ภาคที่ 5 ตอนที่ 72 ทำอันใดไม่ได้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ในตำหนักข้างเสียงร่ำไห้ของสตรีและเด็กน้อยดังขึ้น

ในวังเกิดเรื่องใหญ่แช่นนี้ขึ้น กำลังพลของทหารองครักษ์เคลื่อนไหว ย่อมปิดบังบรรดาพระสนมทั้งหลายไม่อยู่

ฮองเฮาพาพระสนมทั้งหลายเร่งมาถึงก็ตกใจจนเป็นลมไปแถบใหญ่ในสถานที่เกิดเหตุ

ส่วนไทเฮาด้านนั้นกลับไม่ได้มาเลย ขุนนางหลายคนสังเกตถึงความแปลกจึงพาทหารองครักษ์เดินทางไปดู พบว่าไทเฮาถูกขันทีหลายคนขังไว้ รอพวกเขาเข้าไปจัดการขันที ไทเฮาก็ตกพระทัยประชวรพระวาโยหมดสติไปแล้ว

ในวังวุ่นวายชุลมุน

แต่สถานที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นฮ่องเต้ฝั่งนี้

เหล่านางสนมที่ร่ำไห้จะเป็นจะตาย ถูกเหล่าขุนนางกล่อมว่าอย่ารบกวนหมอหลวงตรวจโรคถึงเก็บอาการไปบ้าง

เสียงฝีเท้าวุ่นวายควบคู่กับเสียงพลิกหนังสือพรึบพรับทำให้ในห้องที่เดิมทีอึดอัดยิ่งหายใจไม่ออก

“อยู่ตรงนี้”

ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

ได้ยินคำนี้ เหล่าขุนนางสีหน้าแตกต่างกันไปที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันแห่มา

หมอหลวงคนหนึ่งประคองสมุดที่เก่าแล้วเล่มหนึ่ง

“ดู ตอนนั้นเคยบันทึกอาการยามรัชทายาทประชวรไว้” เขาเอ่ยอย่างยินดี

ในที่สุดก็หาพบแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ได้มีสิ่งใดน่ายินดี หมอหลวงรีบเก็บสีหน้า

ขุนนางทั้งหลายไม่มีกะจิตกะใจสนใจความรู้สึกเขา หนิงเหยียนรับสมุดมา คนอื่นก็ล้อมเข้ามาตั้งใจดู

อดีตองค์รัชทายาทประสูติออกมาก็ถูกวินิจฉัยว่าร่างกายอ่อนแอยากจะมีชีวิตรอด นับแต่นาทีนั้นบันทึกการรักษาเกี่ยวกับเขาก็ไม่เคยหยุด

เพียงแต่ยามฉีอ๋องขึ้นครองราชย์เก็บปิดผนึกไว้ หมอหลวงทั้งหลายที่รับผิดชอบองค์รัชทายาทตอนนั้นก็เพราะองค์รัชยาทสิ้นพระชนม์ที่ลาออกก็ลาออกที่ลดขั้นก็ลดขั้น ลำบากนักกว่าจะหาบันทึกการรักษาที่เหลืออยู่พบ

ในนั้นบันทึกอาการยามโรคกำเริบเมื่อครั้งอดีตองค์รัชทายาทยังเล็กไว้จริงๆ

ทุกคนดูไปพลางก็อดไม่ได้มองไปยังฮ่องเต้ที่นอนอยู่บนเตียงด้านในเปรียบเทียบไปพลาง

“ตรงนี้ก็มี” หมอหลวงอีกคนหนึ่งหอบหนังสือเล่มหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “นี่เป็นบันทึกที่หมอเทดาจางพูดถึงโรคของอดีตองค์รัชทาทยาท”

มีขุนนางรีบรับมาทันที ทุกคนล้อมเขาไว้ในทันใด

“โรคลมสวรรค์ชื่อนี้ตอนนั้นหมอเทวดาจางเป็นคนเอ่ยขึ้น” ขุนนางคนนั้นอ่านไปพลางพยักหน้าเอ่ยไปพลาง ท่าทางหดหู่อยู่บ้าง “บอกว่า ไร้ทางแก้”

หมอหลวงทั้งหลายที่ล้อมรอบแท่นบรรทมตรวจโรคอยู่เวลานี้ก็เดินเข้ามาสีหน้าวิตกเช่นกัน

“พระสติของฝ่าบาทแจ่มชัด บนพระวรกายนอกจากรอยบีบของใต้เท้าหนิงก็ไม่มีอาการบาดเจ็บอื่นใด เพียงแค่อาการชาเท่านั้น” หมอหลวงคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น

คำนี้ทำให้ทุกคนอดไม่ได้มองไปทางหนิงอวิ๋นเจา

รอยบีบนี่ยังแปลกมากอยู่…

ตามบันทึกที่มีมา ยามอดีตองค์รัชทายาทโรคลมสวรรค์กำเริบจะแข็งเกร็งไม่อาจหายใจ เวลานี้จะบีบคอได้อย่างไร นี่ไม่ใช่จะเอาชีวิตหรือ?

“นี่ ตรงนี้มีบันทึกอยู่” ขุนนางคนหนึ่งฉับพลันตะโกน ชี้สมุดในมือ “หมอเทวดาจางบอกว่าหากองค์รัชทายาทโรคลมสวรรค์กำเริบ บีบพระศอจะรักษาลมหายใจเฮือกหนึ่งไว้ได้…”

เคยพูดจริงหรือ?

นี่เหตุผลอันใดกัน?

ทุกคนมองไปตามที่ขุนนางคนนี้ชี้ บนนั้นบันทึกคำพูดพร่ำของหมอเทวดาจางไว้ แต่ความหมายโดยรวมก็เป็นหลักการประมาณใช้พิษต้านพิษ

เช่นนี้เอง…

วิธีรักษาโรคที่แปลกประหลาดมากมายไป ก็ไม่อาจตัดสินผิดถูกดำขาวได้

ถ้าเช่นนั้นนี่เป็นโรคจริงหรือ?

แววตาของขุนนางทั้งหลายซับซ้อนยิ่งขึ้น

“ฝ่าบาทถึงกับเหมือนกัน..” มีคนเอ่ยขึ้น “ทำไมก่อนหน้านี้วี่แววสักนิดก็ไม่ปรากฏเล่า?”

“โรคบางอย่างเป็นโรคซ่อนเร้นจริงๆ” มีบางคนพยักหน้าเอ่ย “ฉากหน้ามองไม่เห็น”

“ใช่แล้ว ฝ่าบาทกับอดีตองค์รัชทายาทเป็นพี่น้องแท้ๆ … สายเลือดนี่เหมือนกัน…” มีคนมากกว่าเดิมเอ่ยขึ้น เอ่ยถึงตรงนี้ก็ตกใจอีก “โอ้ ถ้าเช่นนั้นรีบตรวจองค์ชายกับท่านอ๋องทั้งหลายสักหน่อย ไม่ให้พวกเขา…”

คำนี้เอ่ยออกมาเหล่าพระสนมที่เดิมทีร้องไห้เสียงเบาอยู่ฉับพลันตกใจมาก โดยเฉพาะสนมที่มีลูกร้องโหวกเหวกขึ้นมาทันที เร่งหมอหลวงให้ตรวจลูกๆ ของตนเอง

ในตำหนักวุ่นวายขึ้นมาอีกหน

แต่บรรยากาศกลับไม่ร้อนรนหนักอึ้งเหมือนก่อนหน้านี้

นี่เพราะยืนยันแล้วว่าไม่ใช่กบฏวังหลวง แต่เหตุเพราะโรค

แต่ตอนนี้ย่อมไม่ใช่เวลาถกว่าท่านอ๋องและองค์ชายคนอื่นมีโรคชนิดนี้ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่

ขุนนางหลายคนปลอบกล่อมอย่างเคร่งขรึมครู่หนี่งให้พระสนมทั้งหลายตกลงว่าอีกสักพักค่อยไปตรวจองค์ชายกับองค์หญิงทั้งหลาย

เหล่าขุนนางมองไปข้างเตียงอีกครั้ง หลังเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ทราบว่าใครร้องไห้ออกมาคนแรก

“ฝ่าบาท!”

จากนั้นขุนนางทั้งหมดล้วนคุกเข่าลงข้างแท่นบรรทมของฮ่องเต้ สีหน้าโศกเศร้าเจ็บปวด

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาโศกเศร้า” หนิงเหยียนเอ่ยเสียงเข้ม

ขุนนางทั้งหลายที่ร้องไห้อยู่พลันเก็บน้ำตาไปอีกหน สีหน้าปั้นยากมองไปยังฮ่องเต้บนแท่นบรรทม

ใช่แล้ว ตอนนี้มีเรื่องมากเหลือเกินต้องทำ

“คุณหนูจวิน” หนิงเหยียนมองไปหาคุณหนูจวิน

ตั้งแต่เข้ามาในตำหนักข้างหลังนี้ คุณหนูจวินยืนนิ่งสงบอยู่ในมุมมาตลอด

ได้ยินเสียงของหนิงเหยียน นางก็มองมา

“คุณหนูจวินวิชาแพทย์สูงส่ง ในเมื่อรักษาชีวิตฝ่าบาทยามโรคกำเริบได้ ถ้าเช่นนั้นรักษาได้หรือไม่?” หนิงเหยียนเอ่ย

ถูกต้อง ถูกต้อง ฮองเฮาและพระสนมทั้งหลายรวมถึงขุนนางคนอื่นก็ล้วนมองมาเช่นกัน

ต่อให้รักษาไม่หาย ต่อให้เป็นอัมพาตไป ขอแค่พูดได้ก็พอ

คุณหนูจวินมองไปบนแท่นบรรทม

“ข้าวิชาแพทย์สูงส่ง รักษาโรคยากอาการซับซ้อนโดยเฉพาะ” นางเอ่ยพลางส่ายศีรษะช้าๆ “แต่นี่คือโรคลมสวรรค์”

“โรคลมสวรรค์ก็เป็นโรคนี่” ขุนนางคนหนึ่งรีบเอ่ย

คุณหนูจวินมองไปหาเขาอีก

“โรคลมสวรรค์เป็นโรค แต่เป็นโรคที่สวรรค์ลิขิตมา” นางเอ่ยขึ้น

“โรคที่สวรรค์ลิขิตอันใด?”

“นั่นแล้วอย่างไร?” ขุนนางอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย

“นั่นเป็นสวรรค์ลิขิต สวรรค์ต้องการให้คนผู้นี้เป็นเช่นนี้ คนยังเปลี่ยนแปลงอันใดได้อีก?” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ

ขุนนางหลายคนมองหนังสือที่ยังถืออยู่ในมือ

“ดู ตอนนั้นหมอเทวดาจางก็บอกว่าลิขิตสวรรค์ยากฝืน” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา

ลิขิตสวรรค์ยากฝืนอันใด

พูดตรงๆ ก็คือรักษาไม่ได้น่ะสิ

แต่ก็กลัวทำลายชื่อเสียงหมอเทวดาของตนเอง คำพูดคำจาจึงงมงายอยู่บ้าง

ขุนนางทั้งหลายดูถูกนิดๆ พระสนมทั้งหลายเสียความหวังสายสุดท้ายไปจึงร่ำไห้โหยหวนอีกครั้ง

“โรคมาดุจเขาล้ม ในเมื่อฝ่าบาทรักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่แน่ว่าอาจดีขึ้นได้ หมอหลวงทั้งหลายครุ่นคิดสูตรยารักษาฝ่าบาท” หนิงเหยียนเอ่ยขึ้น ไม่ตั้งคำถามคุณหนูจวินอีก สายตามองไปยังขุนนางที่เหลือ สีหน้ายิ่งเคร่งขรึม “ถ้าเช่นนั้นต่อไปเรื่องราชสำนัก…”

ในที่สุดก็พูดถึงตรงนี้แล้ว

ขุนนางทั้งหลายที่นั่นสีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึมเช่นกัน พระสนมทั้งหลายก็เงี่ยหูด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสนมทั้งหลายที่ให้กำเนิดองค์ชาย

ไม่ว่าก่อนหน้านี้วุ่นวายอย่างไร ฮ่องเต้ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนนอนนิ่งสงบอยู่บนแท่นบรรทม บางครั้งส่งเสียงแคกแคกออกมาจากพระโอษฐ์ แม้แสดงให้เห็นพระสติของพระองค์ แต่ทุกคนลองหลายครั้งก็ยังยอมแพ้กับการสื่อสาร

โอษฐ์ไม่อาจตรัส วรกายไม่อาจขยับ ต่อให้พระสติแจ่มชัดก็ไม่อาจแสดงความในใจของตนให้ชัดได้ คนผู้นี้กลายเป็นคนพิการอย่างสมบูรณ์แล้ว

คนเช่นนี้ไม่อาจเป็นเจ้าแผ่นดินได้อีกต่อไป

แคว้นไม่อาจไม่มีเจ้าแผ่นดินแม้แต่วันเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้

ถ้าเช่นนั้น องค์ชายพระองค์ไหนจะขึ้นครองบัลลังก์ล่ะ?

ถ้าเช่นนั้นก็ตามธรรมเนียม ลูกคนโต…

“เกี่ยวกับองค์รัชทายาท”

เสียงของหนิงอวิ๋นเจาที่เงียบงันไปเนิ่นนานนักนับแต่เข้ามาในห้องดังขึ้นอีกครั้ง

“ฝ่าบาทจัดการไว้แล้ว”

คำนี้ทำให้คนทั้งหมดมองไป

หนิงอวิ๋นเจากางราชโองการออกเบื้องหน้าร่าง

“ฝ่าบาทตัดสินพระทัยแต่งตั้งไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาท” เขาเอ่ยเคร่งขรึม

ไหวอ๋อง..!

ในตำหนักฉับพลันฮือฮา

พระสนมทั้งหลายร้องเสียงแหลม ฮองเฮายิ่งลุกขึ้นยืน

“ทำไม ทำไมไม่แต่งตั้งลูกของข้า?” นางตรัสเสียงสั่น ชั่วขณะที่ร้อนรนโพล่งสำเนียงท้องถิ่นและคำพูดภาษาชาวบ้านออกมา

ใช่แล้ว ทำไมไม่แต่งตั้งโอรสของฮ่องเต้ แต่เป็นไหวอ๋อง?

เพราะคุณหนูจวินขอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งไวอ๋องเป็นองค์รัชทายาทหรือ?

นี่ก็บังเอิญเกินไปไหม?

บังเอิญจนคนหาเหตุผลไม่ได้

อย่างไรก็ต้องมีเหตุผลสักประการกระมัง

สายตาของคนทั้งหมดมองไปทางหนิงอวิ๋นเจา

“ข้าไม่รู้ว่าฝ่าบาททำไมทำเช่นนี้” หนิงอวิ๋นเจากลับไม่ตอบ แต่สีหน้านิ่งสงบส่ายศีรษะ “พวกท่านต้องการถามก็ได้แต่ถามฝ่าบาท”

คนทั้งตำหนักนับถือ

ฮองเฮายิ่งพิโรธ

ฝ่าบาทตอนนี้เป็นเช่นนี้แล้วยังถามอันใดออกมาได้อีก!

นอกจากนี้นางเชื่อว่าฝ่าบาทไม่มีทางเขียนราชโองการเช่นนี้เด็ดขาด!

ใต้หล้าไหนเลยมีคนที่ไม่รักลูกชายลูกสาวของตนเอง ต้องการส่งต่อมรดกให้ผู้อื่น นี่เป็นหลักการที่ผู้เฒ่าชนบทล้วนรู้

“เจ้า ราชโองการนี่ของเจ้าเป็นของปลอม…” นางอดไม่ได้ตะโกนเสียงแหลม

สิ้นเสียง หนิงอวิ๋นเจาที่เดิมทีสีหน้าอ่อนโยนพลันเปลี่ยนสีหน้า คนก็ก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง

“นี่ฮองเฮาจะตรัสว่ากระหม่อมปลอมราชโองการหรือ? กระหม่อม ตั้งแต่เล็กร่ำเรียนเดินตามรอยนักปราชญ์ เคารพฟ้าดินนายเหนือหัวบุพการีอาจารย์ แล้วยังสอบได้จอหงวน รู้กระจ่างกฎบ้านกฎเมือง หากไม่ใช่ฝ่าบาทสั่ง กระหม่อมจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?” เขาขึ้นเสียงตวาด “เรื่องที่ขัดวิธีนักปราชญ์ มารยาทระหว่างเจ้าแผ่นดินกับขุนนางเช่นนี้ กระหม่อมไหนเลยจะทำได้!”

เขาพูดพลางมือหนึ่งชูราชโองการ มือหนึ่งชี้ท้องฟ้า เสียงสะท้อนก้องในตำหนัก สะเทือนหูสองข้างของผู้คนดังวิ้งๆ

“บัณฑิตสังหารได้ดูหมิ่นไม่ได้ หากกระหม่อมหนิงฉางมีคำลวงแม้ครึ่งคำ ขอสวรรค์ลงทัณฑ์ห้าอสนีบาตฟาด”

หนิงอวิ๋นเจาตลอดมาท่วงท่าสุขุมวาจาอ่อนโยนเปี่ยมมารยาท นี่เป็นครั้งแรกที่มีท่าทางและวาจาเช่นนี้

ผู้คนในตำหนักอดไม่ได้ถูกทำให้ตกใจสะดุ้งโหยง

ฮองเฮาไม่เคยสนทนาปราศรัยกับขุนนางใหญ่เหล่านี้ เวลานี้ถูกวาจายาวเป็นพรวนที่ฟังไม่เข้าใจแต่ปรากฏคำว่านักปราชญ์สองคำไม่ขาดนี่ทำให้จิตใจลนลานความคิดว้าวุ่น ถอยก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว สักประโยคก็ไม่ตรัสออกมา

หนิงอวิ๋นเจาไม่ให้โอกาสทุกคนพูด แต่ก็ไม่ได้บีบคั้นบังคับคนเช่นกัน

“ราชโองการฉบับนี้ฝ่าบาทมอบให้กระหม่อมยามโรคกำเริบ ฝ่าบาทคิดอย่างไร เขียนเสร็จเมื่อไร กระหม่อมไม่รู้ทั้งสิ้น” เขาสีหน้าเคร่งขรึมน้ำเสียงนิ่งสงบ “กระหม่อมก็ทราบว่าเวลานี้เอาราชโองการฉบับนี้ออกมาจะต้องพบกับคำวิพากษ์วิจารณ์ แต่ในฐานะขุนนางกระหม่อมภักดีต่อนายเหนือหัว ต่อให้ถูกมองว่าชั่วช้าปลอมราชโองการ กระหม่อมก็ไม่หวั่น”

พระสนมทั้งหลายเผชิญการโต้ตอบของขุนนางเป็นครั้งแรกก็ตกใจจนลืมร้องไห้แล้ว แม้ฟังไม่เข้าใจ แต่รู้สึกว่าท่าทางนี่ วาจานี่ร้ายกาจยิ่ง

นี่ก็คือการยืนหยัดในคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ที่มักจะพูดกันสินะ

แต่ขุนนางทั้งหลายที่เหลือไม่ได้ถูกทำให้ตกใจเหมือนสตรีทั้งหลายในวังเหล่านี้ พวกเขาสีหน้าแปลกพิกลอยู่บ้าง

ยึดมั่นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่หรือ?

เปลี่ยนไปพูดอีกแบบหนึ่งก็คือเจ้าเล่ห์น่ะสิ

อย่างไรสิ่งที่ข้าถือมาก็คือราชโองการของฮ่องเต้ ส่วนราชโองการนี่ทำไมเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้ พวกเจ้ารักจะทำอย่างไรก็ทำไป

หากเขายืนหยัดในคุณธรรมอันยิ่งใหญ่เล่าว่าฮ่องเต้ตรัสอย่างไรสั่งอย่างไรเขียนราชโองการฉบับนี้ได้อย่างไร ทุกคนก็โรมรันพันตูในท้องพระโรงได้หลายสิบปี จะแยกความจริงลวงของคำพูดนี้รวมถึงหาช่องโหว่ในคำพูดจากนั้นใช้สิ่งนี้ปฏิเสธก็ทำได้ง่ายดายยิ่งนัก

แต่ตอนนี้หนิงอวิ๋นเจาอธิบายประโยคหนึ่งว่าไม่รู้ กัดฟันประโยคเดียวว่าราชโองการเป็นของจริง เรื่องอื่นใดล้วนไม่รู้ทั้งสิ้น นี่ย่อมไม่สะดวกตั้งคำถามแล้ว

“รักษาอาการประชวรให้ฝ่าบาทก่อนเถอะ”

มีเสียงขุนนางเฒ่าดังขึ้น

“ตรวจสอบเรื่องที่ฝ่าบาททรงพระประชวรก่อน”

เขามองไปยังขุนนางทั้งหลายแล้วมองไปทางฮองเฮาอีกครั้ง

“ให้คำอธิบายกับคนในใต้หล้าสักอย่างก่อน ค่อยถกเรื่องรัชทายาท”

เคล็ดวิชายื้อ

กลับเป็นวิธีดีที่สุดตอนนี้

สำหรับฮองเฮารวมถึงขุนนางที่ในใจมีข้อสงสัยแล้ว ขอเพียงไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาททันทีก็ยังมีโอกาส

ส่วนสำหรับหนิงอวิ๋นเจาผู้เชื่อมั่นภักดีกับงานของเจ้าแผ่นดินก็ไม่ใส่ใจว่าเวลานี้ยังจะต้องรออีกหน่อย

“ตรวจสอบ! ตรวจสอบให้กระจ่างว่าฝ่าบาททรงประชวรได้อย่างไร ประชวรเมื่อไร ตรวจสอบขันทีกับองครักษ์เสื้อแพรที่ขวัญกล้าเหล่านี้ ตรวจสอบให้กระจ่างว่าทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างไร ไม่อาจปล่อยผ่านผู้ใดสักคน…” ฮองเฮาตรัสเสียงสั่น

วันนี้ฮ่องเต้ไม่อาจเอ่ยวาจาได้ ไม่อาจขยับได้แล้ว ไทเฮาก็หมดสติไม่ตื่น ในวังหลวงแห่งนี้ก็มีเพียงฮองเฮาเป็นคนรับหน้าที่แล้ว

ขุนนางทั้งหลายที่นั่นขานรับเสียงพร้อมเพรียง

ต่อมาขุนนางทั้งหลายก็จัดทหารองครักษ์ให้ผลัดเวรยาม จัดการรวมเหล่าขุนนาง จัดหมอหลวงทั้งหลายมารักษาอาการประชวรให้ฮ่องเต้กับไทเฮา จากนั้นถ่ายทอดคำสั่งตามจับคนที่เกี่ยวข้องกับหยวนเป่าและลู่อวิ๋นฉีที่สุสานหลวงมาสอบสวน ทั้งวังวุ่นวาย

แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับคุณหนูจวิน นางยืนอยู่ด้านข้างอย่างสงบ เหมือนคนที่ถูกลืม ทว่านางก็คล้ายลืมเลือนเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ตรงหน้าเช่นกัน สายตาเพียงมองฮ่องเต้บนแท่นบรรทม

คุณหนูจวินเห็นหางตาของฮ่องเต้ที่นอนสงบอยู่กำลังน้ำตาไหล

แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่สังเกตเห็น ขันทีผู้หวาดหวั่นทั้งหลายในห้องกำลังปรนนิบัติพระสนมที่ร่ำไห้โศกเศร้าหวาดผวา หมอหลวงทั้งหลายยุ่งวุ่นวายพลิกค้นตำราแพทย์และบันทึกการรักษา ขุนนางทั้งหลายจัดแจงการผลัดเวรยามและราชกิจ คล้ายไม่มีคนมองฮ่องเต้เพิ่มสักหน

ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ นับจากเช้าตรู่ถึงพลบค่ำ หนึ่งวันยังไม่ทันสิ้นสุด ฮ่องเต้ก็คล้ายกลายเป็นคนที่ถูกลืมเลือนแล้ว

ใช่แล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป เขาก็เป็นคนไร้ประโยชน์คนหนึ่งแล้ว ตำแหน่งโอรสสวรรค์นี่ของเขาสิ้นสุดตรงนี้แล้ว

คุณหนูจวินหลุบตารั้งสายตากลับมา

“คุณหนูจวิน เชิญออกจากวังเถิด” ขุนนางที่รับผิดชอบจัดการคนไม่เกี่ยวข้อง เดินเข้ามาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

แม้นางมียศองค์หญิงเสี้ยนจู่ แต่เรื่องที่จะตามมาก็ไม่มีโอกาสให้นางสอดมือ คนในวังและขุนนางในราชสำนักก็ไม่มีทางอนุญาตให้นางสอดมือ

ทั้งนางยังแสดงออกชัดว่ารักษาฝ่าบาทให้หายดีไม่ได้ คนในวังกับขุนนางทั้งหลายที่เดิมระแวงนางอยู่แล้วก็ย่อมไม่มีทางให้นางรั้งอยู่

คุณหนูจวินขานรับเดินไปด้านนอก

……………………………………….

……………………………………….

ยามสายัณฑ์มืดหม่น หน้าวังหลวงขุนนางมากมายรวมตัวอยู่แล้ว

แม้ยังไม่มีประกาศเรียกขุนนางทั้งหลาย แต่ในเมืองเกิดการเคลื่อนไหวเช่นนี้ย่อมปิดบังตระกูลใหญ่ไม่พ้น ถึงประตูวังปิดสนิทก็ยังมีข่าวส่งออกมาเป็นพักๆ เช่นกัน โดยเฉพาะหมอหลวงทั้งหลายของสำนักแพทย์หลวงคล้ายเข้าวังไปกันหมด ชักนำให้เกิดการถกเถียงนานาประการ

“ได้ยินว่าฮ่องเต้เสด็จกลับมาแล้ว”

“บอกว่าประชวร”

“ประชวรทำไมต้องเคลื่อนทหารมากปานนี้? คงไม่เกิดเรื่องข้างในหรอกนะ”

หน้าประตูวังเสียงถกเถียงดังอื้ออึง ไกลออกไปยังมีขุนนางและขุนนางชั้นผู้น้อยมากกว่าเดิมแห่แหนมา หน้าพระราชวังกลายเป็นเอะอะอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นคุณหนูจวินออกมา เสียงอื้ออึงนี่พลันหายไป สายตาทั้งหมดล้วนจับอยู่บนร่างนาง แต่ไม่มีคนก้าวเข้าไปถาม ประการแรกทหารองครักษ์ทั้งหลายจับจ้องมาดร้ายมองส่งอยู่ ประการที่สองคนของโรงหมอจิ่วหลิงก็รีบร้อนเข้ามารับ ให้คุณหนูจวินนั่งรถจากไปทันที

“ข้าว่าไม่ไหวแล้ว”

“หากประชวรจริง คุณหนูจวินทำไมออกไป”

“ก็ไม่แน่อาจประชวรเบามาก ไม่จำเป็นต้องให้คุณหนูจวินรักษา”

“เจ้าเห็นฝ่าบาทเป็นชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อยรึ ต่อให้คุณหนูจวินไม่รักษา ในวังก็ต้องให้นางรั้งอยู่ด้านข้างคอยดู”

การถกเถียงด้านนี้โหมขึ้นมาอีกครั้ง รถม้าของคุณหนูจวินหายไปอย่างรวดเร็วทิ้งความวุ่นวายนี้ไป

ในโรงหมอจิ่วหลิงจุดโคมไฟสว่างแล้ว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับเฉินชียืนอยู่ด้านในพร้อมเพรียง เห็นนางเข้ามาก็เข้ามารับทันที

“ในเมืองลือกันทั่วแล้ว…” เฉินชีรีบร้อนเอ่ย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“ฝ่าบาทประชวร” คุณหนูจวินเอ่ยตอบ

จริงอย่างที่ว่า

สองตาของเฉินชีวิบวับ

“ประชวรเป็นอย่างไร..” เขาเอ่ยถามต่อ

คำพูดยังเอ่ยไม่ทันจบ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ขัดเขา

“คุณหนูจวิน” เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายน้อยเกิดเรื่องแล้วขอรับ”

……………………………………….

……………………………………….

ทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิกำลังบานสะพรั่งฤดูร้อนกำลังมา แต่บนถนนใหญ่ที่เดิมทีใบไม้เขียวขจีบุปผาสีสันสดสวยฉับพลันเงินกระดาษลอยขึ้นนับไม่ถ้วน ตามต่อด้วยธงขาวเรียกวิญญาณประหนึ่งผืนป่า ด้านหลังยังมีคนสวมชุดผ้าป่านไว้ทุกข์มองไปไม่เห็นสุดปลาย

ถนนที่เคยเงียบเพราะทหารจินก่อหายนะเวลานี้คนเบียดเต็ม เงินกระดาษถูกโปรยขึ้นไม่หยุดกระจายเต็มฟ้าแล้วร่วงลงเกลื่อนพื้นดิน ฟ้าดินคล้ายคืนกลับไปสู่ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บอีกหน ทุกหนทุกแห่งล้วนขาวโพลน

“งามศพนี่ยิ่งใหญ่กว่าตอนนั้นสมัยนายท่านผู้เฒ่าฟางกับนายใหญ่ฟางอีกนะ” กลางฝูงชนมีผู้เฒ่าถอนหายใจเอ่ยพึมพำ “ไม่เสียทีเป็นตระกูลฟางจริงๆ”