ตอนที่ 232

My Disciples Are All Villains

ยู่เฉิงไห่ได้ยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมา พริบตาเดียวเท่านั้นพลังลูกบอลก็ได้ลอยไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าของตัวเขา มันได้ลอยทะลุต้นไม้ต้นนั้นไป ตัวเขาพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ไม่เป็นไรหรอก ยูฮงยี่และยอดฝีมือทั้งเจ็ดในตอนนี้ไม่ใช่ศัตรูที่น่ากลัวอีกต่อไป ในตอนนี้สำนักแห่งความบริสุทธิ์ก็มีแต่ชื่อเท่านั้น ในตอนนี้พวกเราบรรลุเป้าหมายแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไปศิษย์น้อง…ถ้าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือของเจ้า เหล่ายอดฝีมือทั้งเจ็ดก็คงจะไม่ถูกโค่นลงได้อย่างรวดเร็วแบบนี้แน่”

สีวู่หยาได้แต่ไอออกมา

ยู่เฉิงไห่ได้หันไปมองสีวู่หยาด้วยความงุนงง “พลังผนึกมนตรา, รถม้าล่องเมฆา, สัตว์ขี่อย่างบี่เอี๊ยน…ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์ของพวกเราก็ยังคงน่าประทับใจเช่นเคย ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ทำไมท่านอาจารย์ถึงจะต้องมายุ่งเรื่องในครั้งนี้ทั้งๆ ที่อายุมากขนาดนี้กัน? ” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมาอย่างใจเย็น แต่น้ำเสียงของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นน้ำเสียงแห่งความมืดมนแทน เห็นได้ชัดว่าตัวเขาไม่ได้รู้สึกพอใจกับเรื่องในครั้งนี้

สีวู่หยาได้ตอบกลับไป “บางทีท่านอาจารย์อาจจะกำลังผสานข้อดีทั้งหมดของเคล็ดวิชาทั้งหลายก็เพื่อที่จะยื้อชีวิตตัวเองกัน? “

เมื่อได้ยินแบบนั้นยู่เฉิงไห่ก็ได้เอามือกอดอก “ถ้าหากเรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้จริง แล้วทำไมป่านนี้ถึงยังไม่มีใครทำสำเร็จได้ล่ะ? “

โลกแห่งการฝึกยุทธอยู่มาอย่างเนิ่นนานแล้ว มีอัจฉริยะมากมายหลายคนที่พยายามฝืนชะตาฟ้าลิขิตเพื่อที่จะแสวงหาความเป็นนิรันดร์ ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสามารถทำความฝันเรื่องนี้ให้เป็นจริงได้

“อย่าเพิ่งโกรธไปศิษย์พี่ใหญ่ อย่าถือสาเรื่องนี้กับท่านอาจารย์เลย” แม้ว่าสีวู่หยาจะถูกพลังผนึกมนตราเข้าให้ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย

ยู่เฉิงไห่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาก่อนที่จะยืนมองท้องฟ้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โชคดีที่เจ้าอยู่ที่นี่ศิษย์น้อง”

สีวู่หยาส่ายหัว ตัวเขากำลังนึกถึงสถานการณ์ภายในป่าก่อนหน้านี้ “ข้าไม่ได้ช่วยอะไรท่านหรอกศิษย์พี่…ถ้าหากข้าไม่ได้ใช้ของของศิษย์พี่ ป่านนี้ข้าก็คงถูกท่านอาจารย์จับตัวไปซะแล้ว”

ยู่เฉิงไห่ขมวดคิ้วก่อนที่จะถามอะไรบางอย่างออกมา “ข้าสงสัยจริงๆ ท่านอาจารย์ไม่เคยที่จะใช้เคล็ดวิชาอนุสรณ์สรวงสวรรค์แห่งความมืดมาโดยตลอด…แล้วเหตุใดท่านอาจารย์ถึงได้ใช้พลังนั้นออกมากัน? แม้ว่าพลังจะไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อะไร แต่การควบคุมพลังของท่านอาจารย์มันเหนือกว่าข้ามาก”

