บทที่ 260 มู่ปู้ถูกหลอก

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง

มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 260 มู่ปู้ถูกหลอก

“มู่เซิ่ง ฉันต้องขอโทษนายด้วย……”

ตอนที่มู่ปู้พูดคำนี้ออกมา สีหน้าย่ำแย่หนักมาก

ไม่นึกว่าเขาจะคุกเข่าลงไปอย่างสิ้นไร้ความสามารถแบบนี้

นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจทนยอมรับได้ ถึงแม้จะเคยคุกเข่าให้กับมู่เฟิง ก็ยังไม่อับอายขายหน้าอย่างกับที่เขาคุกเข่าลงในวันนี้

แต่ในเมื่อเต็มใจที่จะเดิมพันก็ต้องยอมรับในความพ่ายแพ้ เพื่อคำนึงถึงภาพรวม เขาจึงต้องยอมคุกเข่าลงไป

มู่ปู้แอบกัดฟันพูดในใจ เหอะเหอะ พ่อของนายก็ใกล้ที่จะตายแล้ว ฉันจะดูว่านายยังสามารถกระหยิ่มยิ้มย่องไปได้อีกนานเท่าไร หนึ่งชั่วโมง ไม่ ไม่แน่อาจจะไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ได้ ฉันก็จะสามารถฟันทั้งมือและเท้าของนาย แล้วก็ให้นายคุกเข่าลงต่อหน้าฉันพร้อมกับกล่าวขอโทษ

เรื่องนี้ ทางพ่อของเขาได้พูดคุยกับมู่จงหยุนแล้ว รอให้หลังจากที่มู่เฉินเทียนลงจากตำแหน่งเจ้าบ้านแล้ว มู่เฟิงก็จะฟันมือสองข้างของมู่เซิ่งด้วยตนเอง ส่วนเขาก็จะให้มู่เซิ่งคุกเข่าลงต่อหน้าแล้วกล่าวคำขอโทษ

แต่เงื่อนไขในตอนนี้ ชัดเจนว่าได้เพิ่มขึ้นหนึ่งข้อแล้ว ในเมื่อมู่เซิ่งกล้าที่จะให้เขาคุกเข่า ถ้าอย่างนั้นเขาก็ทนไม่ไหวอยากที่จะฟันเท้าทั้งสองข้างของมู่เซิ่งด้วยเช่นกัน

“มู่เซิ่ง ฉันต้องขอโทษนายด้วย……”

มู่ปู้พูดขึ้นสามครั้ง หลังจากที่พูดจบแล้ว ก็ลุกยืนขึ้นทันที แล้วมายืนอยู่ด้านข้าง พร้อมแสดงท่าทางที่ไม่แยแสอะไรเลย ราวกับว่าเรื่องก่อนหน้านี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย

ก็ต้องตามนั้น เพราะเรื่องแบบนี้มันเสียหน้าอับอายมากจริง ๆ เขาจึงต้องแสดงท่าทางแบบนี้ออกมา

หลังจากที่กระทำทุกอย่างเสร็จแล้ว มู่จงหยุนก็พูดตะโกนเสียงดังว่า: “นำสัญญาหุ้นส่วนออกมา นำตราประทับของตระกูลมู่ออกมา! ”

ทันใดนั้น ชายที่รูปร่างแข็งแกร่งบึกบึนคนหนึ่งก็ได้หามตู้นิรภัยขนาดใหญ่ตู้หนึ่งขึ้นไว้บนโต๊ะ แล้วก็ทำการเปิดตู้นิรภัยขึ้น ภายในตู้นั้นบรรจุเอกสารสัญญาหุ้นส่วนของตระกูลมู่ รวมไปถึงตราประทับของเจ้าบ้านตระกูลมู่ด้วย

ตราประทับของเจ้าบ้านตระกูลมู่ ต้องเป็นมู่เฉินเทียนเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ได้ แต่ทำไมถึงไปตกอยู่ในมือของมู่จงหยุนล่ะ? ดูเหมือนว่าแม้แต่คนข้างกายของมู่เฉินเทียนเอง ก็ยังถูกแทรกแซงไปพอสมควรแล้ว

