ตอนที่ 101 สิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 101 สิ่งที่กำลังใกล้เข้ามา

มายาดาบเดียวเป็นเคล็ดวิชาที่มีไว้เพื่อทำลายล้างความชั่วร้ายซึ่งต้นตระกูลมิตสึรุกิเป็นผู้สร้างขึ้นมา ดาบที่มีไว้เพื่อปกป้องมนุษยชาติจากสิ่งมีชีวิตในตำนานที่เป็นภัยพิบัติมีเลือดเนื้อ

สำหรับผู้ใช้มายาดาบเดียวไม่เพียงแค่เทพปีศาจ แต่สิ่งมีชีวิตในตำนานอย่างอื่นก็คือศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้

โกซุ ไคลอา คลิม พวกเขาพยายามที่จะสังหารซูซูเมะซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นภาชนะในการเชื้อเชิญเทพปีศาจมียังโลกใบนี้

โดยปกติแล้วหากต้องเทียบกันระหว่างไฮดราที่ปรากฏตัวออกมากับซูซูเมะที่ยังไม่ได้กลายเป็นภาชนะให้กับเทพปีศาจ อย่างแรกย่อมสำคัญมากกว่า

ดังนั้นพอทั้งสามคนจัดการกับพวกมอนสเตอร์คลั่งเสร็จแล้ว พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะมุ่งไปยังส่วนลึกของป่าทีทิสเพื่อเข้าช่วยเหลือ มิตสึรุกิ โซระผู้ที่ต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตในตำนานนั้นมาถึง 3 วัน 3 คืนเพื่อหยุดยั้งมันเอาไว้

ทว่าความบ้าคลั่งของป่าในตอนนี้กลับพยายามหยุดพวกเขาเอาไว้

ในป่าทีทิสตอนนี้ เต็มไปด้วยเหตุการณ์อย่าง พายุคลั่ง แผ่นดินไหว พิษร้ายที่แทรกซึมทั่วป่า สภาพของมันตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นมาบนโลก

ผืนดินกำลังเน่าเปื่อย ทะเลฟุไคก็แผ่ออกไปเรื่อยๆ พายุสีแดงเข้มก็ปกคลุมทัศนวิสัยเอาไว้ ดิน หญ้า ต้นไม้ พวกสัตว์ต่างหมุนลอยไปในอากาศจากพายุ

และพายุในตอนนี้มันก็ได้พัดพาเอาพิษขึ้นไปด้วย ซึ่งพิษดังกล่าวก็จะแพร่กระจายไปตามลม สู่โลกภายนอก เอาจริงๆ ตอนนี้ก็คงขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าทิศทางลมจะพัดพาพวกมันไปถึงเมืองอิชกะได้ตอนไหน

ก็จริงว่าหากเป็นทั้ง 3 คน พวกเขายังสามารถจัดการกับพิษพวกนี้ได้ด้วย คิ แต่สำหรับนักผจญภัยและคนทั่วไปแล้วคงไม่ไหว

ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องโค่นสิ่งมีชีวิตในตำนานนั้นให้ได้โดยเร็ว—โกซุคิดเช่นนั้นขณะเห็นเงาดำพุ่งออกมาจากพายุ จากนั้นมันก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ

มันคือสัตว์อสูรที่เรียกกันว่าเฮลฮาวด์ รูปร่างของมันก็เหมือนหมาตามชื่อนั่นแหละ มันคือสัตว์อสูรที่มีความร้ายกาจเป็นอันดับต้นๆ ของป่าทีทิส ซึ่งรู้กันดีว่ามันมักจะชอบโจมตีศัตรูที่มีขนาดใหญ่กว่ามัน ด้วยการทำงานเป็นฝูง

ทว่า—

「ฮึบ!」

ไม่มีสัตว์อสูรตนได้สามารถวิ่งฝ่าเข้ามาถึงร่างของโกซุได้เลย โกซุตะโกนออกมาและเหวี่ยงจูสึมารุของตน เฮลฮาวด์ทั้ง 3 ตัวที่ตามมาได้ถูกซัดออกไปในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ไคลอากับคลิมก็ไม่ต่างกัน พวกเขาสามารถเอาชนะสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดาย ฝูงของพวกมันมีประมาณ 15 ตัว แต่หลังจากพวกมันเข้าโจมตีทั้ง 3 ตอนนี้ก็เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว สุดท้ายพวกมันก็ต้องหนีไปด้วยจำนวนที่เหลือเพียงน้อยนิด

เมื่อเห็นคลิมใช้ทักษะที่กินแรงพอสมควรในการกำจัดพวกมัน โกซุก็เตือนเขา

「คลิม เจ้าควรจะเก็บแรงไว้หน่อยนะ」

ถึงพวกเขาจะเป็นนักรบผู้ในอนิม่าในการต่อสู้ จึงทำให้พลังคิของพวกเขามีมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว แต่มันก็ใช่ว่าจะไม่มีจำกัด

