ตอนที่ 265 ลำดับของข้าเลื่อนขึ้นมาหนึ่งลำดับ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 265 ลำดับของข้าเลื่อนขึ้นมาหนึ่งลำดับ

เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ได้ ก็แปลว่าเขาเห็นด้วยกับวิธีการของหนิวโหย่วเต้ามาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นถึงได้ช่วยเก็บเป็นความลับ

ศิษย์พี่ตบไหล่เขา “ข้าเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องอธิบาย”

เถ้าแก่พานทอดถอนใจอีกครั้ง “เรื่องที่พวกเราจัดการไม่ได้ เขากลับจัดการได้ง่ายๆ…อายุยังน้อย แต่กลับมีความสามารถเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงลงหลักปักฐานในสองจังหวัดได้!”

ศิษย์พี่พยักหน้ารับ “ข้านอนกลางดินกินกลางทรายมาตลอดทาง ทั้งต้องปกปิดร่องรอยไว้ อีกทั้งต้องพร้อมให้ความช่วยเหลือเขาตลอดเวลา ทำเอาพวกเราลำบากอย่างมากจริงๆ เดินทางมานานก็ยังไม่เห็นสถานการณ์ที่เขาว่าไว้จะปรากฏขึ้นมา เริ่มแรกทุกคนล้วนบ่นกันเล็กน้อย สุดท้ายความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการคาดการณ์ของเขาถูกต้อง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาค่อนข้างมีความสามารถจริงๆ แล้วก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเรื่องเหนือความคาดหมายบางอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของเขาเช่นกัน นี่มิใช่เรื่องเลวร้ายเลย กลับเป็นเรื่องดี และหวังว่าเขาจะคุมสถานการณ์เช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ เรื่องราวเกี่ยวพันถึงชีวิตของเหล่าศิษย์ทั้งบนล่างในสำนักเซียนสถิตของพวกเรา หากว่าทำสำเร็จ การสละชีพของศิษย์น้องเฉวียนก็ไม่นับว่าเสียเปล่าแล้ว!”

ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองทั้งสองที่ถูกชายผอมสูงสังหารในทะเลทรายก่อนหน้า มีศิษย์สำนักเซียนสถิตหนึ่งคน

เถ้าแก่พานพยักหน้าเงียบๆ ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ศิษย์พี่ ไปหาเขากันเถอะ เขารอฟังข่าวจากทางพวกเราอยู่”

ทั้งสองออกจากร้านค้า มุ่งตรงไปยังโรงเตี๊ยมทะเลสาบสวรรค์ ยามที่เคาะประตูห้องหนิวโหย่วเต้าแล้วมีคนมาเปิด พวกเขาก็พบว่าหนิวโหย่วเต้าและเฮยหมู่ตานไม่อยู่

เป็นต้วนหู่ที่ต้อนรับพวกเขา บอกว่าหนิวโหย่วเต้าไปกินดื่มสังสรรค์กับลิ่งหูชิวแล้ว ให้พวกเขารอสักครู่

ส่วนเถ้าแก่จั่วของสำนักเมฆาล่องและศิษย์ร่วมสำนักก็ล่วงหน้ามาถึงก่อนแล้ว รออยู่ในห้องเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายสบตากันแล้วยิ้ม ทราบเรื่องบางอย่างอยู่แก่ใจ การที่มาพบกันที่นี่ในเวลานี้ได้ เห็นได้ชัดว่าทางสำนักเมฆาล่องก็มีความคืบหน้าแล้วเช่นกัน

ต้วนหู่เชิญทั้งสองฝ่ายดื่มชา

พวกเขารออยู่เช่นนี้กว่าครึ่งชั่วยาม หนิวโหย่วเต้าและเฮยหมู่ตานถึงจะกลับมา

“เต้าเหยี่ย!” ทุกคนลุกขึ้นยืนพร้อมกัน ต่างเอ่ยทักอย่างสุภาพ ดูให้ความเคารพขึ้นไม่น้อย

บางสิ่งบางอย่าง ข้อเท็จจริงสำคัญกว่าทุกสิ่ง หากแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาได้ เช่นนั้นก็ย่อมได้รับความเคารพที่สมควรได้กลับมา

เฮยหมู่ตานเลื่อนเก้าอี้มาวางไว้ด้านหลังหนิวโหย่วเต้า หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญให้ทุกคนนั่งลง ส่วนตัวเองก็นั่งลงอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เคยชินกับการปรนนิบัติของเฮยหมู่ตานแล้ว

