ตอนที่ 265 เถาจืออวิ๋นลาป่วย

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 265 เถาจืออวิ๋นลาป่วย

ครั้งนี้หลินม่ายเดาได้ไม่ถูกทั้งหมด

แม้ป้าหูจะอยากใช้ตู้กวงฮุยมาจัดการหลินม่าย แต่หล่อนอยากหลอกเอาเงินในมือของเขามามากยิ่งกว่า

สิ่งที่หล่อนต้องการที่สุดในตอนนี้ก็คือเงิน เงิน และเงิน!

หล่อนเสียเงินไปครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่เงินค่าโลงศพของตัวเองก็เอาออกมาใช้หมดแล้ว ลูกชายลูกสะใภ้ก็ยังออกเงินช่วยหล่อนจ่ายค่าชดเชย

ตอนนี้ไม่เพียงแค่ลูกสะใภ้ แม้แต่ลูกชายเองก็พูดจาหยาบคายกับหล่อนทุกวัน ในตอนนี้หล่อนกำลังตกระกำลำบากมากจริงๆ!

ขอแค่ได้เงินมาสักก้อน ให้ดีที่สุดคือเงินก้อนใหญ่ ถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในตอนนี้ของหล่อนได้

หล่อนกำลังคุยโวโอ้อวดเหม่ยเว่ยซวนของร้านตัวเองกับตู้กวงฮุย

“เธอคงเคยได้ยินชื่อซาลาเปาเหม่ยเว่ยซวนสินะ นี่ก็คือชื่อร้านที่เก่าแก่เป็นร้อยปี นี่เป็นร้านที่โด่งดังที่สุดในเมืองเจียงเฉิงก่อนการปลดปล่อยเลย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หล่อนก็ตบอกอย่างภาคภูมิใจ “ฉันก็คือผู้สืบทอดของซาลาเปาเว่ยเหม่ยซวน ฉันสามารถขายสูตรให้เธอได้นะ จ่ายแค่100หยวนเป็นค่าซื้อขาดก็พอแล้ว ฉันรับประกันเลยว่าถ้ามีสูตรของฉัน ธุรกิจของเธอจะต้องดีขึ้นมาอย่างแน่นอน และก็สามารถทำให้ธุรกิจของร้านข้างเคียงดับสนิทเลยเชียวล่ะ”

ตู้กวงฮุยทำสีหน้าเหยียดหยาม “ผมเคยได้ยินแค่ทังเปาซื่อจี้เหม่ย เว่ยเหม่ยซวนเหรอ? โทษทีนะครับ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”

สีหน้าของป้าหูแข็งค้าง พูดอย่างหน้าเสีย “คงเพราะเธอยังเด็กน่ะสิ ก็เลยไม่เคยได้ยิน เธอลองถามคนเฒ่าคนแก่ที่บ้านเธอดู พวกเขาจะต้องรู้จักแน่นอน”

ตู้กวงฮุยแค่นเสียงอย่างเย็นชา “พอเถอะน่า คุณอย่ามาหลอกผมเลย ถ้าซาลาเปาเว่ยเหม่ยซวนอะไรนั่นของคุณมันดีจริง แล้วทำไมคุณถึงไม่ทำต่อไป แต่เลิกกิจการไปเสียล่ะ?”

ป้าหูอ้าปากค้าง ราวกับถูกตอกหน้าจนตอบโต้อะไรไม่ได้อย่างนั้น

หลินม่ายเข้าไปในร้านของตัวเองแล้วถามกับวังเสี่ยวลี่ “ผู้ชายคนนั้นที่กำลังคุยกับยายแก่คือเจ้าของร้านใกล้ๆ นี้หรือเปล่า?”

“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ?” วังเสี่ยวลี่ถามอย่างงุนงง

หลินม่ายพูดเสียงราบเรียบ “ไม่มีอะไรหรอก แค่ถามดูเฉยๆ น่ะ ไม่ค่อยได้เห็นเขาเลย”

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันนั้น โจวฉายอวิ๋นก็เดินออกมาจากห้องครัว พูดกับหลินม่าย “เมื่อเช้าฉันยังพูดไม่จบเลย เธอก็ออกไปซะแล้ว เมื่อสองวันก่อน เสี่ยวเถามาที่ร้านรอบหนึ่ง วางชุดเครื่องแบบที่ทำเสร็จแล้วหลายชุดแล้วก็ไปเลย”