สีวู่หยาพยายามพยุงร่างกายของตัวเองขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ตัวเขาได้ชี้ไปบนร่างกายของตัวเองก่อนจะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ได้ใช้พลังผนึกมนตราออกมา…ข้าคิดว่าท่านอาจารย์คงพยายามที่จะเตือนพวกเราก็เลยใช้เคล็ดวิชาของศิษย์พี่ขึ้น”

ยู่เฉิงไห่มองไปที่ผนึกมนตราอีกครั้ง พลังตัวหนังสือ ‘ผนึก’ เป็นพลังขนาดใหญ่ที่ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก “ไม่ต้องเป็นห่วงไปศิษย์น้อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะหาวิธีช่วยเจ้าจากพลังผนึกมนตรานี่เอง”

“ในช่วงเวลาดีๆ แบบนี้…มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าข้าจะมีพลังวรยุทธหรือไม่” สีวู่หยาได้ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ ตัวเขาไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรที่จะต้องถูกผนึกพลังวรยุทธไว้แบบนี้

ยู่เฉิงไห่ได้พยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับมา “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าสามารถควบคุมสำนักแห่งความมืดด้วยความใจกว้างได้ ศิษย์น้องสีวู่หยา…”

“ท่านพูดยอข้าเกินไปแล้วศิษย์พี่”

“ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ เจ้าถูกพลังผนึกนี่ก็เพราะตัวข้า ข้าจะส่งคนไปยังสำนักเซียนสวรรค์ ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องรับมือกับสำนักแห่งความมืดได้แม้จะไม่มีพลังวรยุทธก็ตาม” ยู่เฉิงไห่ได้พูดขึ้น

ท้ายที่สุดแล้วการที่สีวู่หยามีพลังวรยุทธก็จะเป็นอะไรที่ปลอดภัยกับตัวเขา ใครจะไปรู้ว่าสมุนทั้งหมดของสำนักแห่งความมืดทุกคนจะภักดีไหม?

“กลับไปที่หุบเขาผิงตูกันก่อนเถอะ”

“ตอนนี้ข้าก็ได้แต่พึ่งพาท่านแล้วศิษย์พี่”

ในห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้า

ฮั๊ววู่เด๋า, เล้งลั่ว, ฝานลี่เทียนและเหล่าสาวกทั้งหลายต่างก็มองไปที่ลู่โจวที่กำลังใช้ความคิดอยู่ พวกเขากำลังสงสัยว่าลู่โจวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

ในตอนนั้นลู่โจวกำลังมองไปที่แต้มบุญที่มี

10,220 แต้มบุญ

ลู่โจวได้ซื้อการ์ดคลื่นพลังสายฟ้ามา 4 ใบ ก่อนหน้านี้ตัวเขาไม่ได้ใช้งานอะไรเป ตัวเขาได้รับแต้มบุญมาหลังจากที่จัดการกับม่อฉีได้ ตัวเขาตัดสินใจที่จะเอาแต้มบุญที่ได้มาในครั้งนี้เสี่ยงโชคจับฉลากดู

ลู่โจวโบกแขนเสื้อของตัวเอง ในตอนนั้นเมนูก็ได้หายไปจากสายตาเขา ตัวเขากำลังคิดถึงยู่เฉิงไห่ หลังจากที่คิดแบบนั้นตัวเขาก็ได้ตะโกนออกมา “เจ้านั่นจะหนีไปได้ยังไงกัน? ” ตัวเขาคิดเรื่องนี้มาตลอดการเดินทางกลับ พยายามคิดแล้วคิดอีกแต่ก็ยังคิดไม่ออก

พลังผนึกมนตราเป็นถูกใช้งานไปอย่างสมบูรณ์แบบ มันจะต้องโดนเป้าหมายอย่างแน่นอนเพราะตัวเขาได้รับแต้มบุญมา ‘มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงกัน? ‘

