บทที่ 234 กระเป๋านักเรียนเป็นปัญหาอีกครั้ง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 234 กระเป๋านักเรียนเป็นปัญหาอีกครั้ง

บทที่ 234 กระเป๋านักเรียนเป็นปัญหาอีกครั้ง

เสี่ยวเถียน เสี่ยวปา และเสี่ยวจิ่วเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นปีที่หนึ่ง และครูประจำระดับชั้นคือ หานเหลียงผิง เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูมีอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น รอยยิ้มจาง ๆ ใบหน้าของเขาทำให้คนมองรู้สึกสบายใจมาก

ตอนที่หานเหลียงผิงเห็นเด็กทั้งสามคนก็ประหลาดใจมาก

เด็ก ๆ พวกนี้เข้าเรียนสายกว่าคนอื่นเลย และเสี่ยวเถียนก็อายุน้อยที่สุดในบรรดาเด็กสามสิบแปดคน

ตอนมาถึงห้องเรียน หานเหลียงผิงก็จัดที่นั่งให้กับพวกเขา

เพราะอายุน้อย และตัวไม่สูง เลยได้นั่งอยู่แถวหน้าสุด

หลังจากที่ทุกอย่างเรียบร้อย หานเหลียงผิงก็เหลือบมองไปรอบ ๆ แต่เมื่อสายตาของเขาผ่านไปที่ไหนสักแห่ง อีกฝ่ายอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร

“นักเรียนครับ วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเรียน พวกเรามาแนะนำตัวกันก่อนสักหน่อยนะ”

ทันทีที่เขาพูดจบก็ได้ยินเสียงสบาย ๆ ดังออกมา

“ฉันชื่อเฝิงเสียงอวี่ หมายถึงพุ่งทะยานข้ามผ่าน จากนี้ไปพวกแกทุกคนต้องฟังฉัน!”

เด็กชายตัวสูงยืนขึ้น เสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ มั่นใจยิ่งกว่าเสียงของครูประจำอีก

ครูหานตกตะลึง พวกนักเรียนก็เช่นกัน

นี่หมายความว่าอย่างไร?

ซูเสี่ยวเถียนเบิกตากว้าง แล้วมองไปยังนักเรียนที่เรียนตัวเองว่า เฝิงเสียงอวี่

ใครเนี่ย?

แล้วยังพูดอีกว่าให้ทุกคนฟังเขา!

ไม่ดูตัวเองหน่อยหรือว่ามีคุณสมบัติพอไหม

เฝิงเสียงอวี่ตัวสูงมาก จากการคาดคะเนด้วยสายตา เขาน่าจะสูงไม่ต่างไปจากพี่สี่ ปีนี้เขาอายุเท่าไรแล้วนะ

แต่น่าจะแก่กว่าเธอหลายปีเลย!

เขาอายุเยอะแล้วนะ แต่ยังเรียนมัธยมต้นปีที่หนึ่งอยู่เลย แล้วยังกล้าอวดดีหน้าไม่อายอีก

นักเรียนแบบนี้ ดูก็รู้ว่าเสี่ยวเถียนไม่ชอบ แต่เธอแค่แสดงความรู้สึกในใจ ไม่ได้แสดงออกมา

“นักเรียนเฝิงเสียงอวี่นั่งลงก่อนเถอะ ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นนะ ไม่ควรมีใครต้องฟังใครสิ!” ครูหานพูดอย่างอดทน

ครูหานกลัวเฝิงเสียงอวี่คนนี้

เขาเป็นนักเรียนซ้ำชั้น อายุสิบห้าปีแล้ว มีนิสัยอวดกร่างอยู่ในโรงเรียนโดยใช้ประโยชน์จากอำนาจของครอบครัว

ก่อนหน้านี้มีครูที่กล้าลงมือตรง ๆ ด้วย

ตอนแรกได้ยินว่าเฝิงเสียงอวี่จะย้ายมาอยู่ห้องของเขา หานเหลียงผิงก็คัดค้าน แต่เขาไม่สามารถต้านทานอำนาจของตระกูลเฝิงได้ จึงทำได้แค่ยอมตกลง

หานเลี่ยงผิงไม่รู้ว่าเหตุผลที่เฝิงเสียงอวี่ต้องการย้ายมาอยู่ชั้นมัธยมต้นปีที่หนึ่ง เพราะปีนี้มีเด็กได้คะแนนดีมาก และได้ยินว่าได้คะแนนเต็มทั้งสองวิชาเลย