แน่นอนว่า ด้านข้างของตราประทับ ยังมีแท่นประดับสีแดงขนาดใหญ่หนึ่งชิ้นด้วย เตรียมไว้สำหรับใช้ตอนที่ประทับตรา

มู่เฉินเทียนโบกมือ

ชายกำยำคนนั้นก็นำตู้นิรภัยโยนทิ้งลงไปที่พื้น แล้วหยิบสัญญาที่อยู่ด้านในออกมา

โดยเนื้อหาในสัญญาฉบับนี้ได้มีการระบุเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ด้านในคือข้อตกลงการโอนหุ้นส่วน ซึ่งเป็นหุ้นส่วนภายใต้เจ้าบ้านตระกูลมู่ ที่จะต้องโอนให้กับผู้สืบทอดเจ้าบ้านคนใหม่ทั้งหมด ซึ่งบริเวณที่ลงนามนั้นยังไม่มีชื่อของผู้ใด

“มู่เฉินเทียน สัญญาหุ้นส่วนเหล่านี้ หลังจากที่เป็นเจ้าบ้านแล้ว ก็ควรที่จะโอนให้กับผู้สืบทอดเจ้าบ้านคนใหม่แล้วสินะ? ก่อนหน้านี้นายไม่เชื่อฟังโดยได้ทำการโอนเงินทุนหมุนเวียนจำนวนสามล้านล้านให้กับลูกชายของตนเอง ฉันไม่มีข้อขัดแย้งอะไร แต่หลังจากมีผู้สืบทอดเจ้าบ้านในครั้งนี้แล้ว ฉันหวังว่าสามารถที่จะโอนกลับคืนมา และนำหุ้นส่วนเหล่านี้มอบให้กับเจ้าบ้านคนใหม่” มู่จงหยุนถือสัญญา และพูดขึ้นกับมู่เฉินเทียน

ลูกหลานตระกูลมู่จำนวนหลายร้อยคนในที่แห่งนี้ ก็ถือว่าเคยมีประสบการณ์มาไม่น้อย แต่ก็ยังคงตกตะลึงกับคำพูดดังกล่าว

สามล้านล้านอ่า

ที่จริงแล้วตระกูลมู่มีเงินทุนหมุนเวียนมากมายขนาดนี้เลยเหรอ?

ถ้าอย่างนั้นเดือนนี้ที่ฉันขอเงินค่าใช้จ่ายจากที่บ้าน มันดูจะน้อยเกินไปหรือเปล่า?

แต่ว่า หลังจากที่มู่จงหยุนเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ก็มาถึงสภาพการณ์ที่ต้องแตกหักกันไปทั้งสองฝ่ายแล้ว ไม่ว่าใครจะได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดเจ้าบ้านตระกูล ต่างก็จะต้องถูกกำจัดลงอย่างสิ้นซาก

“ได้เลย” มู่เฉินเทียนพูดขึ้นเพียงสองคำ ซึ่งใบหน้าก็ยังคงอ่อนแรงซีดเซียว

เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าของทุกคน ก็ยังแสดงท่าทางสติเลอะเลือน ง่วงเหงาหาวนอน

สภาพนี้ทำให้มู่จงหยุนรู้สึกเศร้าโศกในใจอยู่บ้าง ที่จริงแล้วคนหลังจากที่ป่วยหนักนั้น ก็จะแก่ชราลงต่อเนื่อง ซึ่งไม่นึกว่าจะน่าสงสารถึงขั้นนี้

ถึงแม้จะสงสาร แต่ตำแหน่งเจ้าบ้านนั้น ก็ไม่มีทางยอมกันอย่างเด็ดขาด

จากนั้น ก็ถึงเวลาฉายจอมอนิเตอร์อย่างเป็นทางการแล้ว

การประชุมของตระกูลไม่ค่อยจะราบรื่นนัก ทางผู้อาวุโสมู่เองก็ไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดอะไร เขากลับรอจนมู่จงหยุนพูดทุกอย่างเสร็จแล้ว จึงโบกมือขึ้น บอกให้มู่หยวนนำจอมอนิเตอร์เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์