ฮั๊ววู่เด๋าได้มองไปที่ลู่โจวก่อนที่จะคารวะและพูดขึ้น “ท่านปรมาจารย์ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไป สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ไม่ว่ายังไงคนเราก็ย่อมที่จะทำผิดพลาดกันได้” ฮั๊ววู่เด๋าพยายามที่จะปลอบใจลู่โจว ตัวเขาหลงคิดว่าลู่โจวแก่ตัวมากแล้ว การที่จะเสียท่าคนรุ่นใหม่ที่ที่ยังหนุ่มยังแน่นไม่ใช่เรื่องอะไรที่น่าอายเลย

ลู่โจวรู้สึกรำคาญที่ฮั๊ววู่เด๋าพยายามที่จะปลอบใจเขา

ฮั๊ววู่เด๋าได้หยุดพูดทันทีเมื่อเห็นลู่โจวจ้องมองมาทางตัวเขา ตัวเขาได้หยุดคิดชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าได้ยินมาว่ายู่เฉิงไห่ถูกพลังผนึกของท่านไป เขาจะต้องหาทางทำลายผนึกแน่ มีเพียงสองทางเท่านั้นที่เขาจะทำแบบนั้นได้ ทางแรกนั่นก็คือการหาพลังที่ทรงพลังกว่าพลังผนึกมนตรา ที่สำนักเซียนสวรรค์มีผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนที่เชี่ยวชาญในการใช้พลังมนตรา และทางที่สองเขาจะต้องมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าแห่งนี้”

ต้วนมู่เฉิงพยักหน้าเห็นด้วย “ท่านผู้อาวุโสฮั๊วพูดมีเหตุผล ท่านอาจารย์พวกเรารีบคว้าโอกาสนี้จัดการกับพวกสำนักเซียนสวรรค์ซะเลยเถอะ”

“…” คนอื่นๆ ได้แต่จ้องมองไปยังต้วนมู่เฉิง

สำนักเซียนสวรรค์ไม่เหมือนกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์ ที่นั่นไม่ได้มียอดฝีมือมากมายอะไรนัก แต่สำนักเซียนสวรรค์เชี่ยวชาญในการใช้พลังมนตรารวมไปถึงวิชาค่ายกล ไม่มีใครกล้าลบหลู่สำนักเซียนสวรรค์เมื่ออยู่ในดินแดนของพวกเขาเอง

การไปที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย เล้งลั่วและฝานลี่เทียนต่างก็รู้จุดยืนของตัวเองดี การที่พวกเขาทั้งสองจะรั้งทุกคนเอาไว้ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ผู้ฝึกยุทธอย่างฮั๊ววู่เด๋าสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งการป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ การที่จะอยู่ที่นี่พร้อมกับพลังป้องกันของฮั๊ววู่เด๋าคงจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามาก…

ลู่โจวส่ายหัวก่อนจะพูดออกมา “สำนักเซียนสวรรค์ไม่อาจที่จะคลายพลังผนึกมนตราได้แน่ เจ้าศิษย์ทรยศนั่นไม่มีที่ให้ไป เจ้านั่นจะต้องมาที่นี่ในสักวันเอง”

“ศิษย์เข้าใจแล้ว” ต้วนมู่เฉิงพูดขึ้น ลู่โจวมองไปที่จ้าวยู่ก่อนที่จะถามออกมา “ฝานซงเป็นยังไงบ้าง? “

“อาการบาดเจ็บของเขาทรงตัวขึ้นหลังจากที่ออกมาจากป่า ศิษย์คิดว่าเขาจะต้องหายดีแน่ถ้าหากพักผ่อนมากพอ”

“ขอบคุณมาก” ฝานลี่เทียนคารวะลู่โจวเพื่อเป็นการขอบคุณ เรื่องในครั้งนี้ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่ดูดีขึ้น

เล้งลั่วได้ถามออกมา “ข้าอยากรู้จริงๆ เจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับฝานซงกันแน่? “

