พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 289 วัดสัดส่วน
“ทำไม่เป็นดีที่สุด อย่างนี้ก็แล้วกัน” จ้านเป่ยเซียวกล่าว เฝ้าดูสีหน้าของเฟิ่งชิงหัวอย่างสบายๆเพื่อให้แน่ใจว่าจุดอ่อนที่นางพูดนั้นเป็นความจริง และไม่หลอกเขา
เฟิ่งชิงหัวพูดไม่ออก “เจ้าทำให้ข้าลำบากใจจริงๆ นับประสาอะไรกับการเย็บเสื้อผ้า ต่อให้เจ้าขอให้ข้าเย็บกระสอบทราย ข้าก็คงทำได้ยาก เมื่อทำออกมาคงน่าเกลียดยิ่งกว่าเสื้อผ้าของขอทาน เจ้าจะสวมอย่างไรเล่า?”
“จะใส่หรือไม่ใส่ก็เรื่องของข้า ส่วนจะทำหรือไม่ทำก็เป็นเรื่องของความจริงใจของเจ้า” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างสบายๆ “ถ้าเจ้าไม่อยากทำ ก็ทำตามคำแนะนำสองสามข้อที่ข้าให้ไว้สิ?”
“อย่า ช่างเถอะ” เฟิ่งชิงหัวรีบโบกมือและกัดฟันแน่น “ข้าเย็บ ข้าเย็บก็ได้ แต่เจ้าต้องให้เวลาในการฝึกฝนแก่ข้า สามวัน ข้าไม่สามารถทำสำเร็จได้แน่”
“งั้นเจ้าท้าทายสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
เฟิ่งชิงหัวจ้องจ้านเป่ยเซียว อยากจะตีเขาจัง
ไม่เพียงแต่จะทำให้นางลำบากใจเท่านั้น แต่ยังเป็นไปไม่ได้อีกด้วย
จ้านเป่ยเซียวชำเลืองมองนาง “ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ชอบการลงโทษนี้มากนัก?”
“ไม่ ไม่ ไม่ ข้าชอบ ข้าชอบมาก ข้าชอบเย็บและซ่อมแซมมากที่สุด เหอะเหอะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเริ่มฝึกตอนนี้เลยเหรอ?” เฟิ่งชิงหัวคิด เมื่อถึงเวลานั้นค่อยคิดวิธี หาคนในจวนอ๋องสักคนมาเย็บชุดหนึ่งก็แล้วกัน
แต่ทันทีที่นางคิดถึงเรื่องนี้ จ้านเป่ยเซียวก็พูดว่า “งั้นเจ้าก็ลุกขึ้นไปวัดสัดส่วนให้ข้าก่อน”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง แค่เอาเสื้อคลุมของเจ้ามาให้ข้าก็พอ แล้วข้าจะทำตาม” เฟิ่งชิงหัวโบกมือ
จ้านเป่ยเซียวมองเฟิ่งชิงหัว “เจ้าจริงจังที่จะยอมรับการลงโทษหรือ?”
“ได้ ได้ ได้ วัด วัด วัด ข้าจะเริ่มวัดทันที” เฟิ่งชิงหัวกัดฟัน
ทันทีที่เฟิ่งชิงหัวพูดจบ องครักษ์ลับคนหนึ่งก็เข้ามา ถือไม้บรรทัดยาว ไม้บรรทัดอ่อน พู่กันและกระดาษไว้ในมือ
จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกางแขน “เริ่มวัดเถอะ”
เฟิ่งชิงหัวยืนขึ้นเกาหู มองไปที่ร่างของชายหนุ่มด้วยความงุนงง
อันนี้วัดอย่างไงนะ นอกจากสัดส่วนแล้วยังมีอะไรอีก?
