บทที่ 236 เช่าบ้าน

บทที่ 236 เช่าบ้าน

“ไม่เชื่อ มาสู้กันอีก!”

ตอนนั้นเสี่ยวเถียนไม่มีกะจิตกะใจจะสู้ต่อ

แต่เพราะอีกคนบ้าคลั่งขึ้นมาท้ายที่สุดแล้ว แสร้งเป็นสู้ด้วยไม่ได้เลย

ซูเสี่ยวเถียนใช้ทักษะตวัดร่างเฝิงเสียงอวี่ลงกับพื้นอย่างว่องไว

“เชื่อหรือยัง?” ซูเสี่ยวเถียนมองต่ำแล้วเอ่ยถาม

เดิมทีเฝิงเสียงอวี่ได้เปรียบเรื่องความสูง แต่ตอนนี้เขานอนคว่ำอยู่ จึงได้แต่เงยหน้าขึ้นมองซูเสี่ยวเถียนเท่านั้น

พอเห้นใบหน้ายิ้มแย้มสดใส เฝิงเสียงอวี่จะเชื่อได้อย่างไร?

“ฉันไม่ยอมรับ ถ้ามีความสามารถก็มาอีกรอบสิ!”

ซูเสี่ยวเถียน ถอยหลังไปสองก้าว “งั้นก็มาสิ!”

ว่าจบก็สู้กันอีกรอบ

ครูใหญ่กัวถามเฉินจื่ออันเสียงต่ำ “หัวหน้าเฉิน จะไม่ไปเกลี้ยกล่อมหน่อยหรือครับ?”

แต่อีกฝ่ายส่ายหัว “เรื่องของพวกเขาให้จัดการกันเองก็พอแล้ว พวกเราเป็นผู้ใหญ่คอยดูไว้ก็พอ!”

ครูใหญ่กัวบ่นอยู่ในใจ พูดจาน่าฟังเหลือเกิน ถ้าหลานคุณโดนต่อยขึ้นมา การที่คุณพูดแบบนี้มันโหดร้ายนะ!

เขาก็ได้แต่พูดในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกไปหรอก

พอคิดอีกครั้ง เฝิงเสียงอวี่คนนี้ควรทนทุกข์สักหน่อย ไม่งั้นคงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

ในขณะที่ครูใหญ่กัวกำลังคิดอยู่นั้น ซูเสี่ยวเถียนก็เตะก้นเฝิงเสียงอวี่อีกครั้ง ทำให้อีกฝ่ายล้มลงกับพื้นทราบเรียบในลักษณะที่คุกเขาเชื่อฟัง

ครูใหญ่กัวงุนงน มันมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร?

เพิ่งจะสู้กันเมื่อครู่ ทำไมตอนนี้ถึงได้ล้มเขาได้ในพริบตากัน?

“เชื่อหรือยัง?” ซูเสี่ยวเถียนถามต่อ

ต้องบอกว่าเฝิงเสียงอวี่เป็นคนที่ไม่ยอมใครจริง ๆ และยังพูดว่าไม่เชื่ออีกด้วย!

เสี่ยวเถียนให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนและสู้กันอีกครั้ง

เขารู้สึกว่าเด็กหญิงอายุน้อย ตัวเล็ก ความแข็งแกร่งน่าจะน้อยกว่า ถ้าอดทนสู้หลาย ๆ ครั้ง อาจจะทำลายเสี่ยวเถียนได้!

หลังจากโดนล้มเป็นครั้งที่เจ็ด เขาเสียใจมากที่เอาชนะไม่ได้

ที่จริงเขาเจ็บไปหมด ร่างกายไร้เรี่ยวแรง แต่เสี่ยวเถียนยังสุขสบายดี และจังหวะที่เตะเขากระเด็นก็ชำนาญมากขึ้นเรื่อย ๆ

และตัวเขาก็กระเด็นออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ

ต่อให้วันนี้สู้ต่อก็เอาชนะไม่ได้

รู้แบบนี้แล้วมันทำให้เฝิงเสียงอวี่หงุดหงิดมาก

เขาคิดว่าตัวเองเก่ง แต่กลับแพ้เด็กคนนี้

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เสียใจ

ซูเสี่ยวเถียนยิ้ม “อยากสู้ต่อไหม? ถ้าอยากก็เอาต่อเลย”

“แต่ฉันไม่รับประกันนะว่านายจะกระเด็นไปถึงห้องเรียนหรือเปล่า!”

ห้องเรียน?