“มีความคืบหน้าหรือยัง?” หนิวโหย่วเต้าถาม

“มีขอรับ” เถ้าแก่พานและเถ้าแก่จั่วตอบพร้อมกัน ทั้งสองผงะไปเล็กน้อย สบตากัน จากนั้นต่างฝ่ายต่างผายมือเชิญอีกฝ่าย “ท่านเชิญก่อน ท่านเชิญก่อน…”

“ไม่ต้องรีบ เอาทีละคน” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปที่เถ้าแก่พาน “เจ้าเล่าเรื่องคนที่ปลอมตัวเป็นเจ้าคนนั้นมาก่อน”

ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงทยอยบอกเล่าข้อมูลออกมา

คนที่ปลอมตัวเป็นเถ้าแก่พานมีชื่อจริงว่าเย่ซานหลาง ส่วนคนที่ได้รับการไต่สวนจากสำนักเมฆาล่องมีนามว่าตานฉางเฉิง ยังมีอีกสองคนที่ตายไปแล้ว ทั้งสี่เป็นลูกน้องของจั๋วเชา ภายนอกแต่ละคนล้วนมีฐานะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก ทว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นคนของ ‘หอจันทร์กระจ่าง’ ที่เป็นองค์กรมือสังหารที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในโลกบำเพ็ญเพียร

ทั้งสองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดต้องเอาชีวิตหนิวโหย่วเต้า แต่พวกเขาล้วนรับคำสั่งจากจั๋วเชา ส่วนจะเป็นใบสั่งเอาชีวิตจากผู้ใดนั้น ตามกฎขององค์กรแล้ว จั๋วเชาก็ไม่มีทางบอกพวกเขาเช่นกัน พวกเขาเองก็ไปสอบถามไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทราบ

ส่วนภายใน ‘หอจันทร์กระจ่าง’ มีจำนวนสมาชิกอยู่มากน้อยเท่าไร พวกเขาไม่รู้เลยสักนิด ภายในองค์กรก็ไม่มีทางให้พวกเขาได้ทราบเรื่องนี้

ตอนนี้พวกเขาทราบเพียงว่าจั๋วเชามีลูกน้องอยู่ในมือหกคน รวมจั๋วเชาเข้าไปด้วยเป็นเจ็ดคน ตอนนี้คนที่พลาดท่ามีแค่พวกเขาห้าคน

ตามปกติแล้วพวกเขาทั้งหกล้วนไม่ทราบว่าอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ที่ใด กระทั่งคนอื่นๆ มีนามว่าอะไรก็ยังไม่ทราบเลย ปกติแล้วจะเรียกขานกันด้วยรหัสประจำตัว แต่ละคนล้วนติดต่อกันผ่านทางจั๋วเชาคนเดียว ตามปกติแล้วได้พบกันน้อยยิ่ง ล้วนต้องมีภารกิจถึงจะมีโอกาสได้พบกัน เมื่อภารกิจสิ้นสุดลง แต่ละคนก็จะแยกย้ายกันไปเงียบๆ ครั้งนี้ก็เป็นเพราะจั๋วเชาเรียกรวมตัว พวกเขาถึงได้มารวมตัวกัน

ประกอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปฏิบัติการครั้งนี้ ข้อมูลที่ทั้งสองฝั่งสารภาพมาส่วนใหญ่ก็มีเพียงเท่านี้ คำสารภาพส่วนใหญ่ของทั้งสองคนตรงกัน

หลังฟังรายงานจากทั้งสองจบ หนิวโหย่วเต้าก็เงียบไปพักใหญ่ สุดท้ายเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาว่า “พูดอีกอย่างก็คือทั้งสองคนทราบถึงข้อมูลภายในของหอจันทร์กระจ่างไม่มากนัก เผลอๆ อาจจะไม่รู้อะไรเลย”

เถ้าแก่พานกล่าวว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลขอรับ อิทธิพลของหอจันทร์กระจ่างแพร่กระจายอยู่ในทุกแคว้น ทำงานด้านมืดบางอย่างที่เปิดเผยไม่ได้ ย่อมมีกำลังคนไม่น้อยแน่นอน หากไม่เก็บความลับเอาไว้ให้ดี ปล่อยให้ความลับรั่วไหลออกไปง่ายๆ หากใครๆ พากันล่วงรู้ข้อมูลภายในหอจันทร์กระจ่างอย่างทะลุปรุโปร่งได้ องค์กรมือสังหารนี้คงไม่มีทางลึกลับถึงขนาดนี้ได้ขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับเงียบๆ ถามอีกครั้ง;jk “เจ็ดคน ถูกจับได้แค่ห้าคน แล้วอีกสองคนทำอะไรอยู่ พวกเขาไม่รู้เลยหรือ?”

