ใดใดในโลก จะสูงส่งเท่ากับการศึกษาตำรา นี่เป็นความรู้ความเข้าใจที่ฝังลึกในใจของทุกคนในราชวงศ์ต้าโจวแม้แต่โจรผู้ร้ายก็เห็นด้วย
องครักษ์จิ่นหลินไม่น่าตกใจหรือ น่าตกใจจะตาย! หากว่าจวนใดมีคนเป็นองครักษ์จิ่นหลิน บรรดาเพื่อนบ้านแปดทิศทางเมื่อพบกับคนในจวนนั้นล้วนต้องเก็บเขี้ยวเล็บและเจียมตน แต่เบื้องหลังความน่าเกรงขามนั้น ทุกคนล้วนพากันถุยน้ำลายใส่
องครักษ์จินอู๋ไม่มีศักดิ์ศรีอย่างงั้นหรือ แน่นอนว่าต้องมีศักดิ์ศรีน่าชื่นชูเช่นกัน แต่องครักษ์จินอู๋โดยมากแล้วจะเป็นบรรดาคุณชาย ไม่มีอะไรให้น่าอิจฉา
ทางเดียวคือการศึกษาตำรา นั่นเป็นทางออกที่แท้จริง เปรียบเป็นปลาที่กระโดดขึ้นจากบ่อน้ำและกลายเป็นมังกรได้ แม้แต่ลูกหลานของตระกูลผู้สูงศักดิ์หากสามารถผ่านการคัดเลือก ทางตระกูลก็ยินดียิ่งนัก เหตุผลง่ายดาย เพราะการรับราชการเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดล้วนมาจากผู้ที่สอบเคอจวี่
ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้เก่งกาจอันใดนัก เปรียบเสมือนปลาเล็กปลาน้อย
เซียวซื่อในบัดนี้เรียกเจียงจั้นว่าเป็นปลาเล็กปลาน้อยเพื่อที่จะได้ปลอบใจตัวเอง เพียงแต่ว่าปลาตัวนี้เป็นปลาที่ไร้ความสามารถ ไม่ว่าผู้ใดก็คิดว่าเขาไม่เอาการเอางาน เมื่อคิดได้ดังนี้ในใจเซียวซื่อก็รู้สึกขมขื่นขึ้นมา รอไปก่อนเถิด รอให้รายชื่อชิวเหวยประกาศออกมาแล้ว ผู้ใดก็อย่าหวังจะได้เข้ามาขัดขวางความรุ่งโรจน์ของบุตรชายคนโตนาง
“พี่รอง ชุดของพี่ช่างงดงามเหลือเกิน พี่เป็นองครักษ์จินอู๋จริงหรือ” คุณชายสี่เจียงเจ๋อเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม
นายท่านเจียงที่สามมีบุตรชายและบุตรหญิงอย่างละหนึ่งคน บุตรหญิงนามว่าเจียงเชี่ยว ส่วนบุตรชายคือเจียงเจ๋อ ปีนี้อายุได้สิบปี เป็นช่วงอายุที่กำลังเรียนรู้และไร้เดียงสา
เจียงจั้นปลดดาบที่แขวนไว้ตรงเอวออกแล้วยื่นออกไปอวดกับเจียงเจ๋อ “แน่นอนสิ น้องสี่ เจ้าดูรูปอินทรีบินถลาที่จารึกบนฝักดาบนี้ มันคือสัญลักษณ์ขององครักษ์จินอู๋อันแสนพิเศษ”
คุณชายสามเจียงหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้าง เห็นว่าเจียงเจ๋อเอามือไปลูบคลำดาบเล่มนั้นอย่างชื่นชม ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา “พี่รอง ให้ข้าสัมผัสมันด้วยได้หรือไม่”
เซียวซื่อเหลือบตาไปมองดูเจียงหยวนก่อนจะแอบด่าอยู่ในใจว่าไร้สาระ จากนั้นนางจึงกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าไปแตะต้องซี้ซั้ว หากว่าทำของพี่รองเสียคงจะไม่ดี เจ้าดูสิ บัดนี้พี่รองเองก็มีงานทำแล้ว นับจากนี้ตัวเจ้าก็ต้องขยันศึกษาตำราให้มาก”