“พระชายา เชิญขอรับ” องครักษ์ลับเตือน
เฟิ่งชิงหัวหยิบสายวัดจากมือของเขา อันดับแรกวัดไหล่ของจ้านเป่ยเซียวทั้งสองข้าง จากนั้นวัดความกว้างของหลัง หน้าอก และเอวของเขา
จ้านเป่ยเซียวตกใจกับการกระทำของนางและมองนางเหมือนถูกจับผิด “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ฉวยโอกาสข้ารึ?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้ากำลังวัดสัดส่วนของเจ้าอีกครั้ง เย็บชุด ต้องวัดสัดส่วนไม่ใช่รึ?” เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างมืออาชีพ
ทุกครั้งที่วัด มือของเฟิ่งชิงหัวจะโอบหลังของจ้านเป่ยเซียวไว้แน่น ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก
“ใครวัดสัดส่วนเย็บชุดเช่นเจ้ากัน?” เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงหัวกำลังจะกอดบั้นท้ายของเขา จ้านเป่ยเซียวก็กระโดดขึ้นทันที ใบหน้าของเขาอายเล็กน้อยและหูของเขาแดงก่ำ
เฟิ่งชิงหัวถามด้วยความสงสัย “ไม่จำเป็นเหรอ?”
นางจำได้ว่าตอนที่นางทำชุดกี่เพ้าและสูท พวกเขาไม่เพียงแต่วัดขนาดของเท่านั้น แต่ยังวัดต้นขาด้วย
องครักษ์ลับที่ยู่ด้านข้างพูดด้วยความเคารพ “พระชายา ชุดที่ท่านจะเย็บให้นายท่านคือชุดคลุม ท่านแค่วัดไหล่ ความยาวของมือ ความยาวของเสื้อคลุม และความยาวของรอบเอวก็พอขอรับ”
เฟิ่งชิงหัวตระหนักได้ทันที “อ่อ ใช่ ชุดคลุมของเจ้าค่อนข้างหลวม ไม่จำเป็นต้องรัดรูปขนาดนั้น”
ดังนั้น เฟิ่งชิงหัวจึงวัดอีกครั้งตามสิ่งที่องครักษ์ลับลับกล่าว และเพิ่มเลขอีกสองสามเลข
“เสร็จแล้ว” เฟิ่งชิงหัวเช็ดเหงื่อจากหน้าผากของนาง
จ้านเป่ยเซียวกล่าว “เจ้าไปที่โกดังหมายเลขสามเพื่อเลือกผ้า”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าและเดินตามองครักษ์ลับออกไป
หลังจากออกจากเรือนหลัก เฟิ่งชิงหัวก็มองไปยังองครักษ์ลับอยู่ทันที “เจ้า เจ้าทำชุดคลุมได้หรือไม่?”
องครักษ์ลับพยักหน้า “ข้าน้อยทำเป็นขอรับ เมื่อข้าอยู่ในสำนัก ต้องผ่านรายการนี้เพื่อที่จะสำเร็จการศึกษาอย่างราบรื่นขอรับ”
ใบหน้าของเฟิ่งชิงหัวเต็มไปด้วยความชื่นชมในทันที “สำนักของพวกเจ้าทรงพลังจริงๆ ไม่เพียงแต่ต้องสอนศิลปะการต่อสู้สิบแปดอย่างเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นการเย็บผ้าด้วย ถ้าอย่างนั้น เจ้าช่วยข้าทำชุดคลุมได้ไหม?”
องครักษ์ลับส่ายหัว “พระชายา นายท่านให้ท่านทำเอง ถ้าพบว่าคนอื่นช่วยท่าน นายท่านจะไม่พอใจขอรับ”
เฟิ่งชิงหัวพูดอีกครั้ง “ถ้าข้าไม่บอกเขาก็ได้แล้วนี่?”
“พระชายาอภัยให้ข้าด้วย กฎองครักษ์ลับข้อสี่สิบหก คือห้ามหลอกลวงนายท่าน ข้อเจ็บสิบ คือห้ามพูดเรื่องที่ไม่เป็นจริงขอรับ”
เฟิ่งชิงหัวรู้สึกประหลาดใจ “พวกเจ้ายังมีกฎของผู้องครักษ์ลับ? ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าจ้านเป่ยเซียวเป็นผู้ตั้งขึ้นใช่ไหม? น่ากลัว เขาไม่เพียงแต่สามารถตั้งกฎของตระกูลแต่ก็ยังตั้งกฎขององครักษ์ลับอีก ข้าเกรงว่าเขายังมีกฎอื่นอีก?”
