ้าจัดการประชุมก็มักจะให้การต้อนรับบรรดาผู้เชี่ยวชาญเป็นอย่างดี ทั้งจัดหาอาหารเครื่องดื่มรสเลิศและจองโรงแรมห้าดาวให้พวกเขาได้พักผ่อนนอนหลับ

แต่จะมีการประชุมที่ไหนเป็นแบบที่ไป๋เยี่ยจัดบ้างหรือไม่ การประชุมครั้งนี้จัดในสถานที่เปิดโล่งพร้อมด้วยค่าเดินทางที่ออกโดยไป๋เยี่ย ส่วนในเรื่องของอาหารการกินก็มีจัดเตรียมไว้ให้พร้อม แต่คงไม่ใช่บุฟเฟต์ตามโรงแรมหรูหรา เป็นเพียงอาหารจานด่วนที่ให้พลังงานสูงเท่านั้น

ในส่วนของที่พัก ผู้เข้าร่วมจะได้สัมผัสกับบรรยากาศการนอนเต็นท์ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ฟังเสียงลมทะเล บางครั้งก็อาจจะมีกระแสลมหนาวพัดพามาในกลางดึกด้วย…

ส่วนเรื่องเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ และความบันเทิงสนุกสนานน่ะหรือ เหอะๆ ที่นี่ก็มีแต่ผู้บาดเจ็บและซากปรักหักพัง

ดังนั้นการที่ยังมีคนมาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว อย่างน้อยคนพวกนี้ก็ยังไว้หน้าอาคามอสและโมลโด

แม้ว่าทุกคนจะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่พอมาถึงที่นี่ ความเข้าใจของทุกคนเกี่ยวกับการประชุมก็เปลี่ยนไปในทันที ทำให้พวกเขาต้องให้คำจำกัดความใหม่กับการประชุมครั้งนี้

ทั้งอาคามอสและโมลโดก็เอาแต่พูดอวยยศไป๋เยี่ย จนคนอื่นๆ เริ่มสงสัยว่าไป๋เยี่ยมีดีอะไรถึงทำให้ทั้งคู่พูดถึงเขามากขนาดนี้

ต่อไปก็เหลือแค่รอให้การประชุมเริ่มต้นขึ้น

นี่ถือได้ว่าเป็นการจัดการประชุมแลกเปลี่ยนความรู้ครั้งแรกของไป๋เยี่ยเลย

ถึงแม้ว่ามันจะเรียบง่าย ทว่าจุดประสงค์ของการประชุมไม่ได้อยู่ตรงนั้น จุดประสงค์ของไป๋เยี่ยก็คือระหว่างที่เขาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ เขาก็จะสะสมค่าประสบการณ์ให้เกินหนึ่งแสนแต้มและอัปเลเวลทักษะขึ้นเป็นเลเวลเจ็ด!

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ไป๋เยี่ยคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับประสบการณ์ แต่คนอื่นๆ ก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นด้วย

เพื่อให้การประชุมดำเนินไปอย่างราบรื่น ไป๋เยี่ยจึงได้จัดเตรียมเคสผู้บาดเจ็บที่จะนำมาอภิปรายไว้แล้ว

เขากังวลกับเรื่องนี้มาก จึงสรุปเคสที่ต้องนำมาอภิปรายอย่างรอบคอบเพื่อความสะดวก

เรียกได้ว่าเคสเหล่านี้ล้วนเป็นเคสที่สิบปีจะเจอสักครั้ง แต่กลับเจอได้ ณ ที่แห่งนี้

ท้ายที่สุดแล้วการแพทย์ฉุกเฉินก็แตกต่างจากสาขาวิชาอื่นๆ ไม่มีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เช่นนี้เกิดขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว เหตุการณ์นี้จึงมีคุณค่าต่อการวิจัยสูงมาก

การประชุมจัดขึ้นในวันที่สิบห้า ไป๋เยี่ยเดินไปยังสถานที่จัดประชุมเพื่อหาที่นั่ง

ไป๋เยี่ยมองดูทุกคนที่มาร่วมการประชุมแล้วยิ้มออกมา “ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาจากตารางงานที่ยุ่งเหยิงเพื่อมาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้นะครับ ในอีกสองวันข้างหน้า พวกเราจะมีการอภิปรายถึงเคสผู้ป่วยหายากที่ได้พบระหว่างช่วงเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมานี้…”