เถ้าแก่จั่วตอบว่า “เขาบอกว่าแต่ละคนแบ่งงานกันทำ ตามกฎขององค์กรแล้ว มีแต่ต้องปฏิบัติภารกิจของตนให้สำเร็จ ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปสอบถามคนอื่นหรือสอบถามภารกิจของกันและกัน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกสองคนที่เหลือได้มาที่หอไร้ขอบเขตด้วยหรือไม่”

เถ้าแก่พานพยักหน้าเช่นกัน สื่อว่าทางเขาก็ว่ามาเช่นนี้

หนิวโหย่วเต้าเงียบไป เขายังอยากจะสอบถามดูว่าภารกิจมีส่วนเกี่ยวข้องกับลิ่งหูชิวหรือไม่ อย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่ลิ่งหูชิวถูกล่อออกไป แต่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะหมดหนทางตรวจสอบหาคำตอบนี้ได้

ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว เขานึกเสียดายเล็กน้อยที่สังหารจั๋วเชาไป จั๋วเชาเป็นหัวหน้าของคนพวกนี้ น่าจะรู้ข้อมูลมากกว่าคนเหล่านี้

เขาอยากรู้ว่า ‘ญาติผู้พี่’ ที่เฉินกุยซั่วแจ้งมาในรายงานคนนั้น คนที่เซ่าผิงปอเรียกว่า ‘พี่จ้าว’ คนนั้น เป็นใครกันแน่

อันที่จริงต่อให้เฉินกุยซั่วไม่ได้ส่งจดหมายรายงานฉบับนั้นมา เขาก็ได้ให้ทางซางเฉาจงลอบส่งคนไปตรวจสอบเครือข่ายความสัมพันธ์ของเซ่าผิงปออย่างลับๆ แล้ว

พอได้รับข่าวจากเฉินกุยซั่ว เขาย่อมต้องเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบขึ้นไปอีก

ทว่าก็สืบไม่พบข้อมูลที่เป็นประโยชน์อันใดเลย เรื่องที่สืบมาได้แทบจะไม่ต่างไปจากที่ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงทราบเลย

ในอดีตเซ่าเติงอวิ๋นคนนั้นเคยเป็นแม่ทัพใต้บัญชาของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว ไม่มีทางที่ซางเจี้ยนปั๋วจะไม่สนใจสถานการณ์ทางบ้านของแม่ทัพคนสำคัญ พี่น้องของเซ่าเติงอวิ๋นสิ้นชีพในสงครามไปนานแล้ว เดิมทีเซ่าเติงอวิ๋นคล้ายจะมีพี่สาวคนหนึ่ง ได้ยินว่าจากโลกไปนานแล้วเช่นกัน ไม่เคยได้ยินว่าเซ่าผิงปอยังมีลูกพี่ลูกน้องอันใดอีก

จากข้อมูลที่ทราบมา หากจะกล่าวว่ามี ก็คงเป็นทางฝั่งของอนุหร่วนแล้ว เพียงแต่ทางตระกูลของอนุหร่วนดูเหมือนจะถูกสังหารล้างตระกูลไปหมดแล้ว เมื่อพวกอนุหร่วนแม่ลูกตายไปอีก ตระกูลหร่วนก็เรียกได้ว่าตายจนหมดเกลี้ยง ตามหลักแล้วต่อให้ทางอนุหร่วนมีญาติ พวกเขาก็ไม่มีทางให้ความช่วยเหลือเซ่าผิงปอได้ หากว่าอนุหร่วนมีเครือญาติที่เก่งกาจปานนี้จริง เซ่าผิงปอไหนเลยจะกล้าลงมือกับอนุหร่วนส่งเดชได้?

เนื่องจากสงครามวุ่นวาย เบาะแสหลายอย่างล้วนถูกตัดขาด คิดจะสืบค้นออกมาก็เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีหวัง

แต่ในเวลานั้นเขาเองก็จนปัญญาเช่นกัน พลังของของจั๋วเชาช่างน่ากลัวเป็นอย่างมาก หากไม่คว้าโอกาสไว้แล้วลงมือให้เด็ดขาด คงไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น

หลังจากเงียบอยู่นาน เขาก็เอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาอีกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้ากลับไปค่อยๆ ไต่สวนพวกเขาอีก ไม่แน่ว่าต้องเป็นเรื่องในครั้งนี้เพียงอย่างเดียว ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยทำภารกิจอะไรมาบ้าง เคยพบอะไรมาบ้าง ให้พวกเขาพูดออกมาให้หมด รู้ข้อมูลให้มากเข้าไว้ไม่มีอะไรเสียหาย”

“ขอรับ!” ทั้งสองฝั่งตอบรับ

เมื่อทั้งสองกลุ่มจากไป ภายในห้องไม่มีใครอื่นแล้ว หนิวโหย่วเต้าเดินกลับไปกลับมาในห้อง คิ้วขมวดแน่น ปากพึมพำประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา “หอจันทร์กระจ่าง…หอจันทร์กระจ่าง..”

เขาเคยได้ยินชื่อหอจันทร์กระจ่างมาก่อน เคยอ่านพบในบันทึกของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขาถึงขนาดสงสัยว่าตนเองจะเคยประมือกับคนของหอจันทร์กระจ่างที่เขาข้ามเมฆามาก่อน

เพียงแต่นึกไม่ถึงเลยว่าองค์กรลึกลับเช่นนี้จะออกหน้าให้เซ่าผิงปอ

แต่นี่ก็เป็นการยืนยันการคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ที่ว่ามีกลุ่มอิทธิพลลึกลับคอยให้ความช่วยเหลือเซ่าผิงปออยู่ อีกทั้งไม่ออกหน้าช่วยเซ่าผิงปออย่างเปิดเผยด้วย ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้รู้สึกว่ามันลึกลับ ตอนนี้ดูเหมือนจะได้รับคำตอบแล้ว ลักษณะการทำงานของหอจันทร์กระจ่างได้เป็นตัวกำหนดไว้แล้วว่าองค์กรไม่อาจเผยตัวได้ง่ายๆ

เขาพอจะนึกภาพออกเลย อาศัยเพียงเรื่องที่ซ่งซูและเฉินกุยซั่วเคยพบ ‘ญาติผู้พี่’ คนนั้น ตามกฎของหอจันทร์กระจ่างแล้ว พวกเขาจะต้องฆ่าปิดปากทั้งสองคนแน่นอน ที่ตอนนี้พวกเขายังไม่แตะต้องทั้งสองคน เป็นเพราะทั้งสองคนยังได้รับความไว้วางใจจากเซ่าผิงปออยู่ หากทั้งสองแสดงท่าทีผิดปกติใดๆ เพียงเล็กน้อย พวกเขาย่อมต้องตายสถานเดียว

เขาค่อนข้างปวดหัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับองค์กรเช่นนี้ เนื่องจากเขารู้ดีว่าปกติแล้วโครงสร้างขององค์กรเช่นนี้จะแตกต่างจากสำนักเหล่านั้น หากจับตัวได้สักคนทั้งสำนักก็หนีไม่รอดแล้ว แต่องค์กรมือสังหารเช่นนี้ต่อให้เจ้าทำลายโครงสร้างส่วนหนึ่งไป มันก็จะเสียหายไปเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ยากจะทำลายและโจมตีทั้งองค์กรได้

หากไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากจะเป็นศัตรูกับกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ที่แอบซ่อนตัวอยู่ในที่ลับเช่นนี้เลย

เฮยหมู่ตานที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยอย่างกังวลเช่นกัน “เต้าเหยี่ย หอจันทร์กระจ่างน่ากลัวยิ่ง หนนี้ไปล่วงเกินพวกเขาเข้าแล้ว เกรงว่าพวกเราคงเดือดร้อนหนักแล้วเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าหยุดอยู่ข้างกายนางแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้ากลับไม่คิดเลยว่าหอจันทร์กระจ่างต้องการกำจัดข้า หากหอจันทร์กระจ่างต้องการลงมือจริงๆ พวกเรามาไม่ถึงที่นี่หรอก ลิ่งหูชิวก็จะไม่ปกป้องข้าด้วย เซ่าผิงปอเองก็ไม่มีอิทธิพลมากพอจะชี้นำหอจันทร์กระจ่างได้ มิเช่นนั้นด้วยจิตมุ่งสังหารที่เซ่าผิงปอมีต่อข้าแล้ว ข้าคงทำได้เพียงหลบหนีเอาชีวิตรอดไปตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะซ่อนตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ในพื้นที่ของสองจังหวัดอย่างสงบได้”

“เช่นนั้นคนของหอจันทร์กระจ่างเหล่านี้ทำไมถึงคิดจะกำจัดท่านล่ะเจ้าคะ?” เฮยหมู่ตานฉงน

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ตอบ เรื่องราวเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย ทำให้คนมองไม่กระจ่าง เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกัน ดูแล้วไม่คล้ายว่าหอจันทร์กระจ่างต้องการลงมือกับเขา บางทีอาจจะมีสาเหตุมาจาก ‘ญาติผู้พี่’ คนนั้น แต่เขาก็นึกภาพไม่ออกเลยว่า ‘ญาติผู้พี่’ คนนั้นลงมือทำเช่นนี้ องค์กรอย่างหอจันทร์กระจ่างไม่ทราบเรื่องเลยหรือ หากไม่ทราบเรื่องจริงๆ เช่นนั้นองค์กรมือสังหารนี้ก็ไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว หรือถ้าหากทราบแล้วไม่ขัดขวาง แบบนี้มันหมายความว่าอะไร?

ตามหลักแล้วขอเพียงไม่ล่วงเกินบุคคลระดับสูงในองค์กร หรือคุกคามถึงผลประโยชน์ขององค์กรนี้ องค์กรมือสังหารเช่นนี้ย่อมไม่มีคำว่าความแค้นส่วนตัว

สรุปคือความเข้าใจที่ตนมีต่อองค์กรมือสังหารนี้ยังน้อยเกินไป บางทีอาจมีเพียงเซ่าผิงปอ ญาติผู้พี่คนนั้นและหอจันทร์กระจ่างเท่านั้นที่รู้ความจริงของเรื่องราวนี้ดีที่สุด

เพียงแต่เขาก็พอจะเข้าใจเล็กน้อยแล้ว หากว่าหอจันท์กระจ่างต้องการจัดการตนจริงๆ เช่นนั้นตนก็ไม่สามารถหลบซ่อนตัวได้!

พอเข้าใจในจุดนี้แล้ว หนิวโหย่วเต้าก็แค่นหัวเราะเล็กน้อย “จะมาก็มาเถอะ ข้ารอรับมืออยู่!”

…..

ณ จังหวัดชิงซาน เมืองรอบนอกตัวจังหวัดได้ขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง

ณ จวนผู้ว่าการจังหวัด นอกโถงองอาจ เสียงขององครักษ์แว่วขึ้นมา “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงที่กำลังหารืออะไรบางอย่างอยู่หน้าแผนที่เงยหน้ามองไปตามเสียง ก่อนจะเห็นไป๋เหยาที่ยืนอยู่หน้าประตู

โถงองอาจเป็นสถานที่สำคัญสำหรับวางแผนเรื่องกลศึก ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาทั้งสิ้น แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในยามนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าองครักษ์ไม่อาจขวางไป๋เหยาไว้ได้

ซางเฉาจงโบกมือ สื่อให้องครักษ์ถอยออกไป ไป๋เหยาเดินเข้ามา เขาและหลานรั่วถิงก็รีบเดินเข้าไปหา ประสานมือทักทาย “ฝ่าซือมีธุระใดหรือ?”

ไป๋เหยาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ลำดับบนทำเนียบโอสถมีการเปลี่ยนแปลง!”

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงมองหน้ากัน ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร ทำเนียบโอสถจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกข้า เจ้าบุกเข้ามาในสถานที่สำคัญด้านการทหารเพื่อพูดเรื่องนี้น่ะหรือ?

หลานรั่วถิงเอ่ยถาม “หรือว่าลำดับชื่อของฝ่าซือจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย?”

ไป๋เหยาเอ่ยอย่างเฉยเมย “มีความเปลี่ยนแปลงจริงๆ ลำดับของข้าเลื่อนขึ้นมาหนึ่งลำดับ!”

บุกเข้ามาในโถงองอาจเพราะเรื่องนี้หรือ? หลานรั่วถิงและซางเฉาจงพูดไม่ออก รู้สึกว่าคนผู้นี้คงไม่คิดอะไรตื้นๆ เช่นนี้กระมัง เพียงแต่ทั้งสองยังคงประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วยๆ!”

ไป๋เหยากลับกล่าวว่า “ไม่มีอะไรน่ายินดี ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ลำดับกลับเลื่อนขึ้นมาหนึ่งลำดับ”

………………………………………………………..