นี่คือสนามกีฬานะ ห่างจากห้องเรียนที่ใกล้ที่สุดประมาณสิบเมตร

เด็กตัวแค่นี้เตะเขากระเด็นออกไปถึงสิบเมตรนี่หมายความว่าอย่างไร?

ผู้ที่อยู่ตรงนั้นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกัน?

เฝิงเสียงอวี่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียนไม่มีกำลังพอจะสู้เด็กสาวตรงหน้าเลย!

ไร้หลักการทางวิทยาศาสตร์นัก!

บางคนอดไม่ได้ที่จะเริ่มถามว่าสาวน้อยคนนี้คือใคร ทำไมถึงแกร่งขนาดนี้?

ในที่สุดพวกพี่ชายบ้านซูก็โล่งใจอย่างสมบูรณ์

เมื่อเห็นน้องเล็กเก่งขนาดนี้ พวกเขารู้สึกเป็นเกียรติมากแต่ละคนยิ้มกว้างเห็นฟัน

จากนั้นโส่วเวินก็คำนึงถึงปัญหาร้ายแรงขึ้นได้ เหมือนพวกเขาจะให้น้องไปเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว

ถ้ากลับบ้านไปแล้วย่ารู้จะโดนทุบไหม?

โส่วเวินมองน้อง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ

ตอนนั้นทุกคนเข้าใจความหมายนี้ดี

พวกเขาต้องลืมเรื่องนี้ไปเสีย!

ยิ่งคิดถึงมัน รอยยิ้มบนใบหน้าพวกเขาพลันจางหายอย่างช่วยไม่ได้!

แล้วจะทำอย่างไรดี?

แต่เห็นอาเขยยืนดูอยู่ข้าง ๆ พวกเขาคิดว่าตัวเองยังมีทางรอด

“ไม่สู้แล้ว ฉันเชื่อเธอแล้ว!”

พอคิดว่าตัวเองจะโดนเตะกระเด็นไปไกลถึงสิบเมตรก็ขอยอมแพ้

“จากนี้ไปยังอยากให้พวกเราฟังนายอีกไหม?”

เฝิงเสียงอวี่กล้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร เขาจึงรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว

“จากนี้ไปฉันจะฟังเธอ!” ตอนเขาพูด เขารู้สึกสบายใจมาก

ถูกต้อง แบบนี้สบายใจกว่าเยอะเลย

ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าพูดไม่ได้ แต่พอพูดออกมาจริง ๆ ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาตรงไหน

“งั้นกลับห้องไปเรียนกัน!” ซูเสี่ยวเถียนพูดเบา ๆ

เฝิงเสียงอวี่ตกตะลึง หมายความว่าอย่างไร?

เขามองเสี่ยวเถียนอย่างโง่เขลา

“นายไม่เข้าใจหรือ? กลับห้องไปเรียนต่อไง หรืออยากสู้กันอีก!” เสี่ยวเถียนหรี่ตาเล็กน้อย

เฝิงเสียงอวี่รู้สึกในชั่วพริบตาว่าอาการบาดเจ็บบนร่างปวดร้าวมากยิ่งขึ้น

เขาส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่เอา ไม่สู้แล้ว ฉันจะไปเรียน”

ไม่ว่าจะสู้อะไร เขาก็พ่ายแพ้แต่เพียงฝ่ายเดียว

“งั้นก็กลับกันเถอะ!”

ตอนเสี่ยวเถียนพูด ท่าทางเหมือนบอสใหญ่เลย

แต่ในชั่วพริบตา เธอก็สวมร่างเด็กน้อยที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูวิ่งไปหาเฉินจื่ออัน

“อาเขย มาได้ยังไงคะ?”

เฉินจื่ออันลูบผมหลานสาว “ดีแล้ว ควรทำแบบนี้ แต่แรงมือยังขาดอยู่นะ ค่อย ๆ ฝึกไป!”

ครูใหญ่กัวฟังโดยไม่พูดอะไร

เขาไม่มองเด็กที่โดนหลานอัดจนชอกช้ำด้วยซ้ำ แต่ดันเห็นว่าหลานใช้ทักษะอะไรไปเนี่ยนะ?

งั้นถ้าไม่ได้ขาดก็จะสู้จนตายเลยหรือ?

ริมฝีปากของครูใหญ่กัวขยับแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

“อาเขย งั้นอาคุยกับครูใหญ่กัวไปนะคะ หนูไปเรียนแล้วนะ!”

พูดจบเธอก็บอกลา แล้วกระโดดโลดเต้นออกไป

เมื่อมองท่าทางนั้นเด็กตัวน้อย ครูใหญ่กัวก็รู้สึกว่าเธอเป็นเด็กตีสองหน้า!

