ตอนที่ 301 สกุลของหลินเซี่ยคืออะไร

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 301 สกุลของหลินเซี่ยคืออะไร

เซี่ยไห่ส่งพวกเขามาที่หน้าอาคารพักอาศัยในเขตโรงงานยานยนต์

เมื่อหันกลับมาดูว่าหลินเซี่ยสงบอารมณ์ลงแล้วหรือยัง เซี่ยไห่ก็ถอนหายใจและพูดว่า “เซี่ยเซี่ย อย่าเศร้าไปเลย ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวเขาก็จำได้ เมื่อไหร่ที่พ่อจำได้ว่าตัวเองมีลูกสาว เขาจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ”

“อืม ฉันดีขึ้นแล้ว”

เมื่อพวกเขาลงจากรถ ก็เห็นถังจวิ้นเฟิงและลู่เจิ้งอวี่ยืนอยู่หน้าอาคาร ท่ามกลางกลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มหนึ่งที่ชื่นชอบการเต้นรำ

ลู่เจิ้งอวี่โปรโมตห้องเต้นรำของเซี่ยไห่ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ โดยบอกว่าพวกเขาสามารถไปที่นั่นเพื่อเต้นรำได้ ซึ่งมีทั้งแสงสีเสียงพร้อมสรรพ และบรรยากาศดีด้วย

ลุงหลี่ถามว่า “แล้วค่าเข้าแพงไหม?”

ลู่เจิ้งอวี่จริงจังกับการโปรโมตเป็นอย่างมาก “ไม่แพงเลย เราเพิ่งเปิดได้ไม่นาน แถมยังมีกิจกรรมต่าง ๆ อีกมากมาย ถ้าลุงไปนะ ลุงจะเป็นแขกผู้มีเกียรติของห้องบอลรูมเลยแหละ นอกจากนี้ลุงจะได้ส่วนลดด้วย”

ลุงหลี่และคนอื่น ๆ เริ่มให้ความสนใจ “พวกเราลองไปดูกันไหม? เจ้าห้องเต้นรำอะไรนั่น”

“อืม”

มุมปากเซี่ยไห่กระตุกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าลู่เจิ้งอวี่ชักชวนกลุ่มผู้อาวุโสให้พกเครื่องบันทึกเทปติดตัว และวางแผนไปห้องเต้นรำในภายหลัง

ผู้ชายคนนี้ทำงานหนักเพื่อดึงดูดลูกค้ามาที่ห้องเต้นรำ ใครบ้างจะไม่ไปตามที่เขาโปรโมต?

เมื่อถังจวิ้นเฟิงเห็นเซี่ยไห่ เฉินเจียเหอ และคนอื่นกลับมาแล้ว จึงเข้าไปทักทายพวกเขาว่า “พวากนายไปไหนกันมา?”

เขาเหลือบไปมองสีหน้าของหลินเซี่ย เมื่อดูจากขอบตาที่บวมแดงของเธอ เขาจึงถามด้วยความเป็นห่วง “เฮ้ พี่สะใภ้ร้องไห้เหรอ?”

“นายเป็นต้นเหตุใช่ไหมเนี่ย?” เขามองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าจริงจังแล้วถาม

หลินเซี่ยหันไปด้านข้างด้วยความลำบากใจ โดยหลีกเลี่ยงสายตาของถังจวิ้นเฟิง และอธิบายว่า “พอดีฝุ่นเข้าตาน่ะ”

หลังพูดอย่างนั้น เธอเดินไปข้างหน้าพลางก้มหน้าลง แล้วรีบกลับบ้าน

เมื่อเฉินเจียเหอเห็นภรรยากำลังเดินกลับบ้าน ก็รู้สึกเป็นห่วงเธอจนคิดจะตามกลับไป

เขาหันมาถามเพื่อน ๆ ว่า “พวกนายมีอะไรอีกหรือเปล่า? ถ้าไม่มีอะไรก็แยกย้าย”

“มีสิ เราไปนั่งคุยกันที่บ้านนายดีกว่า”

ไม่ว่าเฉินเจียเหอต้องการหรือไม่ หลายคนก็เดินไปยังทางบ้านของเขา

ลู่เจิ้งอวี่พูดกับเซี่ยไห่อย่างตื่นเต้นว่า “พี่ไห่ ฉันบอกพ่อแม่เรื่องลาออกแล้ว ปรากฎว่าพวกเขาเห็นด้วย”

“จริงเหรอ? งั้นจากนี้นายจะมาติดตามฉันแล้วใช่ไหม?”