เขากวาดตามองไปที่คอมพิวเตอร์ สายตาก็แสดงท่าทางที่ตกตะลึงออกมา แล้วก็ทำเป็นปกปิดให้มันผ่านไป และเอ่ยขึ้นว่า: “ข้อมูลเหล่านี้มาจากสภาพจริงที่เชื่อถือได้ ล้วนผ่านการพิสูจน์ตรวจสอบจากฉันทั้งหมดแล้ว ต่อจากนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะลงเอยอย่างไร พวกนายต่างที่จะยอมรับได้ใช่ไหม? ”

ผู้อาวุโสมู่ถามย้ำขึ้นอีกหนึ่งรอบ

ก็ต้องตามนี้ เพราะหลังจากการข่มขู่ของมู่เซิ่งเมื่อครู่นี้ เขาเกรงว่ามู่เซิ่งจะกระทำซ้ำกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จึงต้องถามย้ำขึ้นอีกหนึ่งรอบจะดีกว่า

“ไม่มีความเห็นข้อโต้แย้งอะไร”

มู่เฉินเทียน มู่จงหยุน มู่คู่ทั้งสามคนพยักหน้า

มู่เซิ่ง มู่เฟิง มู่ปู้ก็พยักหน้าเช่นกัน

จากนั้น บนจอมอนิเตอร์ก็ฉายผลกำไรประกอบการบริษัทสมุนไพรของมู่ปู้ ซึ่งลำดับก่อนหลังที่แสดงออกมานี้ก็ใช้การสุ่มเปิดขึ้นมา ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้ใส่ใจ หันมองไปที่จอมอนิเตอร์กันทั้งหมด

มู่ปู้ บริษัทสมุนไพรมู่เย่า มีผลกำไรประกอบการเดือนนี้: สี่หมื่นสองพันห้าร้อยล้าน

เมื่อเห็นตัวเลขที่ยาวเป็นขบวนรวมถึงเลขศูนย์ด้านหลังที่ติดกันจำนวนมาก ลูกหลานตระกูลมู่ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง มากมายขนาดนี้เลย?

แม้แต่ประธานกรรมการที่ดำเนินกิจการบริษัทสมุนไพรมู่เฉ่านั้นก็ยังตกตะลึงเลย ไม่นึกว่าจะมากถึงสี่หมื่นกว่าล้าน แต่เดิมในหนึ่งเดือนผลกำไรสุทธิของเขา ก็แค่ห้าหกพันล้านเท่านั้น นี่มันเพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าเลยทีเดียว

แต่ก็เป็นเรื่องปกติ มู่ปู้ไม่จำเป็นต้องดำเนินกิจการอย่างยาวนาน เขาดำเนินกิจการเพียงหนึ่งเดือนก็พอแล้ว ดังนั้นในหนึ่งเดือนนี้ เขาไม่หยุดที่จะใช้จ่ายเกินตัวเพื่อกระชับสัมพันธ์กับเพื่อนลูกเศรษฐี และถึงขนาดกู้เงินจากธนาคาร เพื่อมาพัฒนาบริษัทสมุนไพรมู่เย่า ซึ่งแค่ภายในหนึ่งเดือน ก็มีผลกำไรประกอบการมากมายขนาดนี้แล้ว

มู่ปู้เชิดหน้าชูตาขึ้น และมองไปโดยรอบอย่างภาคภูมิใจ เหมือนมั่นใจอย่างมากว่าจะเป็นฝ่ายชนะ

เมื่อเขามองไปที่มู่เซิ่ง สายตาท่าทางที่กระหยิ่มยิ้มย่อง ก็ยิ่งจะปกปิดเอาไว้ไม่อยู่

เห็นแล้วหรือยัง? ต่อให้ไม่มีคู่ค้าอย่างเหยาเผิง ผลกำไรประกอบการหนึ่งเดือนของฉัน ก็ยังคงมากเกินกว่าที่นายจะจับต้องได้ ซึ่งบริษัทเครื่องประดับมู่เหม่ยนั้นมู่ปู้เคยได้รับรู้มาบ้างแล้วว่า เมื่อก่อนหนึ่งเดือนมีรายรับมากที่สุดก็ประมาณพันกว่าล้าน แล้วจะมาเปรียบเทียบกับเขาได้อย่างไร

ตอนนี้นายทำเป็นสงบนิ่งไม่เป็นไร รอหลังจากที่ผลกำไรประกอบการทั้งหมดออกมาแล้ว ฉันจะดูว่านายยังจะสงบนิ่งอยู่ได้อีกไหม

“รายที่สอง มู่เฟิง”

ผู้อาวุโสมู่เอ่ยขึ้น

บนจอมอนิเตอร์ก็แสดงข้อมูลบรรทัดที่สองออกมา:

มู่เฟิง บริษัทตกแต่งมู่ซื่อ เดือนนี้มีผลกำไรประกอบการ: “หกหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยล้าน”

ฟูว์!