เดิมทีเฟิ่งชิงหัวเพียงแค่บ่น แต่นางไม่คาดคิดว่าองครักษ์ลับจะพูดอย่างเคร่งเครียด “ใช่ขอรับ มีกฎทหาร กฎคนใช้ และเดิมทีก็มีกฎพระชายาเล่มหนึ่งด้วยขอรับ แต่ท่านชายตั้งได้ครึ่งหนึ่งก็ยกเลิกแล้วขอรับ”
ขณะที่เขาพูดนั้น องครักษ์ลับก็มองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าเขา สายตาซับซ้อน
แต่เฟิ่งชิงหัวกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีที่ไม่มีแล้ว อาจเป็นเพราะพระชายาแต่ละคนของพวกเจ้าเสียชีวิตเร็วเกินไป ดังนั้นจึงไม่ได้ตั้ง”
เฟิ่งชิงหัวพบว่าองครักษ์ลับคนนี้ค่อนข้างตลกขบขัน สีหน้าจริงจัง พูดสั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ และน้ำเสียงของเขาก็ยังเหมือนเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ ห่างเหินเดิมเด็กชาย
“เจ้าชื่ออะไร?””
องครักษ์ลับ “ข้าน้อยมาจากหลิวปู้ ชื่อหลิวปิง”
“หลิวปู้ แผนกเดียวกับหลิวหยิ่ง พวกเจ้ามีกี่แผนก?”
“สำหรับการป้องกันอย่างใกล้ชิดมีสองแผนกขอรับ หนึ่งคือหลิวปู้ สองคือสีปู้หน้าที่รับผิดชอบต่างกันไป สีปู้รับผิดชอบงานภายนอกของจวนอ๋อง และหลิวปู้รับผิดชอบงานประจำวันและ การคุ้มครองอย่างใกล้ชิดให้กับนายท่าน” หลิวปิงกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“อ่อ ฟังดูแล้วเก่งกาจจริงๆเลยนะ” เฟิ่งชิงหัวคุยกับหลิวปิงพร้อมเดินไปด้วยกัน ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกว่าระยะทางไกลเกินไป
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงส่วนหนึ่งของจวนอ๋องซึ่งกล่าวกันว่าเป็นโกดังเก็บของ
ก่อนที่จะได้เห็นว่าใช้กลไกไหนไปบ้าง ประตูที่อยู่ตรงหน้าก็เปิดออกอย่างช้าๆโดยอัตโนมัติ
“พระชายา ท่านสามารถเลือกผ้าที่นี่ได้ตามต้องการขอรับ” เขาพาเฟิ่งชิงหัวเข้าไปข้างในเหมือนเป็นมัคคุเทศก์
ทันทีที่เฟิ่งชิงหัวเดินเข้ามา นางก็ตกตะลึงกับกองผ้าที่กองสูงขึ้นไปถึงข้างบน มีผ้าอย่างน้อยหลายหมื่นผืนอยู่ข้างใน และแต่ละผืนมีมูลค่ามหาศาล งดงามและนางไม่รู้จักด้วย รู้สึกแต่ว่างดงามมาก จับแล้วสบาย
ยิ่งเข้าไปข้างใน ผ้าข้างในยิ่งมีค่า
หลิวปิงเป็นคนที่มีความรู้มาก เมื่อใดก็ตามที่เฟิ่งชิงหัวมองที่ผ้าผืนหนึ่งนานกว่าสามวินาที เขาก็สามารถแนะนำเกี่ยวกับผ้าชิ้นนั้นได้
ไหมโหรหยุน ไหมหลิวหยุน ผ้าเทียนสุ่ยอะไรต่างๆ แค่ฟังชื่อก็รู้สึกสวยงาม
“ปกติแล้วนายท่านของพวกเจ้าใส่แต่สีดำรึ?” เฟิ่งชิงหัวเหลือบมอง “สีอื่นๆ ที่นี่ก็สวยดีเหมือนกัน”
“นายท่านเกลียดปัญหา ดังนั้นจึงสวมเพียงสีเดียว”
“ไม่ใช่เพราะทำเป็นเท่รึ?”