แต่ไม่ว่าจะพูดอะไร บรรยากาศชั้นเรียนมัธยมต้นปีที่หนึ่งดีจริง ๆ

แม้แต่เฝิงเสียงอวี่ที่เก่งที่สุดก็ยังพ่ายแพ้ให้กับซูเสี่ยวเถียนผู้เป็นนักเรียนหัวกะทิ คนอื่นจะกล้าไปยุแหย่ด้วยหรือ?

ไม่ใช่แค่ระดับชั้นนี้เท่านั้น อันที่จริงคนที่คิดจะสร้างปัญหาก็ประพฤติตัวใหม่แล้ว

พวกเขาเอาชนะเฝิงเสียงอวี่ไม่ได้ และเฝิงเสียงอวี่ก็ไม่สามารถเอาชนะซูเสี่ยวเถียนได้

สรุปแล้วว่าพวกเขาไม่สามารถเอาชนะซูเสี่ยวเถียนได้

เพราะงั้นเลยมีคนเกลียดพวกที่ตั้งใจเรียนอย่างเด็กบ้านซู แต่พวกเขาไม่กล้าทำอะไร

พวกเขาได้เรียนอย่างสงบ

และพวกที่รังเกียจคนตั้งใจเรียน ได้แต่บ่นลับหลังเท่านั้น

ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้ยิน แต่ถึงได้ยินก็ไม่ใส่ใจ

บ้านเหล่าซานเล็กเกินไป รองรับเด็กเยอะขนาดนี้ได้ไม่หมด

“เธอว่าจะทำยังไงดี? บ้านเรามีแค่สองห้อง ให้เด็กอยู่ไม่ได้หรอก ต่อให้อยู่ได้ก็ไม่ได้ทุกคน” เหล่าซานทุกข์ใจมาก

บ้านเขามีลูกสามคนก็อยู่กันพอนะ แต่ลูกพี่ใหญ่กับพี่รองจะทำอย่างไร?

เหลียงซิ่วก็ทุกข์ใจเช่นกัน ทำอย่างไรดี?

ถ้าให้ลูกตัวเองอยู่บ้าน แต่เด็กคนอื่นพักที่โรงเรียน มันคงไม่ดีต่อครอบครัวเราในอนาคตแน่

“งั้นให้เสี่ยวปา เสี่ยวจิ่ว เสี่ยวเถียนอยู่บ้านเรา แล้วเด็กคนอื่น ๆ ที่โตหน่อยพักที่โรงเรียน เธอว่ายังไงบ้าง?” ซูเหล่าซานถาม

เหลียงซิ่วรีบส่ายหัว “ฉันไปถามมาได้ความว่า ที่โรงเรียนสภาพแย่มาก แถมนอนรวมกันเป็นสิบคนเลย”

อีกอย่าง ถ้าพักที่โรงเรียนของกินของดื่มก็ไม่ดีด้วย

“งั้นทำยังไงดีล่ะ?”

ขณะสองสามีภรรยากำลังปรึกษา พวกเขาก็ได้ยินเสียงประตู

เมื่อเปิดออกก็เห็นหม่านซิ่วพร้อมลูกชายในอ้อมแขน

“ซิ่วเอ๋อร์ ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?” เหลียงซิ่วถามในขณะที่รับเฉินซิ่วหยวนจากมือน้องสามี

“ฉันรู้ว่าพวกพี่กังวลเรื่องเด็ก ๆ ไม่มีที่อยู่ ฉันก็เลยมาที่นี่ค่ะ” เธอตอบก่อนจะนั่งเก้าอี้

“ใช่แล้วซิ่วเอ๋อร์ ฉันกับพี่สามกังวลกันอยู่เลย ถึงเธอจะบอกว่าอยู่แบบนี้ได้ แค่วันสองวันก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าอยู่นานจะทำยังไง?”

เหลียงซิ่วรู้สึกเหมือนหัวจะล้าน

“คู่สามีภรรยาชราข้างบ้านของฉันกำลังจะย้ายไปเมืองหลวงค่ะ บ้านว่างด้วยนะ”

“ถึงจะว่าง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะให้เช่า!” เหล่าซานกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “การเช่าบ้านก็มีความเสี่ยงเช่นกันนะ”

ถ้าไม่ระวังแล้วโดนจับได้จะทำอย่างไร?

