ในยามราตรี ณ วิหารเทพทะเลแห่งเมืองอันสุ่ย
พี่ฉางโซ่ว? ในขณะนั้น รูปปั้นเทพเจ้าหยกที่หุ้มด้วยทองคำที่อยู่ข้างๆ เขา เผยเสี้ยวเจตจำนงเทวะออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน รูปปั้นหลักก็ตอบกลับ และสองเสี้ยวเจตจำนงเทวะก็เข้าสู่อาณาจักรแห่งความฝันอีกครั้ง แล้วอ๋าวอี่ก็เห็นภาพที่ยืนอยู่ใต้รูปปั้นอีกครั้ง
อ๋าวอี่เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาวาบประกาย และดูเต็มไปด้วยพลัง
“พี่ฉางโซ่ว! พระบิดาของข้าเริ่มส่งทหารไปแล้ว! ทางแดนประจิม…
คนเหล่านั้นแอบเฝ้าดูเผ่าพันธุ์มังกรมานานแล้ว! ครั้งนี้ ข้าจะทำให้พวกเขารู้ว่าเผ่าพันธุ์มังกรของเราไม่ใช่เผ่าที่จะให้พวกเขามาล้อเล่นด้วยได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ไม่ประหลาดใจใดๆ มันเป็นไปตามที่เขาคาดคิดไว้
ในตอนนี้ เผ่าพันธุ์มังกรยังเปี่ยมไปด้วยศักดิ์ศรีและหยิ่งทะนง จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่พวกเขาจะล่าถอยไปโดยไม่มีการต่อสู้
แต่พวกเขาต้องวางแผนอย่างรอบคอบในอนาคต
ข้าไม่อาจทำร้ายสำนักบำเพ็ญประจิมได้มากเกินไป และน่ากลัวว่าข้าจะทำร้ายกลุ่มคนเยาว์วัยและลงเอยด้วยการล่อเหล่าผู้อาวุโสออกไป ข้าไม่อาจฆ่ามนุษย์จำนวนมากเกินไปและเพิ่มกรรมร้ายของข้าได้
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “อย่าประมาท คราวนี้เราไม่ได้จัดการกับศัตรูธรรมดา ยิ่งกว่านั้น หากเกิดสงครามขึ้น ก็จะมีผู้บาดเจ็บล้มตายอย่างแน่นอนซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก”
“ขอรับ พี่ฉางโซ่วสั่งสอนได้ถูกต้องแล้วขอรับ” อ๋าวอี่หยุดยิ้มทันที จากนั้นก็ประสานมือแล้วโค้งคารวะด้วยท่าทางละอายใจ
หลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็ชี้แจงถึงสิ่งที่เขาทำในช่วงสองวันที่ผ่านมา
เขาได้รีบกลับไปที่วังมังกรทะเลบูรพาเพื่อพบพระบิดาของเขา และกล่าวถึงเรื่องนี้ตามที่หลี่ฉางโซ่วสั่ง
ราชามังกรแห่งทะเลบูรพาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรียกประชุมผู้อาวุโสของเผ่ามังกรเพื่อหารือ
นอกจากเซียนเต่าชราหนึ่งหรือสองตัวที่รู้สึกว่าไม่อาจต่อสู้กับสำนักบำเพ็ญประจิมได้ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและขอให้เริ่มการต่อสู้ อ๋าวอี่กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “คราวนี้พระบิดาตัดสินใจส่งกองกำลังเซียนมังกรวารีสามหมื่นนาย เผ่าพันธุ์มังกรของเรามีปรมาจารย์มากกว่าหกร้อยคนและปรมาจารย์เซียนจินอีกยี่สิบคน! หากการต่อสู้เป็นเรื่องเร่งด่วน ผู้อาวุโสเผ่ามังกรก็พร้อมจะออกรบได้ทุกเมื่อ!”
หลี่ฉางโซ่วถึงกับพูดไม่ออก เขารู้สึกผิดเล็กน้อย…พี่น้องเผ่าพันธุ์มังกรนี้ช่างซื่อตรงจริงๆ
มีเซียนจินยี่สิบคน ปรมาจารย์เผ่าพันธุ์มังกรหกร้อยคน และกองกำลังเซียนมังกรวารีสามหมื่นนาย!
พลังนี้หากไม่พิจารณาปัจจัยอื่นๆ ก็เพียงพอที่จะสังหารปรมาจารย์เซียนผู้ยิ่งใหญ่ได้แล้ว!