สีหน้าของเจียงหยวนแย่ลงทันใด “ท่านแม่ ข้าก็ไม่อยากศึกษาตำราแล้ว”
“หุบปากไปเสีย!” เซียวซื่อตวาดออกมา “เจ้าไม่เรียนหนังสือแล้วจะไปทำอะไร เจ้าจะโชคดีได้เข้าไปอยู่ในหน่วยองครักษ์จินอู๋เช่นเดียวกับพี่รองของเจ้าหรือ”
เจียงจั้นได้แต่เหลือบตาเหล่มองดู
เขาใช้ความสามารถส่วนตัวในการผูกสัมพันธ์กับพี่อวี๋ชี การที่เขาสามารถคบสหายที่มีความสามารถเช่นนี้ได้นับว่าเป็นที่โชคหรือ นี่มันต้องอาศัยความสามารถส่วนตัวต่างหากเล่า
“พี่รองยังสามารถเข้าร่วมเป็นองครักษ์จินอู๋ได้ แล้วเหตุใดข้าจึงเข้าไม่ได้เล่า อย่างมากก็ให้ท่านพ่อช่วยใช้ความสัมพันธ์ส่งเข้าไปก็ได้นี่” เจียงหยวนเถียงออกมาคอเป็นเอ็น
บัดนี้เจียงหยวนอายุได้สิบสี่ปีแล้ว เขามีความคล้ายคลึงกับเจียงจั้นมาก ล้วนไม่ชอบศึกษาตำรา ดูเหมือนว่าจะยังไม่เปิดโลกทัศน์ เพียงแต่เจียงหยวนยังคงอายุน้อย อีกทั้งยังมีความไม่เอาไหนของเจียงจั้นคอยคุ้มกะลาหัวเอาไว้ จึงทำให้ไม่โดดเด่นเท่าไรนัก
“ไร้สาระ!” เนื่องจากบุตรชายคนโตของนาง มีความสามารถด้านการศึกษาตำราเป็นยิ่ง ในใจของเซียวซื่อไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการศึกษาตำราอีกแล้ว
นายท่านรองเจียงมองไปยังเจียงจั้นที่ยืนสง่าผ่าเผยอย่างมีความหมาย
บุตรชายคนรองต่างไปจากบุตรชายคนโต เขาศึกษาตำรามาตั้งหลายปีแต่ก็เพียงแค่อ่านออกเขียนได้ หากสามารถประพันธ์กวีออกมาได้สักบทก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่เมื่อตอนอายุน้อยแน่นอนว่าจะต้องให้เรียนหนังสือเพื่อขัดเกลานิสัย เมื่อเติบโตแล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องพยายามฝืนทนร่ำเรียนตำราเพื่อสอบจอหงวนหากว่าไม่มีพรสวรรค์ และองครักษ์จินอู๋ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว
อายุเช่นเจียงหยวนหากจะให้เข้าไปในหน่วยองครักษ์จินอู๋คงจะยังเด็กไป ดังนั้นนายท่านรองเจียงจึงไม่รีบร้อน เขากล่าวขึ้นว่า “เจ้าศึกษาตำราให้ดีก่อน ประเดี๋ยวข้าจะเชิญอาจารย์สอนวรยุทธ์มาให้ แล้วศึกษาวิทยายุทธ์สักสามปีแล้วค่อยว่ากัน”
“ยอดเยี่ยมทีเดียวขอรับท่านพ่อ!” เจียงหยวนยกมือขึ้นคารวะ สายตาที่มองดูเจียงจั้นแน่นแฟ้นกว่าเดิมมาก หลังจากนี้ไม่กี่ปี เมื่อเขาได้เข้าไปในองครักษ์จินอู๋ก็จะมีพี่รองคอยคุ้มกัน
เซียวซื่อไม่พอใจกับความคิดและการตัดสินใจของนายท่านรองเจียง แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้ นางก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา ช่างเถิด เดิมทีบุตรชายคนรองของตนก็ไม่ได้ฉลาดเท่าไรนัก ในอนาคตหากได้เป็นองครักษ์จินอู๋ก็ไม่เลว บิดามารดาคนเดียวกัน สองพี่น้องคนหนึ่งมีความสามารถด้านบู๊อีกคนหนึ่งมีความสามารถด้านบุ๋น เช่นนี้จึงจะสามารถช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้อย่างแท้จริง
เมื่อนึกถึงบุตรชายคนโต เซียวซื่อก็ได้เกิดความกังวลขึ้นมา หลังจากกลับไปถึงเรือนหยาซินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำกับนายท่านรองเจียงว่า “อากาศร้อนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าชังเอ๋อร์จะไหวหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าในห้องที่พวกเขาใช้สอบกันนั้น ไม่มีแม้แต่ที่จะยืดแข้งยืดขา”
สถานที่ซึ่งเรียกว่าห้องสอบนั้น ก็คือห้องเล็กๆ เตี้ยๆ ซึ่งผู้เข้าสอบคัดเลือกจะต้องอาศัยอยู่ระหว่างการทำข้อสอบ การสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่นแบ่งออกเป็นสามสนาม สนามหนึ่งใช้เวลาสามวัน ในสามวันนี้ผู้เข้าสอบจะต้องกินดื่มนอนพักผ่อนในห้องเล็กๆ นี้
นายท่านรองเจียงเคยผ่านการสอบชิวเหวยและชุนเหวยมาแล้ว สถานภาพอันย่ำแย่ในห้องสอบเขารู้ดีเป็นที่สุด แต่ก็เพียงกล่าวออกมาเบาๆ ว่า “ทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้”
“ข้าได้ยินมาว่าที่ห้องสอบนั้นมีฝนรั่วไหลได้ด้วย หากว่าชังเอ๋อร์ถูกจัดให้ไปอยู่ห้องเช่นนั้น…”
“หุบปากเสีย!” นายท่านรองเจียงจ้องมองไปทางเซียวซื่ออย่างรำคาญใจ
หากว่าถูกจัดให้อยู่ในห้องที่ฝนรั่วจริงๆ เมื่อฝนตกกระดาษก็จะเปียก ดังนั้นผลคะแนนก็คงจะสูญเปล่า
เซียวซื่อรู้ตัวเองว่าปากพล่อยไป จึงได้กล่าวอย่างรวดเร็วว่า “แต่ชังเอ๋อร์ของเราโชคดีแต่ไหนแต่ไรมา เขาจะต้องถูกส่งไปอยู่ในห้องสอบที่ดีที่สุดเป็นแน่ ข้ากังวลใจไปเองจริงๆ”
นายท่านรองเจียงได้แต่ชักสีหน้าออกมาอย่างไม่น่ามอง
สตรีผู้ไร้ความคิด! ห้องสอบฝนรั่วก็ช่างปะไร หากว่าถูกส่งไปอยู่ห้องใกล้เคียงกับห้องส้วม กลิ่นจากในห้องนั้นแม้แต่จะทำการตอบคำถามก็คงจะลำบาก
ในหน้าร้อนเช่นนี้คิดดูเอาเถิดว่ากลิ่นจะเป็นเช่นไร
นายท่านรองเจียงนึกย้อนกลับไปเมื่อปีที่เขาทำการสอบในตอนนั้น เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งถูกจับไปอยู่ข้างห้องส้วม เขาทนได้อยู่เพียงแค่หนึ่งวันก็เป็นลมเสียจนต้องถูกหามออกไป ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน แต่ห้องที่อยู่ติดกับห้องถ่ายหนักเช่นนี้ก็น้อยนัก หากว่าถูกจัดไปให้อยู่ข้างห้องนั้นคงจะโชคร้ายเหลือเกิ แน่นอนว่านายท่านรองเจียงไม่คิดว่าบุตรชายของตนจะโชคร้ายสักเพียงนั้น เมื่อคิดได้ดังนี้ ความวุ่นวายในใจก็สงบลงไม่น้อย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าก็มาถึงวันที่สิบเอ็ดเดือนแปด เป็นวันสุดท้ายของการสอบระดับท้องถิ่น เมื่อเวลาโพล้เพล้มาถึง ผู้เข้าสอบทุกคนในสนามแรกก็จะทยอยเดินทางออกมา เจียงชังที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงจึงไม่จำเป็นจะต้องไปพักที่โรงเตี๊ยม เขาควรเดินทางกลับจวน
