ตอนที่ 309 ตระกูลเซี่ยตระกูลหลัก(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 309 ตระกูลเซี่ยตระกูลหลัก(2)

ตอนที่ 309 ตระกูลเซี่ยตระกูลหลัก(2)

เซี่ยอวี่หรงยังไม่ทันจะเอ่ยคำพูดใดก็ถูกขัดจังหวะด้วยการขมวดคิ้วของเซี่ยปิงหรุ่ย “เธอมาที่นี่ได้ยังไง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเซี่ยปิงหรุ่ย เซี่ยอวี่หรงเอ่ยตอบทันใด “ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง แน่นอนว่าฉันต้องเข้ามหาวิทยาลัย แล้ว……ทำไมเธอถึงมาที่นี่ด้วยล่ะ?”

เซี่ยปิงหรุ่ยเหลือบมองเซี่ยอวี่หรงพร้อมกับเอ่ย “ฉันเองก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่งเหมือนกัน แน่นอนก็ต้องเข้ามหาวิทยาลัย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยอวี่หรงก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเซี่ยเองก็มาเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเช่นกัน ก่อนหน้านี้ทำไมหล่อนถึงไม่ได้ยินข่าวลืออะไรเลยแม้แต่น้อย และ…….เซี่ยปิงหรุ่ยกับฉินมู่หลานมาเดินด้วยกันได้อย่างไร

“คุณหนูใหญ่ เธอ……อยู่กับฉินมู่หลานได้อย่างไร”

เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินคำพูดนี้พลันจ้องมองเซี่ยอวี่หรงด้วยความอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อยและเอ่ย “เธอเองก็รู้จักมู่หลานเหรอ ช่างบังเอิญจริงๆ”

“ฮะ……ฮะๆ…… ใช่ค่ะ ช่างบังเอิญจริงๆ”

ได้ยินคำเรียกที่เซี่ยปิงหรุ่ยเอ่ยเรียกฉินมู่หลาน เซี่ยอวี่หรงพลันรู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นไม่เลวเลย สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเธอน่าเกลียดเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามฉินมู่หลานไม่ได้ไว้หน้าเซี่ยอวี่หรง เอ่ยโดยตรง “ไม่บังเอิญหรอก ฉันไม่รู้จักเพื่อนร่วมชั้นเซี่ยอวี่หรงมาก่อนเย”

เซี่ยปิงหรุ่ยได้ยินเช่นนี้พลันมองฉินมู่หลาน จากนั้นมองเซี่ยอวี่หรง สุดท้ายก็พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนนี้ผิดปกติเล็กน้อย เห็นอย่างชัดเจนว่าฉินมู่หลานเอ่ยเรียกชื่อของเซี่ยอวี่หรง จะเห็นได้ว่าทั้งสองคนนี้รู้จักกันอย่างแน่นอน แต่มู่หลานกลับกล่าวว่าไม่รู้จัก ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างที่หล่อนยังไม่รู้

อย่างไรก็ตามหล่อนและเซี่ยอวี่หรงก็ไม่ได้สนิทสนมกันเท่าไรนัก ดังนั้นจึงย่อมเข้าข้างฉินมู่หลาน

“ที่แท้ก็ไม่รู้จักกันนี่เอง เช่นนั้นฉันคงเข้าใจผิดไป”

เมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย เซี่ยปิงหรุ่ยมองฉินมู่หลานพร้อมกับกล่าว “ไม่ใช่ว่าพวกเราจะกลับหอพักกันหรอกเหรอ รีบกลับไปกันเถอะ”

ฉินมู่หลานกลับนิ่งงันไม่เคลื่อนไหวและมองเซี่ยปิงหรุ่ยพร้อมกับเอ่ยถาม “เธอรู้จักเซี่ยอวี่หรงเหรอ? เธอกับหล่อนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?”

เมื่อเห็นสายตาระแวดระวังตัวอย่างบางเบาภายในสายตาของฉินมู่หลาน เซี่ยปิงหรุ่ยพลันรีบเอ่ย “ฉันไม่สนิทกับเซี่ยอวี่หรงหรอก พวกเราเพียงแค่ใช้สกุลเดียวกันและมีบรรพบุรุษเดียวกันเท่านั้น”

เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยเชื่อของฉินมู่หลาน เซี่ยปิงหรุ่ยพลันกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกแล้วว่าบ้านเกิดของฉันคือซีอาน ฉันเป็นคนตระกูลเซี่ยตระกูลหลักแห่งเมืองซีอาน เซี่ยอวี่หรงเป็นสายเลือดคนตระกูลเซี่ยแห่งปักกิ่ง ก่อนหน้านี้พวกเราเคยพบกันช่วงวันปีใหม่และไม่สนิทสนมกันเลย”

เมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย เซี่ยปิงหรุ่ยทำการนับอย่างละเอียดและเอ่ย “ฉันและเซี่ยอวี่หรงเคยพบกันเพียงสามครั้งเท่านั้น ดังนั้นพวกเราไม่สนิทกันจริงๆ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานเองก็ไม่เอ่ยถามอะไรอีก จากนั้นเดินตรงไปยังด้านหน้าและเตรียมกลับหอพัก

เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นสถานการณ์นี้พลันรีบเดินตามไป ปล่อยให้เซี่ยอวี่หรงยืนอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง

เซี่ยอวี่หรงมองดูแผ่นหลังที่กำลังจากไปของฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ย สีหน้ามืดมนลงทันใด ก่อนหน้านี้หล่อนไม่รู้จริงๆ ว่าคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเซี่ยตระกูลหลักจะมาเรียนยังมหาวิทยาลัยปักกิ่งและไม่รู้เลยว่าเซี่ยปิงหรุ่ยยังสนิทสนมกับฉินมู่หลาน เรื่องนี้พัฒนาไปเช่นนี้ได้อย่างไร

เมื่อครุ่นคิดได้เช่นนี้ หล่อนก็ไม่มีแม้แต่กะจิตกะใจจะกินข้าว จากนั้นหันหลังเดินจากไปและไม่ได้เข้าไปภายในโรงอาหาร

ทางด้านเซี่ยปิงหรุ่ยได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เธอกับเซี่ยอวี่หรงมีปัญหากันเหรอ ดูท่าทางของพวกเธอจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่ฉันยังไม่รู้อย่างแน่นอน”

แม้ว่าเซี่ยปิงหรุ่ยจะกล่าวแล้วว่าเธอนั้นไม่ได้สนิทกับเซี่ยอวี่หรง แต่สุดท้ายก็คนเป็นตระกูลเซี่ยเช่นเดียวกัน ดังนั้นฉินมู่หลานเองก็ไม่อยากพูดอะไรนัก ทำได้เพียงพูดอย่างราบเรียบ “ไม่ได้มีปัญหากันและไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”

เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานไม่พูดอะไรเลย เซี่ยปิงหรุ่ยพลันเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่สนิทกับเซี่ยอวี่หรง ดังนั้นเธออย่าเอาฉันไปสนิทสนมกับหล่อนเลย”

“เธอเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้คิดว่าพวกเธอสองคนสนิทกัน ระหว่างฉันและเซี่ยอวี่หรงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ”

เมื่อเห็นว่าฉินมู่หลานไม่ต้องการอธิบายโดยละเอียด เซี่ยปิงหรุ่ยเองก็ไม่เอ่ยถามอีก ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสองคนไม่พูดคุยอะไรกัน บรรยากาศอึมครึมเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนจึงเดินไปยังหอพักอย่างเงียบๆ

เมื่อมาถึงหอพัก ฉินมู่หลานก็พบกับความครึกครื้นเป็นอย่างมาก

เฉินเซี่ยวอวิ๋นเห็นพวกหล่อนสองคนกลับมาพลันรีบเอ่ยถาม “มู่หลาน ปิงหรุ่ย พวกเธอกลับมาแล้ว กินข้าวกันแล้วหรือยัง?”

“กินแล้ว”

ฉินมู่หลานพยักหน้าและกล่าว จากนั้นเอ่ยถาม “พวกเธอล่ะ กินข้าวแล้วหรือยัง?”

“พวกเราเองก็กินแล้ว”

เฉินเซี่ยวอวิ๋นยิ้มพลางเอ่ยตอบ จากนั้นก็เล่าเรื่องความสุขของหล่อนด้วยท่าทางมีความสุข “มู่หลาน ปิงหรุ่ย ฉันกลายเป็นหัวหน้าห้องของพวกเราแล้ว”

“งั้นเหรอ ดีใจด้วยนะ”

ฉินมู่หลานยิ้มพลางแสดงความยินดีกับหล่อน อย่างไรก็ตามเธออยากนอนพักสักครู่หนึ่ง ดังนั้นหลังจากพูดคุยสองสามประโยค เธอก็ปีนป่ายขึ้นไปยังเตียงนอนของตนเอง

หลังจากเซี่ยปิงหรุ่ยเข้ามาภายในห้องพักก็ไม่กล่าวอะไร เมื่อเห็นฉินมู่หลานขึ้นไปบนเตียงนอนแล้ว หล่อนเองก็ไปยังเตียงนอนของตนเองเช่นกัน

เฉินเซี่ยวอวิ๋นเห็นท่าทางทั้งสองคนที่ไม่ค่อยอยากพูดเท่าไรนัก จากนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยและสุดท้ายก็ไม่กล่าวอะไรอีก

ขณะนี้ ฉือหยวนฝูเอ่ยถามฉินมู่หลาน “มู่หลาน ปิงหรุ่ย พวกเธอหลับแล้วหรือยัง?”