เมื่อพวกเขาลงมือ พลังของพวกเขาย่อมจะแข็งแกร่งปานคลื่นทำลายล้างลูกมหึมา
ในเมื่อเผ่าพันธุ์มังกรสามารถอยู่รอดมาได้ตั้งแต่สมัยโบราณ พวกเขาย่อมต้องมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะของตัวเองจริงๆ…หลี่ฉางโซ่วรู้สึกผิดเล็กน้อย เผ่ามังกรกำลังสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ในขณะที่อีกฝ่ายส่งปีศาจเซียนเสิ่นมานับสิบเท่านั้น…
ช่างอันตรายจริงๆ
อ๋าวอี่กล่าวว่า “พี่ฉางโซ่ว ท่านมีคำแนะนำเพิ่มเติมให้ข้าอีกหรือไม่ขอรับ ข้าจะไปพบท่านลุงสองสามคนและจะรีบไปที่ทะเลทักษิณขอรับ”
“พี่อี่ เจ้าไม่ควรเข้าร่วมต่อสู้ ขอบเขตพลังของเจ้ายังไม่สูงมากนัก…”
“ข้าเป็นผู้พิทักษ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักเทพทะเล ข้าจะไม่เข้าร่วมในศึกครั้งนี้ได้อย่างไรขอรับ”
สายตาของอ๋าวอี่เผยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ “ข้าได้รับบุญมามากมาย ย่อมไม่อาจปล่อยให้คนในเผ่าของข้าหลั่งเลือดเพื่อข้าได้! พระบิดามีบัญชาให้ข้าเป็นแม่ทัพแล้ว คราวนี้ข้าจะโจมตีศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน! พี่ฉางโซ่ว ไม่ต้องห่วงศึกสู้ครั้งนี้ ท่านไม่ต้องมานะขอรับ”
“จะไม่ให้ข้าห่วงได้อย่างไรกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าต้องดูแลป้องกันตัวเองให้ดี อย่าแข็งกร้าวมากเกินไป”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ข้าได้วางแผนที่จะหนีจากศัตรู ข้าวางไว้ด้านหลังรูปปั้นของพวกเราในเมืองอันสุ่ย เป็นห่อสีน้ำเงิน เจ้าให้ปรมาจารย์ที่รวดเร็วแอบมาเอามันออกไปก่อน ในนั้นจะมีสารถึงเจ้าด้วย
ข้าจะพูดถึงมากเกี่ยวกับบางสิ่ง
หากเจ้าสามารถคิดแผนการและบรรลุกลยุทธ์เหล่านี้ได้ และเผ่าพันธุ์มังกรสามารถรุกหรือรับได้อย่างเหมาะสมเมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ที่ไม่เกินธรรมดาแล้ว ย่อมจะมีผู้บาดเจ็บล้มตายไม่มากนักอย่างแน่นอน”
อ๋าวอี่กะพริบตาและจู่ๆ ก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ทันใดนั้นเขาจึงกล่าวเสียงเบาว่า “นี่เป็นแผนการถอยหนีจากศัตรู แต่เหล่าผู้บังคับบัญชา…”
ทว่าหลี่ฉางโซ่วเพียงยิ้มลึกลับโดยไม่เอ่ยอะไรมาก
จากนั้นเขาก็โบกมือและสลายความฝัน
บนยอดเขาหยกน้อยของสำนักตู้เซียน บัดนี้ หลี่ฉางโซ่วได้สงบสติอารมณ์เพื่อให้ความคิดของเขากระจ่างแจ้งชัดเจนมากขึ้นแล้วดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันนั้น ณ วังมังกรทะเลบูรพา…อ๋าวอี่ได้ทำตามคำแนะนำของเขาโดยเชิญปรมาจารย์เผ่าพันธุ์มังกรที่สามารถบินได้เร็วให้รีบไปเมืองอันสุ่ยทันทีและแอบเอาวิธีการล่าถอยศัตรูออกมา
และเมื่อมังกรเซียนจินบินกลับไปที่วังมังกรทะเลบูรพา กองทัพเซียนมังกรวารีสามหมื่นนายแห่งวังมังกรก็เตรียมพร้อมลงทะเลแล้ว
ในขณะนั้น องค์ชายรองอ๋าวอี่ แขวนธงและเปลี่ยนเป็นสวมชุดเกราะหยกรบ มีปรมาจารย์ผู้ทรงพลังแกร่งกล้าสองสามคนที่แผ่กลิ่นอายลมปราณลึกลับคอยคุ้มกันปกป้องเขาเอาไว้อย่างใกล้ชิด
ปรมาจารย์กล่าวผ่านพลังปราณส่งเสียงมาจากระยะไกล “ฝ่าบาท กระหม่อมมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ในขณะที่กำลังเดินไปมาที่ก้นทะเล ดวงตาของอ๋าวอี่พลันวาบสว่างขึ้น เขารีบเดินไปข้างหน้าทันทีและกล่าวว่า “ลำบากท่านลุงแล้ว ขอบคุณท่านลุงขอรับ!”