โจวฉายอวิ๋นพูดเช่นนั้นก็พาหลินม่ายไปที่ห้องของตัวเอง แล้วเปิดกล่องลังที่อยู่ตรงมุมผนังออก ภายในนั้นเต็มไปด้วยชุดเครื่องแบบจำนวนมาก

หลินม่ายสุ่มหยิบชุดเครื่องแบบขึ้นมาดูชุดหนึ่ง มันเข้ารูปพอดิบพอดี ฝีมือตัดเย็บละเอียดประณีต ทำให้เธอพอใจมาก

โจวฉายอวิ๋นเปิดตู้ แล้วหยิบเงินม้วนหนึ่งจากข้างในนั้นส่งให้หลินม่าย “นี่คือเงินที่เสี่ยวเถาฝากให้ฉันส่งให้เธอ บอกว่าเป็นเงินที่เหลือจากการซื้อผ้า”

หลินม่ายรับเงินพวกนั้นมา ในใจรู้สึกปลงกับการปฏิบัติตัวของหล่อน

ตนยังไม่ได้จ่ายค่าเสื้อผ้าล็อตนั้นที่ซื้อมาก่อนหน้านี้เลย แล้วยังมีค่าแรงของชุดเครื่องแบบล็อตนี้ด้วย แต่หล่อนกลับเอาเงินที่เกินมาจากค่าผ้ามาคืนเธอก่อนเสียแล้ว

ในตอนเที่ยง เมื่อฟางจั๋วหรานเข้ามาในร้าน โต้วโต้วก็มองเห็นเขาทันที

หล่อนโบกมือน้อยๆ เรียกเขา “คุณอา รีบขึ้นมากินข้าวเร็วค่ะ คุณแม่ทำลูกชิ้นหัวสิงโตกับขาหมูน้ำแดงที่คุณอาชอบด้วยนะคะ”

เมื่อพูดถึงอาหารน่าอร่อย แม่หนูน้อยก็แทบน้ำลายหกออกมาจากมุมปาก

ฟางจั๋วหรานอุ้มโต้วโต้วขึ้นมาชั้นบน

หลินม่ายได้ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นคนทั้งสอง เธอก็เรียกให้เขารีบนั่งลงกินข้าว

ฟางจั๋วหรานกลับถามอย่างเคร่งขรึม “ได้ยินพนักงานของคุณบอกว่าเมื่อวานคุณกลับมาถึงเจียงเฉิงตอนเที่ยงคืนเหรอ?”

เมื่อเช้าตอนมากินอาหารเช้าที่ร้าน พนักงานร้านบอกเขาว่าหลินม่ายกลับบ้านมาตอนเที่ยงคืน ตอนนั้นเขารู้สึกโกรธเล็กน้อย ยัยเด็กคนนี้ช่างไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเอาเสียเลย

เมื่อนั้นหลินม่ายถึงพบว่าเขาค่อนข้างไม่พอใจ

เธอถามด้วยสีหน้ามึนงง “ใช่ค่ะ ทำไมเหรอ?”

“กลับมาดึกดื่นขนาดนั้น ทำไมไม่โทรมาบอกผมก่อน ผมจะได้ไปรับที่สถานี?”

ไม่พอใจกับเรื่องเล็กแค่นี้นี่เอง

หลินม่ายรู้สึกหอมหวานอบอุ่นอยู่ในหัวใจ “สถานีรถไฟห่างจากบ้านฉันแค่ไม่กี่ถนนเอง ไม่เห็นต้องให้ไปรับเลย?”

“ไม่กี่ถนนแล้วยังไงกันล่ะ? นั่นมันเที่ยงคืนนะ มันก็อันตรายมากเหมือนกัน!”

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างจริงจัง “ต่อไปนี้ตราบใดที่คุณกลับมาเจียงเฉิงหลังสองทุ่ม คุณต้องโทรมาบอกผมก่อน ผมจะได้ไปรับที่สถานี ไม่อย่างนั้นผมจะตีก้นคุณ!”