ในฐานะคนที่ไม่ตั้งใจเรียน เฝิงเสียงอวี่ไม่ชอบนักเรียนที่เรียนได้คะแนนดีมาก ๆ

ชั้นมัธยมต้นปีที่สองไม่มีเพื่อนคนไหนเรียนดีเลย เขาเลยคิดว่าอยู่ระดับชั้นนี้ไปก็ไม่มีความหมาย

เพราะงั้นคนที่บ้านเสนอให้เขาเรียนซ้ำชั้นชั้นปีที่หนึ่ง เพื่อรวมความรู้ของเด็กในระดับชั้นนี้ และสร้างความเดือดร้อนให้พวกเด็กใหม่ เขาจึงตอบตกลงทันที

ชื่อเสียงของเฝิงเสียงอวี่ค่อนข้างเป็นอุปสรรคในโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่ง

นักเรียนส่วนใหญ่กลัวเขามาก มีส่วนน้อยที่ไม่ได้กลัวเพราะไม่เคยได้ยินเสียงเสียงเขามาก่อน

ในเมื่อเขาเอ่ยปากโดยไร้ความละอายใจใด ๆ คนก็เลยกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะมองด้วย

ท่ามกลางฝูงชนที่มีสายตาหดหู่ จู่ ๆ คนอย่างซูเสี่ยวเถียนที่กล้าจ้องมองเฝิงเสียงอวี่ก็ปรากฏตัวขึ้น ซึ่งโดดเด่นมาก

เขาเหลือบมองไปที่ซูเสี่ยวเถียน ก่อนจะพูดกับครูหานอย่างเกียจคร้าน “ฉันบอกให้ฟังก็ต้องฟังฉันสิ ถ้าไม่ฟังก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจเลย!”

ตอนที่พูด เขามองเสี่ยวเถียนเหมือนตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ แต่ความหมายที่สื่อมาถึงเธอคือยั่วยุและข่มขู่

เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเด็กอยู่ หาญกล้าเหลือเกิน

รอเธอหันไปก่อนค่อยทำให้รู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน

ครูหานรู้ว่าเฝิงเสียงอวี่เป็นคนแบบไหน แต่ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง

ได้ยินมาว่าหากมีครูคนไหนจัดการกับเขา ไม่มีใครมีผลลัพธ์ที่ดีเลย

หัวแตกบ้าง ขาหักบ้าง จากนั้นมาก็ไม่มีครูคนไหนคิดจะสนใจเขาอีก

ครูหานได้แต่ขมวดคิ้วไม่กล้าพูด

เฝิงเสียงอวี่ภูมิใจมากที่ครูไม่กล้าพูด

เขามองไปที่พวกซูเสี่ยวเถียนที่อยู่แถวแรก

เสี่ยวเถียน เสี่ยวปา และเสี่ยวจิ่วอายุไม่เยอะ แต่หน้าตาดีมาก แบกกระเป๋าใบใหม่ น่าสนใจเหลือเกิน

เฝิงเสียงอวี่เองก็เห็นเช่นกัน แน่นอนว่าเขาไม่ชอบพวกซูเสี่ยวเถียนเลย ในความคิดเขาเหมือนพวกหัวไชเท้า

ดูเหมือนจะเด็กมากด้วย ได้ยินว่าเป็นพวกบ้านนอก แต่สะพายกระเป๋านักเรียนสีเขียวทหารใบใหม่เสียอย่างนั้น

ไม่กลัวของใหม่จะโดนทำลายสินะ!

เขาพูดอย่างยโสโอหัง “พวกแกเอากระเป๋ามาให้ฉัน!”