เซี่ยไห่ดูมั่นใจ “ฉันจะบอกอะไรให้ ไม่ว่าจะอะไรก็ช่างตราบใดที่พูดชื่อพี่ไห่ ไม่มีทางที่พวกเขาจะไม่เห็นด้วยหรอก”

“ไม่ซะหน่อย พวกเขายังมีเงื่อนไขอยู่” ลู่เจิ้งอวี่เกาหัว และพูดอย่างระมัดระวัง

“อะไรอีกล่ะ? ก็ต้องค่าตอบแทนที่ดีกว่างานในสถานีรถไฟแน่นอน”

ลู่เจิ้งอวี่ก้มหน้าลง แล้วพูดอย่างเขินอาย “ให้ฉันหาแฟนให้ได้ภายในสามเดือนต่างหาก”

ถังจวิ้นเฟิงเดินตามมาและพูดเสริมว่า “พ่อแม่ของเจิ้งอวี่ตกลงกันว่าจะให้เขาทำงานที่นี่ก็ได้ แต่ต้องหาแฟนด้วย ตราบใดที่เขาหาแฟนเป็นตัวเป็นตนได้ ไม่ว่าเขาอยากทำอะไรก็ไม่ขัดข้อง”

“เรื่องหมู ๆ แค่นี้เอง นายก็ตามจีบสาวที่กำลังจะเข้ามาสมัครงานที่ห้องเต้นรำของเราสิ พวกหล่อนมาหานายถึงที่แล้ว งานนี้นายต้องเป็นคนทำด้วยตัวเอง จะให้ฉันทำแทนนายไม่ได้หรอกจริงไหม?”

เซี่ยไห่มองไปยังชายหนุ่มท่าทางน่าเบื่อ และให้คำแนะนำว่า “ต่อไปนี้นายต้องมีไหวพริบที่ดี และใช้ความคิดให้มาก เริ่มเข้าหาผู้หญิงที่ชอบ แล้วนายจะประสบความสำเร็จแน่นอน”

ลู่เจิ้งอวี่พยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”

หลังจากเข้ามาในบ้าน หลินเซี่ยกับหู่จือก็อยู่ในห้องแล้ว เฉินเจียเหอมองหาเธอ เห็นว่าเธอกำลังเล่านิทานให้หู่จือฟังอยู่

เวลานี้ลูกคงเป็นสิ่งที่เยียวยาเธอได้ดีที่สุด

เฉินเจียเหอปิดประตูเบา ๆ และโบกมือให้คนข้างนอกลดเสียงลง

ถังจวิ้นเฟิงมีความสามารถในการหาเบาะแสที่ดีมาก ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับเซี่ยไห่และเฉินเจียเหอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขากลับมารวมตัวกันวันนี้ เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างชัดเจน

เขาถามเซี่ยไห่ด้วยความสงสัย “ตกลงพวกนายไปไหนมา?”

เซี่ยไห่ไม่คิดปิดบังอะไร และตอบตามความจริง “พี่ใหญ่ฉันมาอยู่นี่สักพัก และเราก็เพิ่งไปกินมื้อเย็นด้วยกันมา”

“อะไรกัน? นายบอกว่าไงนะ?” ถังจวิ้นเฟิงตกใจทันที เขาผุดลุกยืนขึ้นและมองไปยังเซี่ยไห่ และถามอย่างตื่นเต้น “นายบอกว่าวีรบุรุษคนนั้นมาถึงไห่เฉิงแล้วเหรอ?”

เซี่ยไห่พยักหน้า “ใช่แล้ว”

หลังจากความตื่นเต้น เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“แล้วนายก็พาครอบครัวของเหล่าเฉินไปกินมื้อเย็นที่บ้านเขาอย่างนั้นเหรอ?” ถังจวิ้นเฟิงจ้องมองเซี่ยไห่ และถามด้วยเสียงที่ดังขึ้น

เซี่ยไห่ยังคงพยักหน้า “ใช่แล้ว พี่ใหญ่เป็นคนเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง ถ้าให้พูดตามตรง พี่ใหญ่ใช่จะยอมเข้าครัวทำกับข้าวให้ใครง่าย ๆ แถมเขาก็ถูกใจเจียเหอมากด้วย”

“พอกันที ต่อจากนี้เราขาดกัน ฉันจะไม่อะไรกับพวกนายอีกแล้ว”

สีหน้าของถังจวิ้นเฟิงแดงเถือก พลางพูดขณะเดินออกไป

ลู่เจิ้งอวี่รีบรั้งเขาไว้ทันที “พี่เฟิง อย่าใจร้อนสิ”

“ฉันเปล่าใจร้อน ไหนก่อนหน้านี้คุยกันว่าเราจะไปฉลองกับเขาด้วยกันไง?”

