ตอนที่ 291 เข้าเฝ้าเบื้องบน ตำหนักจินหลวนเป่า (1)
โถงบรรพบุรุษของตระกูลหนิงเงียบงัน ทว่าด้านนอกกลับมีศพถูกยกออกมากองศพแล้วศพเล่า
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของคนพวกนั้น พวกเขาจะปล่อยโอกาสนี้หลุดมือได้อย่างไร แม้ต้องตาย ก็ต้องลองดู
เมื่อได้ยินเสียงนี้ หนิงเซ่าชิงไม่ได้ลงมือด้วยตนเอง ท่านพ่อให้หัวหน้าหอลับคุ้มกันเขาด้วยตนเอง หยิ่ง:าก็ช่วยคุ้มกัน กุ่ยซาเฝ้าประตูให้เขา เขาไม่จำเป็นต้องกังวล ขอเพียงตั้งสติ รองานรับตำแหน่งวันพรุ่งนี้ก็พอแล้ว
ขอเพียงผ่านวันพรุ่งนี้ เขาก็จะกลายเป็นหัวหน้าตระกูลหนิง รอให้เขาจัดการลิ้นเหล่านั้นในตระกูล รอให้เขาเสนอสู่ขอมั่วเชียนเสวี่ยแต่งงานรับนางเข้าตระกูล ย่อมไม่ได้ยินเสียงอื่นๆ อีก
เมื่อถึงเวลานั้น แม้ฮ่องเต้อยากจะจัดการมั่วเชียนเสวี่ย ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะถึงอย่างไรความแตกต่างระหว่างหัวหน้าตระกูลกับคุณชายอันดับหนึ่งนั้นต่างกันลิบลับราวฟ้ากับเหว
ตระกูลหนิงของเขาเป็นหนามในพระเนตรของฮ่องเต้อยู่แล้ว สำหรับเขามีเสี้ยนหนามเพิ่มขึ้นอีกสักอันไม่ใช่เรื่องใหญ่
ไม่รู้ว่าเวลานี้เชียนเสวี่ยกำลังทำอะไร คิดถึงเขาหรือไม่…
…..
ณ จวนจิ่งชินอ๋อง
ท่านหญิงซูซูฟังข่าวที่จางหมัวมัวได้รับ นางไปที่ห้องพระชายาจิ่งอ๋องทันที
“เสด็จแม่ องค์หญิงอวี้เหอจะเชิญฮูหยินซันกงไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณหนูมั่วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ท่านช่วยสืบให้หน่อยสิเจ้าคะว่าเป็นฮูหยินคนใดบ้าง พรุ่งนี้ส่งเทียบเชิญขอไปด้วยดีหรือไม่ อย่าให้สตรีคนนั้นใส่ร้ายเชียนเสวี่ยได้สำเร็จเด็ดขาด ไม่ง่ายเลยกว่าลูกจะเจอคนที่พูดคุยถูกคอ…”
พระชายาจิ่งอ๋องครุ่นคิด “ท่ามกลางฮูหยินซันกงนั้น แม่กับฮูหยินของมหาราชาจารย์ไปมาหาสู่กันอยู่บ้าง แม่จะส่งเทียบเชิญไปเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เข้าวังหลวงพร้อมกับถานฮูหยิน ซูซูวางใจเถอะ มีแม่อยู่ แม่จะไม่มีวันปล่อยให้คนผู้นั้นป้ายสีคุณหนูมั่วเด็ดขาด…”
บุตรีเป็นแก้วตาดวงใจของนาง คนที่บุตรีต้องการจะปกป้อง นางช่วยปกป้องเล็กน้อยจะเป็นอะไรไป! อีกทั้ง นางเองก็อยากจะพบเจอมั่วเชียนเสวี่ยบุตรีของท่านกั๋วกงจริงๆ ดูซิว่ามั่วเชียนเสวี่ยหน้าตาเช่นไรกันแน่ กลับเมืองหลวงเพียงไม่กี่วัน ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงปั่นป่วนเช่นนี้
……
ทางด้านซูชียืนเฝ้าด้านนอกประตูเหล็กมาโดยตลอด
ตอนกลางคืนด้านนอกคุกหลวงมีกลุ่มคนน่าสงสัยมาสองกลุ่ม เมื่อเห็นเขายืนเฝ้าอยู่ด้านนอกราวกับเสา คนกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะซ่อนตัว อีกกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะกลับไป
คนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ ซ่อนอยู่ในมุมมืดไม่ไกลจากคุกหลวงเท่าใดนัก สองคนที่เป็นหัวหน้าคอยพูดกระซิบกระซาบกัน
“ชังมู่ ทหารรักษาการณ์ในคุกหลวงเข้มงวดยิ่งนัก ดูเหมือนว่าคงจะเป็นเรื่องยากที่จะช่วยคุณหนูออกมา พวกเรามาช้าไปก้าวหนึ่ง…” เสียงเสนาะหูยิ่งนัก คนที่พูดเป็นสตรี
“อวี่เสวียนไม่ต้องร้อนใจ ท่านกั๋วกงสร้างคุณงามความดีเอาไว้มาก ฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อชื่อเสียงของตนมาโดยตลอด เยินยอว่าตนขยันขันแข็งเพียงใด รักไพร่ฟ้ามากเพียงใด หากเขาสั่งประหารคุณหนูมั่ว เช่นนั้นต้องอธิบายให้ไพร่ฟ้าเข้าใจ ไม่มีวันคุมขังโดยไม่มีเหตุผลเช่นนี้ อีกอย่าง แม้ว่าคุณหนูมั่วจะถูกประหาร พวกเราค่อยไปชิงตัวที่ลานประหารก็พอแล้ว…” เสียงทุ้มต่ำ มีความหลักแหลมของบุรุษ
“บุญคุณของท่านกั๋วกงที่มีต่อพวกเราทั้งสองตระกูลยิ่งใหญ่เหนือหุบเขา หากครั้งนี้ไม่อาจปกป้องคุณหนูมั่วได้ ข้าอวี่เสวียนไม่มีหน้ากลับไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นข้าขอยอมตายเพื่อเป็นการไถ่โทษ…”
เงียบครู่หนึ่ง เสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังขึ้น “ข้าจะตายเป็นเพื่อนเจ้า…”
……
ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ไฟในห้องหัวหน้าตระกูลเซี่ยยังคงสว่างไสว กลุ่มคนที่กลับไปเหล่านั้นหายเข้าไปในจวนเซี่ย เข้าไปในห้องของหัวหน้าตระกูลเซี่ย
“ท่านหัวหน้าตระกูล ซูชีเฝ้าอยู่ด้านนอกคุกหลวง ไม่ว่าผู้ใดจะเข้าไปในคุกหลวง ต้องผ่านด่านเขา ข้าน้อยไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงพาคนกลับมาก่อนขอรับ”
“อืม เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
รอให้พวกเขาออกไป หัวหน้าตระกูลเซี่ยโมโหยิ่งนัก ตบโต๊ะ “ไอ้แก่ซู ตระกูลซูของพวกเจ้าครอบครองอำนาจทางการทหารแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังอยากจะมาแย่งกับข้าอีก” เขาเพียงไม่วางใจ อยากจะส่งคนไปตรวจดูให้มั่นใจว่าคนของฮองเฮาทำสำเร็จหรือไม่ เพื่อรับประกันว่าวันพรุ่งนี้ยามประชุมราชสำนักจะไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
ดูท่าแล้ว ประชุมราชสำนักวันพรุ่งนี้ต้องครึกครื้นมากแน่ๆ
เมื่อโมโหเสร็จ เขายิ้มร้ายกาจ “แต่ว่า น่าเสียดาย คนที่พวกเจ้าปกป้องเป็นดอกไม้ที่บอบช้ำเสียแล้ว…พรุ่งนี้ข้าจะรอดูสีหน้าผิดหวังของพวกเจ้า…แม้บุตรชายของตระกูลซูจะร้ายกาจเพียงใด ก็ไม่อาจกินของเหลือของผู้อื่น…”
หมอกยามเช้าปกคลุมไปทั่ว น้ำค้างยามค่ำคืนยังเกาะแน่น ทางทิศตะวันออกมีแสงสีแดง เริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง เมื่อซูชีมองเห็นท้องฟ้าที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาก็ค่อยไปจากคุกหลวง เขาต้องไปประชุมราชสำนักก่อน รอมั่วเชียนเสวี่ยในท้องพระโรง เจอกับพี่ใหญ่ แล้วฉวยโอกาสช่วยมั่วเชียนเสวี่ยพูด