พอครูหานไม่พูด เฝิงเสียงอวี่ก็หยิ่งผยองมากขึ้น เขาเอ่ยปากขอกระเป๋าออกมาตรง ๆ

“นักเรียนเฝิงเสียงอวี่ เธอทำแบบนี้…”

“หุบปากซะ ระวังฉันจะส่งแกไปเดินประจาน!” เฝิงเสียงอวี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หานเหลียงผิงคิดจะพูดต่อ แต่กังวลว่าอีกฝ่ายจะทำในสิ่งที่พูดจริง ๆ และเรื่องนี้ก็ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น

แต่หลังจากที่ครูหานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยังตัดสินใจเกลี้ยกล่อมเฝิงเสียงอวี่อยู่

แม้ว่าภูมิหลังครอบครัวของเฝิงเสียงอวี่จะแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับหัวหน้าเฉินแล้ว มันเทียบแทบไม่ได้เลย

เขากำลังจะพูด แต่ซูเสี่ยวเถียนใช้สายตาหยุดเอาไว้

ซูเสี่ยวเถียนส่ายหัว

แค่เป็นฝ่ายพูดให้ก็พอแล้ว เสี่ยวเถียนไม่อยากให้ครูช่วยเธอแก้ปัญหา

เพราะอย่างไรก็ยังแก้ไขด้วยตัวเองด้วย จะเป็นการดีกว่าหากเธอทำด้วยตัวเอง

พึ่งพาแต่ครูแบบนี้ จะแก้ปัญหาเองไม่ได้เอาเสีย!

แม้เขาจะไม่รู้ว่าเด็กหญิงหมายถึงอะไร แต่ครูหานยอมฟังคำแนะนำและไม่ได้พูดต่อ

พี่แปดกับพี่เก้ามองน้องเล็ก

เสี่ยวเถียนได้ยินคำพูดนั้นแล้ว และก็รู้ด้วยว่าเขาไม่ใช่คนดี คนแบบนี้เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์

แต่คนแบบนี้ ถ้าใจอ่อนด้วยสักครั้ง ครั้งหน้าจะยิ่งผยองมากขึ้น

เธอยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วมองไปที่เฝิงเสียงอวี่ด้วยดวงตาลุกโชน

ปีนี้เสี่ยวเถียนอายุสิบขวบ ตัวไม่ได้เตี้ยมากในหมู่เพื่อน ๆ แต่เมื่อเทียบกับเฝิงเสียงอวี่ที่อายุสิบห้าปี เธอยังสูงไม่พอและเตี้ยกว่าครึ่งหนึ่ง

พูดได้ว่าอีกฝ่ายก้มมองเธออยู่

แม้ว่าจะยังมีระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสอง แต่ข้อได้เปรียบด้านความสูงตามธรรมชาติทำให้ผู้คนรู้สึกว่าซูเสี่ยวเถียนจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน

เพื่อนร่วมโต๊ะของซูเสี่ยวเถียนเป็นผู้หญิงที่เงียบมาก

เธอยังดึงเสื้อเสี่ยวเถียนเบา ๆ ส่งสัญญาณไม่ให้เธอขัดแย้งกับเฝิงเสียงอวี่

แต่เด็กหญิงยิ้มอย่างสบายใจให้แทน

เด็กชายวัยสิบห้าปีไม่เข้าใจการกระทำนั้น เขาจึงยังจ้องมองเธอยู่

“สาวน้อย เธอหมายความว่ายังไง?”

ซูเสี่ยวเถียนยิ้ม แต่คำพูดหนักแน่นมาก

“ไม่มีความหมายอะไรหรอก เพื่อนนักเรียน พวกเรามีกระเป๋ากันแค่คนละใบเท่านั้น ให้นายไม่ได้หรอกนะ!”

เฝิงเสียงอวี่ไม่คาดคิดว่าซูเสี่ยวเถียนจะพูดแบบนี้ออกมา

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าขัดต่อความต้องการของเขา

สถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ ถ้าห้ามเอาไว้ไม่ทัน จากนี้ไปเฝิงเสียงอวี่จะมีสถานะแบบไหนในโรงเรียนกันแน่?

ส่วนเจ้าตัวนั้นกำหมัดแน่นจนเสียงดังกรอบแกรบ ดวงตาจ้องมองเด็กหญิงด้วยท่าทางดูถูก ก่อนจะเอ่ยปาก

“แกรู้ไหมว่าฉันจะจัดการยังไงกับคนที่ไม่เชื่อฟังฉัน?”

แน่นอนว่าซูเสี่ยวเถียนไม่รู้

“ฉันไม่สนใจจะรู้หรอก!”

ไม่สนใจจริง ๆ!