เถ้าแก่เซี่ยรู้ว่าเขาชื่นชมในตัวเซี่ยเหลยมาก และรอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่เซี่ยเหลยจะมาไห่เฉิงแล้วได้ไปเจอตัวจริง

ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่รู้ว่าเขาพาครอบครัวของเหล่าเฉินไปกินมื้อเย็นที่บ้าน แถมวีรบุรุษคนนั้นยังทำอาหารด้วยตัวเอง

แล้วเซี่ยไห่เห็นถังจวิ้นเฟิงเป็นใครกัน?

เซี่ยไห่มองการแสดงออกของถังจวิ้นเฟิง พลางกลอกตาไปด้วย

“เจิ้งอวี่ เขาอยากไปไหนก็ปล่อยเขาไป”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เดิมทีฉันตั้งใจว่าจะรอให้เขาพักผ่อนสักหน่อย แล้วค่อยรวมตัวกันไปเจอกับพี่ใหญ่ ในเมื่อเขาจะตัดความสัมพันธ์กับเราก็ดีแล้ว จะได้มีคนไปเจอพี่ใหญ่น้อยลง”

เมื่อถังจวิ้นเฟิงได้ยิน เขาถึงกลับนิ่งเงียบไปทันที

“พี่ไห่อยากให้เราไปเจอวีรบุรุษด้วยกันนะ มานั่งเร็ว ๆ”

ลู่เจิ้งอวี่หันไปตะโกนเรียก ถังจวิ้นเฟิงจึงหันหลังกลับ แล้วกลับมานั่งที่เก่า

เขานั่งบนโซฟาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

เซี่ยไห่กลอกตามองเขา “จะไปแล้วนี่ กลับมาทำไมล่ะ?

ถังจวิ้นเฟิงกลอกตากลับ “นั่งอีกสักแปบไม่ได้หรือไง?”

“พี่ไห่ แล้วพี่เซี่ยเหลยมาถึงไห่เฉิงตั้งแต่เมื่อไหร่?” ลู่เจิ้งอวี่ถาม

“เมื่อวาน ฉันกับเจียเหอเป็นคนไปรับ”

ลู่เจิ้งอวี่รู้ว่าถังจวิ้นเฟิงต้องการสอบถามเกี่ยวกับบุคคลต้นแบบของตัวเองแน่ แต่เขาอายเกินกว่าจะพูดเอง จึงเป็นฝ่ายถามแทน “เขาสบายดีไหม? และความทรงจำฟื้นกลับมาหรือยัง?”

“ไม่เฉียดเลย ยังคงจำอะไรไม่ได้ ฉันเลยต้องระวังคำพูดมาก ๆ เวลาอยู่ต่อหน้าเขา”

“อืม”

“เหล่าเฉินคงจะเป็นคนพิเศษมากสินะ ถึงได้รับโอกาสให้ไปรอรับเขาที่สถานี”

ถังจวิ้นเฟิงชอบพูดจากระทบกระเทียบตลอด เซี่ยไห่หงุดหงิดมาก จนต้องลุกไปเตะเขา “แล้วนายเทียบกับเขาได้ไหมเล่า? จะแข่งกับเขาให้ได้ทุกอย่างเลยไหม? เขาโชคดีเพราะได้แต่งงานกับหลานสาวฉันต่างหาก นายเกี่ยวอะไรด้วย?”

“หลานสาวคนไหน?” ถังจวิ้นเฟิงปัดรอยเท้าที่เซี่ยไห่เตะออก พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนจากความสับสนเป็นตกใจ “เขาแต่งงานกับหลานสาวนายเหรอ? หลินเซี่ยเป็นหลานสาวนายเนี่ยนะ?”

น้ำเสียงของเซี่ยไห่เฉียบขาดขึ้น “ก็ใช่ไง หล่อนเป็นลูกสาวของพี่ใหญ่ และเฉินเจียเหอก็เป็นน้องเขยฉัน ทีนี้เข้าใจหรือยัง?”

“นายกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่?” หลังถังจวิ้นเฟิงได้ฟังคำอธิบาย ก็มองไปทางเซี่ยไห่ จากนั้นมองไปทางเฉินเจียเหอ “เมียนายเป็นหลานสาวเหล่าเซี่ยจริงเหรอ?”

เฉินเจียเหอดูสงบนิ่งและตอบว่า “ใช่”

“ไม่น่าใช่ สกุลของหลินเซี่ยคืออะไรนะ?” ถังจวิ้นเฟิงรู้สึกสับสน

ตอนแรกสกุลของเธอคือเสิ่น แต่จากนั้นก็เปลี่ยนมาใช้สกุลหลิน และตอนนี้เธอยังมาเป็นลูกสาวของวีรบุรุษอีก?

ถังจวิ้นเฟิงเขยิบมาใกล้เซี่ยไห่ เพื่อของฟังคำอธิบายเรื่องราวทั้งหมด

ในฐานะตำรวจ ถ้าฟังเรื่องบางอย่างโดยไม่มีกระบวนการ ก็ไม่สามารถปักใจให้เชื่อลงได้

เซี่ยไห่จึงเล่าเรื่องของพี่ใหญ่เขาแบบคร่าว ๆ

หลังเล่าจบ เขาก็ตีถังจวิ้นเฟิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทีหลังอย่าเอาแต่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เรื่องนี้มันเทียบกันไม่ได้”

ถังจวิ้นเฟิงตอบกลับอย่างมั่นใจ “ไม่มีใครเทียบได้จริง ๆ”

เมื่อเห็นพวกเขายังไม่จากไป เฉินเจียเหอก็เริ่มไล่แขก “เอาล่ะ พวกนายกลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว ฉันจะไปหาเซี่ยเซี่ย”

“เดี๋ยวเรากลับกันเอง นายไปหาเธอเถอะ อย่าลืมบอกให้เธอหยุดร้องไห้ด้วย” หลังจากเซี่ยไห่บอกเฉินเจียเหอ เขาลุกขึ้นยืนและผลักถังจวิ้นเฟิง “ไปกันเถอะ มัวยืนนิ่งอะไรอยู่? ไปที่ห้องเต้นรำแล้วค่อยคุยกัน”

คืนนั้น เซี่ยเหลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย หรือว่าเห็นหลินเซี่ยและคนอื่น ๆ ในตอนกลางวัน อีกทั้งคำพูดของเซี่ยไห่ก็เผอิญไปกระตุ้นสมองเขาในระดับหนึ่งด้วย

เขาหลับฝัน

ในความฝัน มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับผมเปียยาวสองข้าง หล่อนพูดกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยสำเนียงที่ไม่คุ้นเคยว่า “ฉันจะรอคุณ ฉันจะรอคุณแน่นอน!”

เขาพยายามอย่างหนักที่จะมองใบหน้าอีกฝ่ายให้ออก แต่หล่อนอยู่ในหมอกขาว ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน

เมื่อเซี่ยเหลยตื่นขึ้น เขาก็มีเหงื่อออกมากจนท่วมตัว

หลินเซี่ยตื่นแต่เช้า และไปหาหลิวกุ้ยอิงด้วยดวงตาที่บวมเป่ง

เมื่อหลิวกุ้ยอิงเปิดประตูในตอนเช้าตรู่ หล่อนก็ต้องตกใจกับสีหน้าที่ดูซีดเซียวของหลินเซี่ย

“เซี่ยเซี่ย เป็นอะไรไป? ทะเลาะกับเจียเหอมาเหรอ?”

หลินเซี่ยไม่ได้พูดอะไร เธอโถมตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนหลิวกุ้ยอิง และร้องไห้อีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้น?” หลิวกุ้ยอิงรู้สึกตกใจมาก พลางลูบแผ่นหลังเพื่อปลอบเธอ “หยุดร้องได้แล้ว บอกมาทีว่าเกิดอะไรขึ้น?”

“แม่คะ ฉันเจอพ่อแล้ว เขาน่าสงสารมาก ขาข้างหนึ่งพิการเดินไม่ปกติอีกต่อไป หนำซ้ำยังจำอะไรไม่ได้เลย เขาน่าสงสารมากจริง ๆ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ดูท่าจะมีหวังอยู่นะคะ เหมือนพี่เหลยยังพอมีเศษเสี้ยวความทรงจำบางส่วนอยู่บ้าง

ไหหม่า(海馬)