ท้องฟ้าด้านนอกค่อยๆ สว่าง ทว่า ห้องรับรองในคุกหลวงปิดสนิท ยังคงมืดมาก
มั่วเชียนเสวี่ยหันข้างแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง หรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้านิ่งสงบ นางกำลังรอ รอฮ่องเต้รับสั่งให้นางเข้าเฝ้า รอสงครามครั้งใหญ่ที่ไม่มีดาบและกระบี่แต่กลับรุนแรงยิ่งกว่า
มั่วเหนียงยืนอยู่ด้านข้าง มองคุณหนูของตนเงียบๆ คุณหนูในตอนนี้แตกต่างกับคุณหนูในอดีตที่อ่อนโยนราวกับเป็นคนละคน อัญมณีล้ำค่าเกิดจากการขัดเกลา กลิ่นหอมของดอกเหมยมาจากอากาศที่เหน็บหนาว คุณหนูตกระกําลําบาก ทำให้นางเปลี่ยนแปลงไปมาก
เรื่องที่เกิดขึ้นติดต่อกัน ไม่เพียงไม่ทำให้คุณหนูล้มลง แต่กลับปลุกปณิธานในการต่อสู้ไม่สิ้นสุดที่อยู่ในใจของคุณหนูขึ้นมา บุคลิกของคุณหนูที่เป็นเช่นนี้มีความพิเศษ แม้หุบเขาด้านหน้าจะพังทลายทว่ายังคงนิ่งงัน มอบความสงบและพลังให้กับผู้คนได้ มีเพียงคุณหนูที่เป็นเช่นนี้เท่านั้นจึงจะคู่ควรกับการเป็นบุตรีของเจิ้นกั๋วกงมั่วเทียนฟ่าง!
ส่วนลึกในใจของมั่วเหนียงมีความลับอย่างหนึ่ง ความลับที่ว่าเหตุใดนางจึงไม่ออกเรือน ความลับที่ไม่มีวันเปิดเผยให้ผู้ใดรู้
ชีวิตนี้ นางเพียงต้องการอยู่รับใช้ฮูหยินและจวนกั๋วกง ไม่อยากไปที่ใดทั้งนั้น เพราะมีเพียงหนึ่งเหตุผล…นางจะอยู่เฝ้าท่านกั๋วกงไปพร้อมกับฮูหยิน แม้จะมองจากที่ไกลๆ แม้ท่านกั๋วกงไม่เคยจะชายตามองนางก็ตาม
นางไม่เคยคิดเพ้อฝัน นางคิดว่าตนไม่คู่ควรที่จะคิดเพ้อฝัน ขอเพียงได้อยู่รับใช้ท่านกั๋วกงและฮูหยินเงียบๆ ก็พอแล้ว นี่เป็นความสุขที่สุดในชีวิตของนางแล้ว
ดังนั้น แม้ต้องแลกด้วยชีวิต นางก็จะปกป้องคุณหนู อยู่และตายไปพร้อมกับคุณหนู
มั่วเหนียงดึงสติกลับมา สีหน้าเคร่งขรึม ทว่าแววตาของนางกลับมีความอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คุณหนูฝึกวรยุทธ์ตลอดทั้งคืนโดยไม่นอนหลับ
ตามที่คุณหนูกล่าว ไม่รู้ว่าเตียงนี้เคยมีผู้ใดหลับนอนบ้าง เพียงแค่นั่งนั้นได้ แต่หากจะให้นางนอนนางทำไม่ได้ ในเมื่อไม่นอน เช่นนั้นก็ต้องหาอะไรทำ ด้วยเหตุนี้คุณหนูจึงนั่งลง แล้วฝึกพลังปราณตลอดทั้งคืน
ว่าไปแล้วคุณหนูเป็นผู้ที่เหมาะแก่การฝึกวรยุทธ์ยิ่งนัก ใช้เวลาเพียงหนึ่งคืน พลังปราณของคุณหนูเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด เทียบกับการฝึกหนึ่งปีของคนทั่วไป
เอี๊ยด เสียงประตูเหล็กถูกเปิดดังขึ้น
“ฮ่องเต้รับสั่งให้คุณหนูมั่วเข้าเฝ้า…”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มั่วเชียนเสวี่ยไปตำหนักจินหลวนเป่า ในท้องพระโรงขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ยืนเรียงขนาบสองด้าน สิ่งที่แตกต่างกันคือ เวลานี้บนท้องพระโรงมีคนนั่งคุกเข่าอยู่แล้วสามคน บรรยากาศตึงเครียดกว่าเมื่อครั้งก่อน