ฝานซงอายุไม่เกินสี่สิบปีแน่ ในโลกของผู้ฝึกยุทธเขาก็เป็นเพียงชายวัยกลางคนเท่านั้น ฝานลี่เทียนและเล้งลั่วต่างก็มาจากยุคสมัยเดียวกัน ฝานลี่เทียนได้ออกจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์เมื่อหลายร้อยปีก่อน ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ดูแก่เกินกว่าที่จะเป็นปู่ของฝานซงได้

ฝานลี่เทียนได้ถามกลับมา “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน? “

ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้โบกแขนขึ้นมา กล่องผ้าสีดำได้ลอยออกไปก่อนที่จะตกลงสู่มือฝานลี่เทียน “ข้าเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ รับไปซะ…”

เมื่อฝานลี่เทียนรับกล่องสีดำไป มือของเขาก็สั่นจนเห็นได้ชัด ตัวเขารีบโค้งคำนับลู่โจว แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรแต่จากสีหน้าและท่าทีของฝานลี่เทียนก็สื่อความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาแม้ว่าตัวเขาจะมีโอกาสล่วงรู้ที่อยู่ของดอกแมกโนเลียสีดำมา แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็กลับไร้ความสามารถที่จะไปเอาดอกแมกโนเลียมาได้ การขึ้นรถม้าไปที่สรวงสวรรค์คงจะง่ายกว่าการหาดอกไม้ชนิดนี้โดยที่ไม่มีพลังวรยุทธ

เล้งลั่วที่เห็นความรู้สึกตื่นเต้นของฝานลี่เทียนรู้สึกงุนงง

เล้งลั่วได้พูดขึ้น “ด้วยสถานะและตัวตนที่เจ้ามี การที่จะขอให้สำนักแห่งความบริสุทธิ์หาดอกแมกโนเลียสีดำมาให้คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรแท้ๆ …”

ฝานลี่เทียนส่ายหัว “เล้งลั่ว ถ้าหากม่อหลี่ผนึกทำลายพลังวรยุทธของเจ้าไป นางจะมอบดอกแมกโนเลียให้กับเจ้าไหม? “

เล้งลั่วได้แต่เงียบ คนอื่นๆ เองก็เงียบเช่นกัน

ฝานลี่เทียนได้คารวะลู่โจวอีกครั้ง “ข้าขอตัวก่อน”

เล้งลั่วเองก็คารวะลู่โจวเช่นกัน เขาเองก็ขอตัวก่อน

“ไปซะ” ลู่โจวได้โบกแขนขึ้น

ทั้งสองคนจะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่จะฟื้นคืนพลังวรยุทธที่เคยมีกลับมาอีกครั้ง ในตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนจึงไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับศาลาปีศาจลอยฟ้ามากนัก

หลังจากที่ทั้งคู่ได้จากไป ลู่โจวก็ได้ถามขึ้นมา “มีข่าวอะไรเกี่ยวกับหมิงซี่หยินไหม? “

“ท่านอาจารย์…เห็นทีศิษย์น้องสี่จะทำงานหนักจนเกินไป เจ้านั่นได้ออกไปเที่ยวเล่นเป็นเวลานานแล้วแต่ก็ยังไม่ได้กลับมา! “

ลู่โจวพบว่าเรื่องนี้เริ่มแปลก ตัวเขาเองก็ไม่ได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับระบบถึงเรื่องหมิงซี่หยินเลย เขาไม่ได้กังวลว่าหมิงซี่หยินจะมีปัญหา ตัวเขาเชื่อว่าหมิงซี่หยินจะต้องเอาตัวรอดมาได้แน่

ในตอนนั้นเองโจวจี้เฟิงก็ได้เดินเข้าห้องโถงมาด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด

“มีอะไรกัน? ” ลู่โจวรีบถามขึ้น

“ฮั๊วยู่จิงกลับมาแล้วครับ! ” สีหน้าของโจวจี้เฟิงเคร่งเครียด ตัวเขาได้หยุดพูดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “นางกลับมาพร้อมกับหัวของยี่เฉิงซีแห่งสำนักดาบสวรรค์”