หลินม่ายจำลองสถานการณ์ที่เขาตีก้นเธอในหัว แล้วพบว่าช่างอุจาดตาเสียจริงๆ เธอจึงรีบพยักหน้าตอบตกลง

กินไปไม่กี่คำ ฟางจั๋วหรานก็ถามถึงสถานการณ์ของหลินม่ายที่กว่างโจว

หลินม่ายเล่าทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียด

เธอตักซุปเต้าหู้มาราดข้าวเล็กน้อย “เคอจื่อฉิงน้องสาวคนรู้จักของคุณคนนั้นเป็นคนดีจริงๆ ถ้าไม่มีหล่อน ครั้งนี้ฉันคงไม่มีทางเอาสินค้ามาได้มากมายขนาดนั้น กลับไปต้องขอบคุณหล่อนให้ดีแล้วล่ะค่ะ”

ฟางจั๋วหรานกินข้าวอย่างสง่างาม “สินค้ามากมายขนาดนั้นคุณจะขายออกไปยากหรือเปล่า ต้องการให้ผมช่วยหาลู่ทางให้ไหม?”

หลินม่ายส่ายหน้าแล้วพูด “ไม่ต้องหรอก ฉันมีหุ้นส่วนอยู่ค่ะ ฉันรับหน้าที่จัดหาสินค้า เขาจะรับผิดชอบการขายเอง”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “อย่างนั้นก็เยี่ยมเลย”

หลินม่ายกลอกตาไปมา “หุ้นส่วนของฉันคนนี้ช่วยฉันมาหลายครั้งแล้ว แถมยังเคยช่วยฉันแกล้งทำเป็นแฟนกันด้วย คุณควรจะเชิญเขามากินข้าวกันสักมื้อเปล่า?”

ถ้าเฉินเฟิงมีความคิดเกินเลยกับเธอ การที่ฟางจั๋วหรานเชิญเขามากินข้าว ก็จะสามารถทำให้เขารู้ว่าตนมีแฟนแล้ว อีกทั้งแฟนหนุ่มคนนั้นยังยอดเยี่ยมมาก เขาจะต้องเก็บความคิดนั้นไปแน่

เมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว เธอก็จะไม่ต้องหนักใจ เฉินเฟิงเองก็ไม่ต้องอึดอัดด้วย

ถ้าเขาไม่ได้มีความคิดเกินเลยกับเธอ ฟางจั๋วหรานเชิญเขามากินข้าวเพื่อเป็นการขอบคุณ นั่นก็ไม่ได้ทำให้เสียหายอะไร

หลินม่ายรู้สึกว่าตัวเองช่างปราดเปรื่องจริงๆ

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “คุณนัดสถานที่และเวลากับเขาเลยแล้วกัน”

……

เมื่อกินอาหารเที่ยงแล้ว หลังจากนอนกลางวันไปงีบหนึ่ง หลินม่ายก็ไปหาเถาจืออวิ๋น

เจ้าตัวส่งเงินที่เหลือจากการซื้อผ้าทั้งหมดมาให้เธอ ถ้าเธอยังไม่เอาเงินที่ควรจะจ่ายหล่อนไปให้อีก ก็คงจะไม่สมเหตุสมผลเกินไป

แม้เธอจะไม่รู้ที่อยู่ของเถาจืออวิ๋น แต่ก็รู้จักที่ทำงานของหล่อน ดังนั้นเธอจึงตรงไปที่ทำงานของหล่อนทันที

หลินม่ายสอบถามไปตลอดทางจนมาถึงฝ่ายออกแบบของโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าของรัฐที่เถาจืออวิ๋นทำงาน เธอมองเห็นนักออกแบบสามคนยั่งอยู่ในห้องทำงาน

ทุกคนต่างอยู่ว่าง จิบชา อ่านหนังสือพิมพ์ ขยันฆ่าเวลากันแบบสุดๆ

หลินม่ายกวาดสายตามองเข้าไป พบว่าเถาจืออวิ๋นไม่อยู่ในห้องทำงาน

เธอเคาะประตูห้องทำงานเบาๆ สองสามครั้ง แล้วถามอย่างสุภาพ “ขอโทษนะคะ เถาจืออวิ๋นทำงานอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ?”

ทั้งสองคนในห้องทำงานมองมาที่เธออย่างพร้อมเพรียง แล้วพากันพยักหน้า “ใช่แล้ว”

“แล้วหล่อนอยู่ไหนเหรอคะ?”

หนึ่งในนั้นเอ่ยตอบ “หล่อนลาป่วยน่ะ ไม่ได้มาทำงานหลายวันแล้ว”

หลินม่ายรีบถามอย่างเป็นห่วง “หล่อนเป็นอะไรมากไหมคะ?”