“ยังไม่หลับ”

เพิ่งเข้านอนและยังไม่หลับ ดังนั้นฉินมู่หลานก็เอ่ยตอบ

เซี่ยปิงหรุ่ยเองก็เอ่ยตอบ‘ยังไม่หลับ’ด้วยเสียงราบเรียบเช่นกัน

ฉือหยวนฝูเห็นว่าทั้งสองคนยังไม่หลับ หลังจากนั้นมองไปทางคนอื่นๆและกล่าว “สุดสัปดาห์นี้ไปกินข้าวที่บ้านของฉันกันเถอะ พ่อแม่ซื้อบ้านให้กับฉันแล้ว อยากให้พวกเธอไปช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้บ้านของฉันหน่อย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินเซี่ยวอวิ๋นเอ่ยทันใด “หยวนฝู คุณลุงคุณป้าจัดการไวมากเลยจริงๆ ก่อนหน้านี้เพิ่งพูดว่าจะซื้อบ้านให้กับเธอ สุดท้ายซื้อซะรวดเร็วขนาดนี้ เธอซื้อบ้านที่ไหนเหรอ?”

“ละแวกใกล้มหาวิทยาลัยน่ะ สิ่งสำคัญก็เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปกลับมหาวิทยาลัย”

เฉินเซี่ยวอวิ๋นได้ยินเช่นนี้ก็รีบกล่าว “งั้นก็ยอดเยี่ยมเลยจริงๆ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะไปอย่างแน่นอน”

เหมาชุนเถาพยักหน้าเช่นกัน ส่วนเกาสวินชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีไม่อยากไป แต่คาดไม่ถึงว่าฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยจะพยักหน้าเช่นกัน เช่นนั้นหากไม่ไปก็คงจะดูแปลกแยกเล็กน้อย ดังนั้นสุดท้ายก็พยักหน้าและเอ่ย “ตกลง เมื่อถึงเวลานั้นฉันเองก็จะไปด้วย”

ฉือหยวนฝูเห็นว่าทุกคนภายในหอพักต่างก็ตกลง ใบหน้าพลันประดับด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าว “งั้นพวกเราตกลงกันตามนี้ วันเสาร์นี้ตอนเที่ยงนะ” ขณะกล่าวก็บอกตำแหน่งที่ตั้งบ้านของตนเอง

“ตกลง พวกเราจะไปตรงเวลาอย่างแน่นอน”

เมื่อกล่าวเรื่องนี้เสร็จ ฉินมู่หลานก็นอนหลับ จากนั้นก็ไปเข้าเรียนคาบบ่าย เมื่อเลิกเรียนแล้วก็กลับบ้าน

ทันทีที่ฉินมู่หลานกลับมาถึงบ้าน เธอวางแผนผลิตเครื่องสำอางต่อ แต่หลินเสวียข่ายก็มาโดยไม่คาดคิด

เมื่อหลิวเสวียข่ายเห็นฉินมู่หลาน ใบหน้าพลันเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเอ่ย “คุณฉินมู่หลาน หัวหน้าได้ทำการอนุมัติให้เครื่องสำอางของคุณเข้าสู่ร้านค้าจีนโพ้นทะเลและห้างโหยวอี้แล้ว ทางด้านคุณจะนำสินค้าเข้าไปวางขายได้เมื่อไร?”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของฉินมู่หลานเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“เร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ?”

หลิวเสวียข่ายยิ้มและกล่าว “ในเมื่อมีความคิดนี้แล้ว ย่อมจัดการรวดเร็วอย่างแน่นอน แต่ว่าเคาน์เตอร์เครื่องสำอางเหล่านั้นของคุณยังต้องจัดระเบียบให้ดี ดังนั้นยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง วันนี้ผมมาเพราะอยากถามคุณว่าเครื่องสำอางจะสามารถนำไปวางได้เมื่อไร?”

“ทางด้านฉันสามารถจัดหาสินค้าล็อตแรกได้ในสัปดาห์หน้า เพียงแต่ว่าเป็นสินค้าที่ผลิตด้วยมือดังนั้นมีจำนวนไม่มากนัก”

“แรกเริ่มจำนวนสินค้าไม่มากนั้นก็ไม่เป็นไร เพียงแค่มีสินค้าก็พอ แต่ทางด้านคุณต้องรักษาคำพูดว่าภายในอนาคตจะต้องมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการ หากนำสินค้าไปวางขายบนเคาน์เตอร์ได้ก็สามารถถูกถอดออกได้เช่นกัน”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ตระกูลเซี่ยสายหลักกับสายรองนี่ไม่ถูกกันหรือยังไง ซับซ้อนดีแท้

งานหนักแล้วสิมู่หลาน จะผลิตทันขายไหมเนี่ย

ไหหม่า(海馬)