หลิวปิงไม่ตอบ
เฟิ่งชิงหัวลูบคางแล้วคิดว่าจ้านเป่ยเซียวจะเป็นอย่างไรหากสวมเสื้อผ้าสีอื่น ชั่วขณะหนึ่ง นางกลับนึกไม่ออก เป็นเพียงเพราะเสื้อคลุมสีดำของเขาหยั่งรากลึกเกินไปในหัวใจของผู้คน
เฟิ่งชิงหัวจึงหยิบผ้าผืนหนึ่งขึ้นมาทันที “สีนี้ก็แล้วกัน ไปกันเถอะ”
หลิวปิงไม่ขยับ “พระชายา เปลี่ยนสีอื่นเถอะขอรับ”
“ไม่ได้ ข้าสัญญาว่าจะเย็บเสื้อผ้าให้เขา ดังนั้นข้าสามารถเลือกสีอะไรก็ได้ที่ข้าชอบ ไม่เช่นนั้น เจ้าเลือกสีและเจ้ามาเย็บเอง?” เฟิ่งชิงหัวเหลือบมองเขา
หลิวปิงพูดอย่างใจเย็น “พระชายาขอรับ สถานที่นี้อยู่ไกลจากเรือนหลัก เดียวท่านค่อยสั่งข้อน้อยมาอีกครั้ง กลัวว่าเวลาวันนี้ไม่พอแล้ว ในสองวันเกรงว่าจะไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงได้”
เฟิ่งชิงหัวมอง หลิวปิง รู้สึกแต่ว่าสมององครักษ์ลับคนนี้ฉลาดเกินไปจริงๆ ฉลากกว่าหลิวหยิ่งมาก
นางจึงเปลี่ยนอีกผืนหนึ่ง “งั้นก็ผืนนี้ ถ้าเขาเลือกแล้วเลือกอีกก็ให้เขามาเลือกเอง ข้าชอบสีนี้”
หลิวปิงชำเลืองมองและหลีกทางให้ “พระชายา เชิญขอรับ”
เฟิ่งชิงหัวเดินออกไปพร้อมกับผ้าในอ้อมแขน ในสมองของนางเต็มไปด้วยขั้นตอนการทำเสื้อผ้า
ว่ากันว่าวัดสัดส่วน ตัดผ้า วัดตัวเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือคือการตัดผ้า หลังจากตัดก็เย็บ สมบูรณ์แบบ
นางคิดดีมาก แต่เมื่อนางคลี่ผ้าออกและเริ่มตัด กรรไกรตัดไม่ลง
วัดไปมาบนผ้า สีหน้างุนงงสับสนไปหมด
เฟิ่งชิงหัวกุมศีรษะและคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง “กรี๊ด ทำไมข้าถึงบอกว่าข้าเย็บผ้าไม่เป็น!”
นางไปทุกที่ได้ด้วยเข็มเงินในมือ แต่นางไม่คาดคิดว่าจะถูกเข็มปักเล็กๆทำให้ลำบากใจ
นางเย็บผ้าและเย็บปักถักร้อยไม่เก่ง แต่การผ่าตัดท้องเป็นเรื่องเล็กน้อย
ขณะที่เฟิ่งชิงหัวกำลังกุมหน้าคิดมากอยู่ในห้อง หยูจีซึ่งเดิมทีอยู่บนเตียงก็ลุกจากเตียง มือทั้งสองข้างถือขนมอยู่พร้อมจ้องแผ่นหลังนาง