“ผู้บาดเจ็บรายแรกเป็นมีอาการบาดเจ็บที่สมอง ศีรษะถูกแทงด้วยเหล็กเส้น กะโหลกแตก ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบว่าสมองได้รับความเสียหายใดๆ แต่ก็มีบาดแผลจำนวนมากบริเวณกะโหลกศีรษะ…”

ระหว่างที่ไป๋เยี่ยอ่านเคสผู้บาดเจ็บ ทุกคนก็เงียบไป เพราะเคสกะโหลกศีรษะแตกและมีรอยฟกช้ำนั้นเป็นเคสที่ธรรมดามาก พบได้บ่อยในเหตุการณ์แผ่นดินไหว ทว่าจากการพยากรณ์โรคของผู้บาดเจ็บเคสนี้กลับพบว่านี่เป็นเคสที่รักษายากเพราะมีอาการสาหัส เป็นอันตรายต่อผู้บาดเจ็บอย่างมากเพราะยากที่จะประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมอง

อีกทั้งการรักษายังทำได้ยากมาก เพราะว่าไม่มีการตรวจภาพเอ็กซเรย์ จึงประเมินอาการของบาดเจ็บไม่ได้!

ไป๋เยี่ยพูดต่อ “ทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องยากมากในการเลือกวิธีการรักษาเคสดังกล่าว แต่ระหว่างที่เกิดแผ่นดินไหว ผมก็ได้พบกับผู้บาดเจ็บที่คล้ายกับเคสนี้หลายร้อยรายเลยทีเดียว ซึ่งจากที่พวกเราได้ทำการทดลองวิจัยอย่างต่อเนื่องแล้ว ในที่สุดพวกเราก็ได้คิดค้นแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะเพิ่มอัตราการรักษาสำเร็จได้”

ไป๋เยี่ยกล่าวพลางขอให้โยฮันแจกขั้นตอนการรักษาที่ไป๋เยี่ยร่างด้วยตนเองให้ทุกคน จากนั้นจึงเริ่มอธิบาย

ไป๋เยี่ยอธิบายทุกขั้นตอนอย่างละเอียด ทั้งวิธีจัดการกับผู้บาดเจ็บ วิธีการวินิจฉัย วิธีการรักษาแบบกำหนดเป้าหมายและวิธีการอื่นๆ…

ทันใดนั้น ทุกคนก็ถูกดึงดูดโดยหัวข้อเปิดการประชุม เพราะว่าเคสดังกล่าวถือเป็นปัญหาด้านการรักษาพยาบาลระดับนานาชาติจริงๆ ซึ่งสิ่งที่ไป๋เยี่ยพูดก็ฟังดูสมเหตุสมผล!

วิธีที่เขาใช้ล้วนเป็นวิธีการที่มีอยู่แล้ว ทว่าก็มีจุดที่แตกต่างจากการผ่าตัดทั่วไป วิธีการตรวจความดันในกะโหลกก็เป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป ทว่าการจะดำเนินการผ่าตัดในที่แบบนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พอคิดถึงจุดนี้แล้วก็จะพบว่ามันยากมากจริงๆ…

ทันใดนั้น ทุกคนก็ละทิ้งสิ่งที่อยู่ในใจและหันมารวบรวมสมาธิฟังสิ่งที่ไป๋เยี่ยกำลังจะพูด

[1] เทศกาลหยวนเซียว หรือ เทศกาลโคมไฟ จัดขึ้นในวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นเทศกาลที่ต่อจากเทศกาลตรุษจีนเป็นการฉลองค่ำคืนแรกของปี

[2] บัวลอย ในที่นี้คือขนมทังหยวน ขนมที่คล้ายกับขนมบัวลอยของไทย ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นทรงกลมและสอดไส้ด้วยไส้ต่างๆ รับประทานคู่กับน้ำเชื่อม คนจีนมักจะรับประทานทังหยวนกันในเทศกาลหยวนเซียว เพราะออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘ถวนหยวน‘ (团圆) ซึ่งหมายถึงการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัว