บทที่ 238 ซื้อบ้านหลังใหม่

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 238 ซื้อบ้านหลังใหม่

บทที่ 238 ซื้อบ้านหลังใหม่

เรื่องซื้อบ้าน เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเกินไป

“คุณแม่ แม่คิดจะซื้อจริง ๆ ใช่ไหมคะ?” เธอยังถามด้วยความประหลาดใจ

“ซื้อบ้านก็ดีนะคะ!” ซูเสี่ยวเถียนได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยปากขึ้น

เธอไม่คิดว่าย่าจะเป็นคนตามยุคสมัย และคิดจะซื้อบ้านในยุคแบบนี้ด้วย

“ดูสิ เสี่ยวเถียนยังบอกเลยว่าซื้อบ้านแล้วดี!” คุณย่าซูพูดอย่างภาคภูมิใจขณะกอดหลานสาว

หลานสาวตัวน้อยเป็นที่โปรดปรานของราชามังกร ในเมื่อเธอพูดว่าดี เรื่องซื้อบ้านก็ต้องดีจริง ๆ สิ

ความจริงคุณย่าซูลืมไปเสียสนิทเลยว่า ที่หลานสาวพูดเช่นนั้นเพราะเจ้าตัวรู้ว่าในมือเธอมีเงิน

เงินกับตั๋วต่าง ๆ เสี่ยวเถียนยกมันให้คุณย่าซูทั้งหมด เมื่อลองคำนวณดูแล้วก็มากพอที่จะซื้อบ้านได้

“บ้านในเมืองแบบนี้ ราคาประมาณสี่ร้อยหยวนนะครับ” เฉินจื่ออันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

สี่ร้อยหยวน!

คุณย่าซูได้ฟังก็อดปวดหัวจี๊ดไม่ได้

“ถ้าอยากได้ตั๋วธัญพืชก็อาจจะถูกลงนิดหน่อย” เฉินจื่ออันว่าต่อ “ถ้าใจร้ายหน่อย บ้านแบบนี้ สี่ร้อยห้าสิบก็ขายออกแล้ว”

หลังจากซูหม่านซิ่วได้ยินสิ่งนี้ก็ประหลาดใจมาก

ค่าเช่ารายปีหนึ่งร้อยยี่สิบหยวน แต่ถ้าขายก็เพิ่งจะสี่ร้อยเอง เรื่องนี้มันพูดยากจริง ๆ แหละ

เธอคิดว่าข้างบ้านน่าจะหลอกที่เธอไม่รู้จักราคาตลาด เพราะงั้นใบหน้าจึงแดงเล็กน้อย

เฉินจื่ออันมองความคิดภรรยาออก จึงคลี่ยิ้มออกมา “ที่ราคาขายบ้านต่ำเพราะคิดว่าราคาขายออกมันสูงไปหน่อย คนเอื้อมไม่ถึง”

“ลูกเขยพูดถูก เด็ก ๆ ต้องเรียนอีกสี่ห้าปี เงินที่จ่ายไปไม่เท่าซื้อมาไว้เองหรอก มันต้องเป็นของเรา”

คุณย่าซูคิดคำนวณในใจ แล้วตัดสินใจซื้อบ้าน

“หลังจากซื้อมาก็เป็นของเราแล้ว อยู่บ้านเราสบายกว่าอยู่บ้านคนอื่นอีกค่ะ” เสี่ยวเถียนยิ้มหลังจากกินข้าวต้มคำสุดท้าย

“ไอ๊หย่า หลานรักของย่า หนูเขาใจความคิดของย่าด้วย” ผู้เป็นย่ากอดหลานสาวแน่น ปากฉีกยิ้มกว้างจนแทบจะถึงใบหู

“หลานรักเอ้ย เดี๋ยวต้องไปโรงเรียนใช่ไหม? ย่ามาหาลำบาก แถมหลานยังอยู่กับย่าไม่ได้อีกด้วย”

พอคิดว่าจะไม่ได้เจอหลานรัก หัวใจคุณย่าพลันว่างเปล่า

“ชินกับการใช้ชีวิตที่นี่หรือยัง? ถ้าไม่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ ย่าไม่เห็นว่าที่นี่มันจะมีอะไรดีเลย” คุณย่าซูพูดรัวเป็นชุด

เสี่ยวเถียนไม่คิดว่าย่าจะมีแผนเช่นนี้ เธอมองหญิงชราด้วยแววตาใสแจ๋ว มันฉายแววโง่เง่าอยู่แวบหนึ่ง

ย่าคงไม่ได้มาเพื่อให้เธอกลับบ้านไปหรอกใช่ไหม?

ไม่ได้ผลหรอก เธอเพิ่งจะได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เองนะ เธอยังอยากเรียนหาความรู้ให้ได้เยอะ ๆ

“คุณย่า หนูมาเรียนนะ เดี๋ยววันหยุดก็กลับค่ะ! ไม่งั้นรอซื้อบ้านเสร็จ ย่าไม่มาอยู่ที่นี่ล่ะคะ?”

เสี่ยวเถียนคิด และรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดีนะ

หญิงชราแค่พูดส่ง ๆ แต่ไม่คิดว่าหลานสาวได้ฟังจะคิดจริงจัง จึงอดขยี้หัวหลานแรง ๆ ไม่ได้

“เด็กคนนี้ จริง ๆ เลย! ยังคิดว่าย่าเป็นพวกสับสนอยู่หรือไง? ไม่ต้องห่วง ย่าไม่ให้หลานกลับบ้านหรอกน่า!”

ซูเสี่ยวเถียน เด็กคนนี้ชอบอ่านหนังสือมาก ทำไมเธอจะไม่รู้ แล้วจะให้หลานกลับบ้านกลางคันได้อย่างไร?

แต่ถ้าเข้าเมืองมาดูหลานก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องทิ้งตาเฒ่าไว้ที่บ้านเนี่ยสิ จะทำอย่างไรดี?

“หนูรู้แล้วว่าย่าดีที่สุด!” เสี่ยวเถียนยิ้มแล้วกอดแขนของผู้เป็นย่าแน่น

เด็กคนอื่น ๆ พากันเก็บข้าวของเตรียมไปโรงเรียน ทุกคนบอกลาย่าแล้วพาเสี่ยวเถียนออกไป

คุณย่าซูรู้สึกเศร้าที่เห็นหลานสาวจากไปเช่นนี้

ในใจของเธอจึงมีความมุ่งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ ที่จะซื้อบ้านในเมือง และมีใจกลับมาที่นี่เพื่อมาดูแลหลานสาวให้ได้

หญิงชราออกไปพูดคุยที่บ้านผู้เฒ่าหลิวด้วยเรื่องนี้ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายมีแผนจะขายบ้านด้วย ซึ่งราคาขายไม่ต่างไปจากราคาตลาดนัก นั่นก็คือสี่ร้อยห้าสิบหยวน

แต่คุณย่าซูยังรู้สึกว่าราคายังค่อนข้างสูงไปหน่อย

“น้องสาว บอกตามตรง นี่ก็ไม่ใช่บ้านของบรรพบุรุษเราหรอก ไม่งั้นก็คงขายในราคานี้ไม่ได้” ยายหลิวนั่งฝั่งตรงข้ามคุณย่าซู

“พี่สาว พวกเราเป็นครอบครัวชาวนา ทำงานหนักมาหลายปี เงินก็พอมีอยู่แต่มันหนักเกินไป

จริง ๆ”

ยายหลิวมองการแต่งตัวของหญิงชราชาวนาตรงหน้าและเกิดความสงสัยขึ้น สรุปแล้วบ้านนี้มีเงินหรือเปล่า?

ถึงครอบครัวหัวหน้าเฉินจะฐานะดี แต่อีกฝ่ายคงไม่ปล่อยให้ภรรยาเอาเงินไปจุนเจือครอบครัวตัวเองใช่ไหม?

แต่ถ้าปล่อยบ้านไปในราคาต่ำกว่านี้ เกรงว่ามันจะไม่คุ้มค่าเอาน่ะสิ

“พี่สาว ที่บ้านของฉันยังพอมีตั๋วอยู่บ้าง พี่ดูสิ ฉันให้ตั๋วธัญพืช ตั๋วน้ำตาล ตั๋วน้ำมัน ตั๋วอะไรก็ได้ แต่ลดราคาให้ถูกลงกว่านี้หน่อยได้หรือเปล่า?” คุณย่าซูบอกจุดประสงค์ตรง ๆ ออกไป

ที่บ้านมีตั๋วหลายชนิดมาก ใช่ไม่หมดหรอก ถ้าจะใช้คุ้มก็เอาตั๋วมาช่วยลดราคาบางส่วนก็ได้

ยายหลิวประหลาดใจ คิดว่าที่ชนบทคงไม่มีตั๋วใช้เลยขอแค่เงิน แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเสนอตั๋วให้เองเลย

“เธอให้ตั๋วอะไรได้บ้างล่ะ? แล้วมีเท่าไร?” ยายหลิวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย

แม้เงินจะสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตในเมือง แต่ตั๋วก็สำคัญเหมือนกัน

คุณย่าซูหยิบตั๋วต่าง ๆ ออกมาอย่างเงียบ ๆ มีตั๋วธัญพืช ตั๋วผ้า ตั๋วน้ำมัน ตั๋วน้ำตาล มีแม้แต่ตั๋วจักรเย็บผ้าด้วย!

ยายหลิวอ้าปากค้าง

บ้านหลักตระกูลซูไปหาตั๋วเยอะแยะขนาดนี้มาจากไหน?

แต่ตั๋วพวกนั้นมันดึงดูดใจจริง ๆ นั้นแหละ

“พี่สาว อีกอย่างนะ ตั๋วจักรเย็บผ้าอันนี้ ถ้าเป็นตลาดมืดจะได้ราคาไม่น้อยเลย”

คุณย่าซูไม่ได้เมินเฉยต่อความประหลาดใจบนใบหน้านั้น แค่ทำแบบนั้นเพราะเห็นสายตาอีกฝ่ายจ้องมองอยู่

หลานชายของยายหลิวกำลังจะแต่งภรรยา แต่อีกฝ่ายต้องการเครื่องจักรทั้งสามและหนึ่งเครื่องเสียง*[1] แต่เธอหาตั๋วเหล่านี้ไม่ได้เลย

หลังจากดิ้นรนอยู่นานก็หาตั๋วจักรยานมาได้ แต่ตั๋วนาฬิกากับตั๋วจักรเย็บผ้ายังหาไม่ได้

“น้องสาว บ้านเธอก็มีตั๋วนาฬิกาใช่ไหม? ถ้ามีเดี๋ยวฉันลดให้ร้อยหยวนเลยนะ เป็นสามร้อยห้าสิบหยวนเลย คิดว่าไง?”

คุณย่าซูหยิบตั๋วทั้งหมดบนโต๊ะกลับคืนในทันที ก่อนจะผุดลุกขึ้น

ยายหลิวไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ คุณย่าซูจะลุกขึ้นจากไปเช่นนี้

“น้องสาว เธอจะไปแล้วหรือ?”

“พี่สาว พี่คิดว่าเป็นฉันเป็นยายแก่บ้านนอกเลยคิดจะหลอกฉันสินะ?” คุณย่าซูพูดด้วยใบหน้าเย็นชา

“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลยนะ น้องสาว ถ้าเธอคิดว่าฉันพูดอะไรไม่เหมาะสมออกไป พวกเรามาค่อย ๆ คุยกันนะ” ยายหลิวรั้งคุณย่าซูเอาไว้

รั้งคุณย่าซูเอาไว้ ก็เหมือนรั้งตั๋วนั่นแหละ

คุณย่าซูมองยายหลิว และคลี่ยิ้มเย็นชา “ถึงฉันจะไม่ได้อยู่ในเมือง แต่ก็รู้ว่าที่ตลาดมืด ราคาตั๋วจักรเย็บผ้าราคาหกสิบหยวน และตั๋วนาฬิกาเจ็ดสิบหยวน รวมเป็นหนึ่งร้อยสามสิบหยวนนะ”

“บ้านหลังนี้ของพวกคุณปกติราคาไม่เกินสี่ร้อยหยวนอยู่แล้ว พอคำนวณจากตั๋วพวกนี้ที่ฉันให้พี่ ที่พี่คิดมาให้ฉันสองร้อยห้าสิบหยวน แต่ไม่ค่อยน่ายินดีเลย ถ้าให้สองร้อยหกสิบหยวน ฉันก็อาจจะเข้าใจ แต่สามร้อยห้าสิบหยวนเนี่ย…”

ยายหลิวคิดว่าคุณย่าซูเป็นหญิงชราจากชนบท ไม่น่ารู้เยอะ เลยคำนวณเอาในใจ

เธอจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายเจนจัด รู้แม้กระทั่งราคาในตลาดมืด

ยายหลิวรู้แน่นอนว่าต่อให้เป็นราคานี้นตลาดมืด ก็ไม่ง่ายที่จะได้ตั๋วสองใบนี้มา

ไม่งั้นก็คงแก้ปัญหาได้ไปตั้งนานแล้ว

“น้องสาว แต่ราคาที่ว่ามันน้อยเกินไป” ยายหลิวเป็นทุกข์เมื่อคิดถึงจำนวนเงินที่หายไป

“งั้นก็ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียมันก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น” คุณย่าซูยิ้ม “ตั๋วจักรเย็บผ้า ตั๋วนาฬิกา ที่บ้านฉันมีอยู่ กลับไปค่อยไปขายที่ตลาดมืดก็ได้ อาจจะได้มากกว่าหนึ่งร้อยสามสิบหยวนเสียอีก!”

เห็นท่าทางมั่นใจของคุณย่าซู ยายหลิวไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันพูด “น้องสาว ฉันให้สองร้อยแปดสิบหยวนเลยเอ้า! แล้วก็เอาตั๋วนี้ให้ฉัน ให้ตั๋ววิทยุฉันอีกใบ เธอคิดว่าไง?”

คุณย่าซูชั่งใจว่าราคาไม่ต่างกันมาก แต่แกไม่ได้พูดอะไร เธอแสร้งทำเป็นคิดแล้วตอบตกลง

“ราคานี้ถือว่าไม่เลว แต่ของในบ้านทิ้งไว้ให้ฉันใช้ด้วยแล้วกัน”

ยายหลิวคิดว่ามันไม่ได้เป็นของมีค่าจึงตอบตกลง

ยุคนี้การซื้อขายบ้านไม่ลำบากเหมือนยุคหลัง ๆ ทั้งสองครอบครัวต้องทำหนังสือสัญญา จากนั้นก็ทำการยื่นกันที่หน้าบ้านว่าจะยกบ้านหลังนี้ให้เป็นอันจบ

ตอนที่เสี่ยวเถียนเลิกเรียนกลับมา คุณย่าเริ่มเก็บกวาดบ้านแล้ว

โส่วเวินเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อ “ย่า ย่าซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้เลยหรือครับ?”

มันใหญ่กว่าบ้านของอาใหญ่อีก

“ทำไมล่ะ? ไอ้หนุ่ม แกไม่เชื่อหรือไง?” คุณย่าซูพูดอย่างมีความสุขหลังจากจิ้มหัวหลานชายไป

เด็กหนุ่มรีบตอบ “เชื่อครับ ๆ จะไม่เชื่อย่าได้ยังไงล่ะ!”

ซูซื่อเลี่ยงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ลานบ้าน

“บ้านหลังนี้เล็กกว่าบ้านเราที่หงซินอีก”

ผู้เป็นย่าเอ่ยอย่างรังเกียจ “เรียนมาเสียเปล่าจริง ๆ ยายแก่อย่างฉันรู้ย่ะว่าบ้านมันเล็กกว่าบ้านเราเยอะ!”

เขาพูดไม่ออก ก็ตนเองพูดความจริงนี่

เพราะบ้านในเมืองมันเล็ก เขาก็เลยพูดแบบนั้น

“ย่า จากนี้ไปเราจะมาพักที่นี่หรือครับ” ซานกงถาม

เพื่อให้พวกเขาได้เรียนหนังสือ ที่บ้านถึงกับซื้อบ้านให้ คิดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้

เด็กหนุ่มเคยคิดมาก่อนว่า จากนี้เราอาจจะต้องพักที่โรงเรียน

ที่จริงเขาไปดูหอพักในนั้นมาแล้ว แต่สภาพของมันย่ำแย่มาก ๆ คนหลายสิบคนแออัดอยู่ภายในห้องเดียวกัน แทบขยับไปไหนไม่ได้

ไม่คิดเลยว่าย่าจะเข้าเมืองมาซื้อให้โดยเฉพาะ

คุณย่าซูตอบ “ฉันคิดว่าพวกแกเรียนก็จะได้มีโอกาสหางานทำในเมือง มีบ้านสักหลังจะได้มีที่ไว้พักพิงได้”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้แกคงไม่กล้าคิด แต่หลายปีที่ผ่านมา บ้านเราราบรื่นขึ้นเยอะ พวกลูกชายลูกสะใภ้ก็หางานทำในเมือง นับประสาอะไรกับการส่งหลานเรียนจนจบมัธยมปลาย

แต่เสี่ยวเถียนกลับสำรวจทุกหนทุกแห่งด้วยสปิริตแรงสูง

ปกติเธอจะชอบคุยกับพวกต้นไม้ว่าใต้ดินมีของดีบ้างหรือเปล่า

และตอนนี้เธอก็กระตือรือร้นในการล่าสมบัติมาก ๆ

*[1] สามเครื่องจักร ได้แก่ จักรยาน จักรเย็บผ้า และนาฬิกา ส่วนหนึ่งเครื่องเสียงได้แก่ วิทยุ