ทันใดนั้น ปรมาจารย์มังกรก็กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วลอยอยู่ด้านบน จากนั้นเขาก็หยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ…
มันเป็นกล่องไม้สี่เหลี่ยมยาวสองฉื่อ
กล่องไม้นั้นถูกห่อด้วยผ้าสีน้ำเงิน
อ๋าวอี่และปรมาจารย์เผ่าพันธุ์มังกรคนอื่นๆ ล้วนตกตะลึง จากนั้นอ๋าวอี่ก็รีบแผ่พลังเซียนของเขาห่อกล่องไม้ด้วยเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกแรงดันน้ำทะเลบดขยี้
หลังจากเปิดกล่องไม้ออกมา เขาเห็นม้วนไม้ไผ่สองสามม้วนที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ และมียันต์หยกอยู่เหนือม้วนไม้ไผ่
เขาหยิบยันต์หยกขึ้นมาและสำรวจมันด้วยพลังสัมผัสเซียนรับรู้ของเขา และในไม่ช้า เขาก็เห็นข้อความง่ายๆ สองสามประโยค
‘ข้าไม่สามารถชี้แจงเหตุผลโดยละเอียดได้
ขั้นตอนต่อไปที่เขียนไว้ที่นี่ มีทั้งหมดยี่สิบหกขั้นตอน ขั้นแรกตอนคือ ‘การเดินทัพ’ เจ้าต้องอ่านก่อนออกเดินทาง หลังจากอ่านแล้ว เจ้าก็จะรู้ว่าขั้นตอนที่สองคืออะไร’
จากนั้น อ๋าวอี่วางยันต์หยกและมองลงไป แล้วไม่นานเขาก็หยิบม้วนไม้ไผ่ขึ้นมาอีกใบอย่างรวดเร็ว
เขาค่อยๆ คลี่ม้วนไม้ไผ่ออก มีข้อความที่สลักอยู่บนนั้นชัดเจน ซึ่งดูเหมือนจะมีพลังวิเศษบางอย่างเพื่อให้อ๋าวอี่มองเห็นได้อย่างรวดเร็ว และไม่นาน อ๋าวอี่ก็ตกอยู่ในภวังค์…
แล้วในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น อ๋าวอี่ก็อ่านบทแรกจบ
หลังจากไตร่ตรองแล้ว อ๋าวอี่ก็ตัดสินใจทำตามกลยุทธ์นี้ เขาหยิบ ‘ผนึกเก้ามังกรสยบฟ้า’ ที่พระบิดามอบให้เขาทันทีและกล่าวเสียงดังว่า “ท่านลุง สหายร่วมเผ่า จงแบ่งกำลังของพวกท่านออกไปข้างหน้าทันที! ให้กองกำลังหนึ่งในสิบส่วนเดินทางบนพื้นทะเลและเข้าสู่ทะเลทักษิณผ่านทางน้ำ แต่พวกท่านต้องปกปิดลมปราณเอาไว้ และห้ามยกธงใดๆ ขึ้น ห้ามเปิดเผยตัว! กองทัพอื่นที่เหลือให้ปกปิดร่องรอยลงดินแล้วอ้อมไปทางเหนือ หลังจากผ่านเส้นชีพจรปฐพีแล้ว ให้มุ่งหน้าไปยังดินแดนเทวะบูรพาเพื่อเลี้ยวไปที่ดินแดนเทวะทักษิณ หลีกเลี่ยงการตรวจจับของเหล่าสำนักเซียนและรีบมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของดินแดนเทวะทักษิณ!”
ปรมาจารย์มังกรขมวดคิ้วและกล่าวถามว่า “ฝ่าบาท เหตุใดท่านจึงแบ่งกองกำลังพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออ๋าวอี่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็นึกถึงถ้อยคำบนม้วนไม้ไผ่ที่เขาเพิ่งอ่านได้ในทันทีว่า ‘หากคนถามถึงเหตุผลที่แบ่งแยกกองกำลังกัน จงบอกพวกเขาให้นึกถึงการรับมือศัตรูที่กำลังเผชิญอยู่ในครั้งนี้’ อ๋าวอี่จึงกล่าวตอบอย่างสงบว่า “ท่านลุง โปรดคิดถึงศัตรูที่เราต้องรับมือในครั้งนี้เถิด”
ปรมาจารย์มังกรพลันขมวดคิ้วและหยุดพูดไปในทันที
จากนั้นมังกรเฒ่าอีกตัวก็กล่าวว่า “เผ่าพันธุ์มังกรได้เดินทางไปมาเหนือสวรรค์ทั้งเก้าอย่างรุ่งโรจน์ แล้วตั้งแต่เมื่อใดกันที่เผ่าพันธุ์มังกรต้องทำอะไรบางอย่างเช่น หลบซ่อนและเคลื่อนตัวลงไปในดิน”
เยี่ยม
อ๋าวอี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ปรมาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังพี่ฉางโซ่วสามารถมองทะลุเห็นอนาคตได้หรือไม่
คำถามนี้ก็ถูกบันทึกเอาไว้ในม้วนไผ่ด้วยเช่นกัน
ในขณะนี้ อ๋าวอี่ยังคงสงบสติอารมณ์และกล่าวว่า “โลกนี้ถูกสร้างขึ้นจากร่างของท่านเทพผานกู่ ทั้งเมฆและหมอกล้วนเป็นเพียงลมปราณของท่านผานกู่ แล้วเหตุไฉนเราจึงใช้เส้นชีพจรปฐพีมิได้”
มังกรเฒ่าพึมพำกับตัวเองก่อนจะโค้งคำนับให้และไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก และบัดนี้ ปรมาจารย์เผ่ามังกรก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ อีกต่อไป และพวกเขาทั้งหมดต่างก็เลิกดูถูกอ๋าวอี่เช่นกัน