“พี่สาม ฉันไปแอบปรึกษามาแล้ว บอกว่าจะให้ญาติมาอยู่ เขาก็ตกลง”

“แต่ข้อเรียกร้องค่อนข้างสูงมากนะ ตั๋วธัญพืชยี่สิบจินและเงินสิบหยวนต่อเดือน พวกพี่ตกลงไหม?” ซูหม่านซิ่วถาม

ถ้าเป็นบ้านอื่น ตั๋วธัญพืชยี่สิบจินและเงินสิบหยวน เป็นค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลย

เพราะไม่ว่าจะอาหารหรือเงินล้วนเป็นสิ่งล้ำค่า

และเหตุผลที่พวกเขากล้าขอ เพราะรู้ว่าครอบครัวนี้ไม่น่าขาดตั๋ว

“พี่สาม ฉันเอาเงินให้ยืมได้นะ แต่ตั๋วธัญพืชฉันมีไม่มาก ได้มากสุดห้าจินต่อเดือนเอง”

หลังจากได้ยิน เหล่าซานก็หัวเราะ

ถึงจะไม่รู้ว่าของพวกนี้ได้มาจากไหน แต่เดือนหนึ่งได้ยี่สิบจินก็น่าจะพอแล้ว

“ซิ่วเอ๋อร์ เรื่องนี้พี่ทำได้ ตั๋วธัญพืชพี่มีอยู่ แต่เงินพวกพี่มีน้อย อาจไม่พอยั้งชีพ” ใบหน้าของเขาแดงก่ำ

ในฐานะพี่ชาย เขาไม่มีหน้าไปขอยืมเงินน้องสาวมาเช่าบ้านหรอก

แต่เราสองคนมีเงินรวมกันสามสิบหยวนต่อเดือน ถ้าเอาออกมาสิบหยวน คงไม่พอใช้จ่ายเพื่อเด็ก ๆ ด้วยซ้ำ!

“พี่สาม ฉันยังมีเงินอยู่บ้าง!”

“พี่เอาเงินเธอไม่ได้หรอก เธอไม่ได้เป็นคนหาเงิน แต่สามีเป็นคนหา!” ซูเหล่าซานโบกมืออย่างรีบร้อน

“เรื่องนี้เรากลับไปปรึกษากับพ่อแม่เถอะ พวกเขาอาจมีทางออกนะ!” เหลียงซิ่วกล่าว

มันไม่ใช่แค่เรื่องของสองสามีภรรยา แต่เป็นเรื่องของคนทั้งครอบครัว

อีกอย่าง กว่าเด็ก ๆ จะเรียนจบก็สี่ปี ถ้าต้องแบกรับแบบนี้ต่อไป คงเป็นไปไม่ได้แน่

ถ้าแต่เป็นทั้งครอบครัว มันจะแตกต่างกันออกไป

“ไม่งั้นก็ถามพวกเขาว่าให้ตั๋วธัญพืชเยอะอีกหน่อยได้ไหม แต่ว่าให้เงินน้อยลงแทน?” ซูเหล่าซานคิดอยู่พักหนึ่ง

ที่จริงครอบครัวเราไม่ได้ขาดแคลนตั๋วธัญพืช เขารู้ตั้งนานแล้วว่าบ้านเรามีเยอะมาก

“ขอถามหน่อย เขาจะออกวันมะรืนนี้ ถ้าเสร็จ ให้เราจ่ายสามเดือนก่อน แล้วส่งที่เหลือเป็นรายเดือน”

เย็นวันนั้นพวกเขากลับไปที่หงซิน

เมื่อคุณย่าซูได้ยินเสียงรถก็รู้ว่าลูกชายกลับมาแล้ว

เธอคิดว่าหลานสาวตัวน้อยจะอยู่ในรถด้วย แต่เมื่อทั้งสองลงจากรถมาก็พบว่าพวกเด็ก ๆ ไม่ได้กลับมาเลย

ทันใดนั้น ใบหน้าของคุณย่าซูก็ย่ำแย่ลง

“แม่ครับ เป็นอะไรหรือเปล่า? สีหน้าไม่ค่อยดี ป่วยหรือครับ?” เหล่าซานไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงมีสีหน้าเช่นนี้จึงเอ่ยถาม

“ฉันคิดถึงหลานรักของฉัน” คุณย่าซูกลอกตาแล้วจ้องมองลูกชาย

ถ้ารู้ว่าตัวเองจะกลับมา ทำไมไม่เอาลูกสาวกลับมาด้วย?

เอ่อ…

ซูเหล่าซานพูดไม่ออก เสี่ยวเถียนเพิ่งไปอำเภอแค่สามวันเองนะ?