หลังจากที่ขบวนตัวเลขปรากฏขึ้น ทุกคนในที่แห่งนี้ ต่างก็พากันสูดหายใจลึก

หลังจากที่มู่เฟิงถูกทำร้ายจนแขนใช้การไม่ได้แล้ว ก็อยู่ในลานบ้านตระกูลมู่และดูถูกเหยียดหยามตนเองมาโดยตลอด ทุกคนต่างก็คิดว่าในหนึ่งเดือนมู่เฟิงคงจะมีกำไรไม่มากเท่าไรแล้ว แต่เมื่อมาดูผลลัพธ์ในตอนนี้ ไม่นึกว่าจะมีจำนวนมากกว่ามู่ปู้เสียอีก?

“นาย นาย……”

มู่ปู้กับมู่คู่สองพ่อลูกต่างก็ตะลึงงัน ทันใดนั้น พวกเขาก็หันกลับมา และจ้องมองไปที่มู่เฉินเทียนด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม “มู่เฉินเทียน นายโกหกฉัน? ”

“โกหกนาย ฉันโกหกนายเมื่อไรกัน หลานชาย นายอย่าได้มาพูดสุ่มสี่สุมห้านะ” มู่เฉินเทียนตกใจ แกล้งทำเป็นว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น พร้อมกับส่ายมือไปมา

มู่ปู้โมโหมากจนแทบจะพ่นเลือดออกมาจากปาก

การที่คุกเข่าให้กับมู่เซิ่งนั้นก็ถือว่าไม่เป็นไร

แม้แต่มู่จงหยุนก็ยังโกหกฉันด้วย?

ก่อนหน้านี้ได้พูดกันอย่างชัดเจนแล้วว่า ตำแหน่งผู้สืบทอดเจ้าบ้านเป็นของฉัน ฉันถึงจะร่วมมือกับนาย ตอนนั้นนายยังให้ฉันดูผลกำไรประกอบการของบริษัทตกแต่งมู่ซื่อของพวกนายเลย โดยมีเพียงแค่สองหมื่นกว่าล้านเท่านั้น ซึ่งเทียบกับฉันไม่ได้เลย แต่ผลที่ออกมาในตอนนี้ ทำไมถึงได้พุ่งสูงขึ้นไปถึงหกหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยล้าน

นี่เท่ากับว่าเป็นอุบายเร่งเร้าให้เสือไปกลืนกินสุนัขป่า ถ้าอย่างนั้นพวกเรามู่ปู้กับมู่คู่สองพ่อลูก ก็ต้องไปต่อกรกับมู่เซิ่งล่ะสิ

“พอได้แล้ว ลำดับต่อไปได้แล้ว อย่าได้สิ้นเปลืองเวลาอีกเลย” มู่จงหยุนโบกมือขึ้น ในท่าทางที่มั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายชนะ

“ใช่เลย ลำดับต่อไปเถอะ”

ในตระกูลมู่เองก็มีคนที่พูดเร่งเร้าขึ้นอย่างกระสับกระส่าย

แม้แต่มู่ปู้ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของมู่เฟิงเลย แล้วมู่เซิ่งล่ะ คงจะเป็นแค่มาแสดงตัวเข้าร่วมให้ผ่านไปก็เท่านั้น

ทุกคนถึงขนาดคิดว่า ผลกำไรประกอบการของมู่เซิ่งนั้นไม่ต้องดูแล้วก็ได้

“ลำดับถัดไป” ผู้อาวุโสมู่เอ่ยปากพูดขึ้น

มู่หยวนพยักหน้า แล้วนำข้อมูลบริษัทของมู่เซิ่งที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ ฉายขึ้นบนจอมอนิเตอร์ที่อยู่เบื้องหน้าของทุกคน