สีหน้าของคนในห้องทำงานนั้นเปลี่ยนเป็นคิดหนักขึ้นมา “เรื่องนี้พวกเราก็ไม่รู้แน่ชัด รู้แค่ว่าหล่อนขอลาป่วยไปหนึ่งเดือนน่ะ”

ในใจของหลินม่ายเต็มไปด้วยความสงสัย “งั้นพวกคุณรู้ที่อยู่ของครอบครัวหล่อนไหมคะ?”

ใครคนหนึ่งตอบ “รู้สิ อยู่ที่อาคารพักอาศัยรวมเขตหอพักของโรงงานเรา ชั้น3 ห้อง201”

หลินม่ายเอ่ยขอบคุณ ก่อนจะไปซื้อนมมอลต์กระป๋องหนึ่ง น้ำตาลทรายแดงสองสามถุง และยังมีขนมอีกสองสามห่อในร้านค้าเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กับโรงงาน แล้วจึงไปที่บ้านของเถาจืออวิ๋น

ในเมื่อเพื่อนร่วมงานของเถาจืออวิ๋นบอกว่าหล่อนลาป่วย งั้นก็ต้องเอาของเยี่ยมไข้ไปด้วยสักหน่อย

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ตลอดทาง ว่าเถาจืออวิ๋นป่วยเป็นโรคอะไร ถึงต้องลางานเป็นเดือน?

ถ้าเกิดว่าเป็นโรคร้ายแรงกะทันหัน แล้วทำไมสองวันก่อนถึงยังทำชุดเครื่องแบบมาส่งให้เธอได้อยู่กัน?

ต่อให้จะฝืนร่างกายที่เจ็บป่วยไปส่ง คนที่ละเอียดรอบคอบอย่างโจวฉายอวิ๋นก็น่าจะมองออก แต่ทำไมหล่อนถึงไม่บอกตน?

เห็นได้ชัดว่าอาการป่วยเป็นเพียงข้ออ้าง

อย่างนั้นทำไมเถาจืออวิ๋นต้องใช้การป่วยเป็นข้ออ้างด้วย ขอลาหยุดนานขนาดนั้น คงจะไม่ใช่เพื่อทำเสื้อผ้าให้เธอหรอกนะ

หลินม่ายคิดนู่นเดานี่ไปจนมาถึงชั้น3 ห้อง201 ของหอพักโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า เธอเคาะประตูอาคารพักอาศัยรวมที่เถาจืออวิ๋นและคนอื่นๆ อาศัยอยู่รวมกัน

เพื่อนบ้านของเถาจืออวิ๋นคือพี่สาวคนหนึ่งที่หน้าตาดูใจดี

พี่สาวคนนั้นพูด “มาหาเถาจืออวิ๋นเหรอ หล่อนเพิ่งหย่ากับสามี แล้วพาฉีฉีกลับบ้านแม่ไปแล้วน่ะ”

ตอนที่พูดอยู่นั้น สีหน้าของพี่สาวแสดงความเหยียดหยาม นั่นทำให้หลินม่ายไม่สบายใจอย่างมาก

เธอถาม “งั้นคุณรู้ที่อยู่บ้านแม่ของเถาจืออวิ๋นไหมคะ?”

“รู้จ้ะ” พี่สาวเพื่อนบ้านบอกที่อยู่บ้านแม่ของเถาจืออวิ๋นให้แก่เธอ

หลินม่ายเอ่ยขอบคุณแล้ว ก็หมุนตัวกำลังจะเดินจากไป

พี่สาวเพื่อนบ้านเรียกเธอเอาไว้จากข้างหลัง “เธอเป็นเพื่อนสนิทของเถาจืออวิ๋นเหรอ?”

หลินม่ายหยุดฝีเท้าลงแล้วพูดตอบ “ค่ะ ทำไมเหรอคะ?”

พี่สาวเพื่อนบ้านจ้องมองเธอด้วยท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พี่หมอก็แค่งอน ว่าเป็นแฟนกันทำไมกลับดึกแล้วไม่บอกกันน่ะ

จะได้เห็นฉากสงครามเย็นบนโต๊ะอาหารระหว่างพี่หมอกับพี่เฟิงไหมนะ

ก่อนหน้านี้จืออวิ๋นต้องโดนสามีทำร้ายร่างกายหนักมากแน่ๆ เลย เลยทนไม่ได้ต้องขอหย่าแบบนี้

ไหหม่า(海馬)