เมื่อถึงเวลาบ่าย ทุกคนในจวนปั๋วก็พากันตื่นเต้นและรอคอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายท่านรองเจียงและภรรยา รู้สึกกระวนกระวายยิ่งนัก นายท่านรองเจียงเคยเข้าสอบคัดเลือกเช่นนี้มาก่อน เขารู้ดีกว่าใครว่าสนามสอบสนามแรกนั้นสำคัญยิ่ง
การคัดเลือกโดยมากแล้วจะให้ความสำคัญในสนามสอบแรก หากในสนามแรกสอบได้ดี อีกสองสนามที่เหลือหากผ่านไปได้ก็คงจะได้เป็นจวี่เหริน กล่าวได้ว่าข้อสอบในสนามแรกนั้นเป็นการตัดสินอนาคตของผู้เข้าสอบอย่างแท้จริง
หากสามารถผ่านสนามนี้ไปได้ ก็เท่ากับว่ามีโอกาสเข้าสอบชุนเหวยในปีหน้า
เสียงฝีเท้าอันรีบเร่งดังขึ้นดั่งสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ จู่ๆ นายท่านรองเจียงก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
เสียงฝีเท้าอันรีบเร่งนั้นตรงเข้ามาด้านใน พบว่าเป็นผู้ดูแลของเรือนด้านนอก เมื่อเขาก้าวเข้ามาในประตูก็ได้ตะโกนออกมาว่า “คุณชาย คุณชายใหญ่กลับมาแล้วขอรับ!”
นายท่านรองเจียงเบิกตากว้าง หัวใจของเขาจมดิ่งลงไปที่ตาตุ่ม
เพลานี้ยังไม่ถึงกำหนดการส่งข้อสอบ เหตุใดชังเอ๋อร์จึงได้กลับมาเล่า!
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” นายท่านรองเจียงรีบเอ่ยถามด้วยความร้อนรน
ผู้ดูแลคำสีหน้าซีดเผือดไม่น่ามอง ก่อนจะกล่าวกลับไปว่า “คุณชายใหญ่เป็นลมสิ้นสติไป ถูกหามกลับมาขอรับ”
เมื่อเซียวซื่อได้ยินว่าชังเอ๋อร์กลับมาแล้วก็รีบลุกขึ้นยืนทันที แต่เมื่อนางได้ยินประโยคเมื่อครู่ ร่างกายอ่อนแรงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง
“ผู้ติดตามเล่า?”
ร่างเล็กๆ ของชายหนุ่มคนหนึ่งคุกเข่าลงสู่พื้น เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า “คุณชายถูกจัดให้ไปอยู่ที่ข้างห้องถ่ายหนักขอรับ เมื่อตอนที่แบกออกมานั้นข้าน้อยจึงได้รู้ว่าคุณชายทนฝืนอยู่ถึงสองวัน พอมาถึงวันนี้อาเจียนอย่างหนักจนไม่อาจทนไหว กระทั่งเป็นลมหมดสติไปจึงถูกแบกหามออกมาขอรับ…”
นายท่านรองเจียงที่ดำรงตำแหน่งขุนนางในราชการมาหลายปี เขาได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
จากพื้นฐาน ประสบการณ์ วิสัยทัศน์และพรสวรรค์ เขาคำนวณดูแล้วมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าบุตรชายคนโตของเขาจะต้องได้รับคัดเลือกอย่างแน่นอน มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่ได้คำนวณนั้นก็คือโชคชะตา
“คุณชายใหญ่เล่า!” เสียงฝีเท้าของเซียวซื่อรีบพุ่งออกไปทันใด