เด็กหญิงตัวเล็กมีความกล้าหาญมากจนทุกคนประหลาดใจ รวมถึงหานเหลียงผิงที่เป็นครูประจำชั้นด้วย

มีแค่เสี่ยวปาและเสี่ยวจิ่วที่แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

พวกเขาไม่คิดว่าเฝิงเสียงอวี่จะสามารถเอาชนะซูเสี่ยวเถียนได้ เลยคิดว่าอีกฝ่ายต้องเสียเปรียบแน่

ส่วนหานเหลียงผิงกลัวแล้ว กลัวว่าทั้งสองคนจะกันขึ้นมา

แต่เขาไม่สนใจที่จะกลัวต่อไปแล้ว แล้วรีบเดินลงจากแท่นสอนอย่างรวดเร็ว “นักเรียนเฝิงเสียงอวี่ พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมห้องกันนะ!”

เขาอยู่โรงเรียนนี้มาตั้งหลายปี และรู้ด้วยว่าหานเหลียงผิงหมายถึงอะไร

ก่อนหน้านี้ ถ้าใครไม่ฟังเฝิงเสียงอวี่ เขาจะใช้วิธีการต่อหนึ่งหมัดเพื่อจัดการ

ถ้าหนึ่งหมัดไม่จัดการก็จะต่อยไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะยอม!

เสี่ยวเถียนตัวเล็ก ไม่รู้ว่าจะทนหมัดได้ไหม

ส่วนเฝิงเสียงอวี่มองไปที่ครูหานอย่างอย่างเย็นชา

เขาไม่ได้ถือว่าอีกฝ่ายเป็นครูเลย ในสายตานั้นไม่มีความเคารพสักนิด

“แกถอยออกไปจะดีกว่านะ!”

หานเหลียงผิงไม่กล้าสนใจเรื่องนี้หรอก แต่เขาต้องทำ

ทว่าเสี่ยวเถียนกลับยิ้มให้ มันชัดเจนมาก นั่นคือสร้างความมั่นใจให้กับเขา

ในฐานะครูแล้ว เขาเห็นความแตกต่างระหว่างพละกำลังของสองคนนี้มาก จะสบายใจได้อย่างไร?

“ซูเสี่ยวเถียน ไม่งั้นเธอ?”

หานเหลียงผิงไม่มีความกล้าที่เอ่ยจะประโยคที่เหลือต่อ

เขาจะเกลี้ยกล่อมซูเสี่ยวเถียนจนยอมเอากระเป๋าส่งให้เฝิงเสียงอวี่ได้เชียวหรือ?

“ครูหาน ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า พวกสุดโต่งเป็นพวกเสือกระดาษ*[1] และในสายตาหนู เฝิงเสียงอวี่ก็เป็นแค่เสือกระดาษเท่านั้น!”

ตอนที่เธอพูด ทุกคนตกใจมาก พวกเขาอ้าปากค้างจนหุบไม่ได้

มีแค่พี่แปดและพี่เก้าที่ตื่นเต้นจนเกือบปรบมือให้เท่านั้น

สภาพจิตใจของหานเหลียงผิงในเวลานี้บอกได้คำเดียวว่าบอบช้ำมาก!

เฝิงเสียงอวี่เป็นพวกไม่สนโลกก็พอแล้ว แต่ทำไมเสี่ยวเถียนผู้เป็นเด็กสาวท่าทีอ่อนโยนถึงเป็นคนดื้อรั้นด้วย?

เทียบกับความบอบช้ำในใจครูหานแล้ว เฝิงเสียงอวี่เกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ

นังเด็กคนนี้ กล้าดีอย่างไรมาพูดว่าเขาเป็นเสือกระดาษต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้

เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป

ต้องให้เธอคนนี้รู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน!

ตั้งแต่เฝิงเสียงอวี่อยู่ที่นี่มา เขาไม่เคยเสียเปรียบเลย

แม้แต่คนที่อายุมากกว่าก็ไม่เคยเอาเปรียบเขา

เฝิงเสียงอวี่มองซูเสี่ยวเถียน “แกกล้าดียังไงมาท้าทายความยิ่งใหญ่ของฉัน สาวน้อย ฉันไม่มีนิสัยต่อยผู้หญิงหรอกนะ!”

ในสายตาของซูเสี่ยวเถียน ท่าทางแบบนี้มันน่าขันมาก

เป็นแค่เด็กแต่ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่เนี่ย มันตลกมากเลยนะ

เด็กหญิงยังมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้า จากนั้นเธอก็เอ่ยปาก

*[1] ดูน่าเกรงขามแต่ไร้ซึ่งอำนาจ