หากเป็นนักรบของเกาะทั่วไป พวกเขาก็คงจะสู้ต่อเนื่องได้ประมาณครึ่งวัน หากต้องปลดปล่อยพลังอย่างเต็มที่ ส่วนสำหรับที่เก่งกว่านั้นหน่อยก็คงจะได้สักวันหนึ่ง แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสู้ติดต่อกัน 2 – 3 วัน

นี่ก็ผ่านมาเกือบ 4 วันแล้วตั้งแต่มังกรคำรามออกมาครั้งแรก โกซุและที่เหลือได้ใช้ช่วงที่สู้กับมอนสเตอร์คลั่งเป็นเวลาพักผ่อนช่วงสั้นๆ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาพยายามใช้คิกันให้น้อยที่สุด เพราะหากพิจารณาแล้วว่าจากนี้ไปพวกตนต้องใช้พลังอย่างสุดแรงเพื่อรับมือกับอะไร อันที่จริงพวกเขาก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพลังตอนนี้จะเหลือพอรับมือได้นานไหม

นอกจากนี้โกซุกับคลิมก็ได้รับบาดเจ็บมาตอนที่สู้กับโซระด้วย ถึงแผลพวกเขาจะถูกรักษาแล้ว แต่มันก็ยากที่จะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ไม่ว่าจะแรงกายหรือแรงใจ ดูท่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของพลังจากอาภรณ์วิญญาณที่โซระมี

เมื่อคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ อย่างโกซุก็เลยเตือนคลิมออกไป

อันที่จริงคลิมก็อยากจะบ่นกับโกซุเหมือนที่เคย แต่เขาก็ถูกพี่สาวอย่างไคลอาหยุดไว้ก่อน ด้วยสายตา

จากนั้นไคลอาก็พูดกับโกซุ

「ชิมะ มีบางอย่างที่ฉันกังวลอยู่ค่ะ」

「ว่ามาสิ?」

「4 วันก่อน เสียงที่พวกเราได้ยินต้องเป็นมังกรคำรามไม่แผ่นแน่ แล้วคุณโซระที่พยายามยื้อกับมังกรตนนั้นมาถึงตอนนี้ด้วยตัวคนเดียว คุณคิดว่าเขาจะอยู่ในสภาพไหนคะชิมะ?」

อันที่จริงมันก็ขึ้นอยู่กับว่าได้ยินแล้วคิดแบบไหน บางคนก็อาจจะมองว่าไคลอาอยากจะสื่อถึง ตัวโซระที่ขนาดพิธีทดสอบยังไม่สามารถผ่านได้จะ มีปัญญาไปยื้อกับมังกรด้วยตัวคนเดียวงั้นเหรอ แต่แน่นอนว่าใจจริงของไคลอาไม่ได้สื่อแบบนั้นเลย

ถึงเธอจะไม่ได้รับบาดเจ็บเหมือนกับทั้งสอง แต่ไคลอาก็แพ้ให้กับโซระในการต่อสู้ที่เมืองอิชกะ ไคลอา เบิร์ชไม่ใช่คนโง่ที่จะลืมความจริงเรื่องนี้ เพราะขนาดน้องชายของเธออย่างคลิมก็เห็นด้วยกันเรื่องนี้

ไคลอาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความสามารถของโซระ แต่ความเป็นจริงที่เขาต้องยื้อสู้กับสิ่งมีชีวิตในตำนานถึง 3 วัน 3 คืนด้วยตัวคนเดียว หากพิจารณาเทียบกับนักรบของธงแห่งผืนป่าแล้ว ก็อย่างที่บอกไปว่าพวกระดับล่างหากใช้พลังสุดตัวก็คงสู้ได้สักครึ่งวัน ดังนั้นถึงโซระจะมีพลังอยู่ในแถวหน้าของนักรบบนเกาะแต่มันก็ทำใจเชื่อได้ยากว่าเขาสามารถยื้อมันมาได้นานถึง 3 วัน 3 คืน

หากอธิบายว่าสิ่งมีชีวิตในตำนานที่ปรากฏตัวขึ้นในป่าทีทิสมันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดที่โซระต้องทุ่มสุดตัวเพื่อสู้ การจะสู้ต่อเนื่องถึง 3 วันก็คงไม่แปลกอะไร แต่สิ่งมีชีวีตในตำนานมันไม่ใช่ตัวตนที่กระจอกขนาดจะสังหารลงได้โดยง่าย แถมสิ่งมีชีวิตในตำนานที่ว่ายังเป็นมังกร สิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในหมู่สิ่งมีชีวิตในตำนาน มันแกร่งถึงขนาดที่ว่าหัวหน้าของธงทั้ง 8 ไม่สามารถออมมือในการจัดการกับมันได้เลยหากเป็นมังกร

ตอนที่ไคลอาได้ยินว่าโซระจะไปรับมือกับมันคนเดียว สิ่งที่เธอคิดก็คือเขาอยากจะถ่วงเวลา

เนื่องจากมอนเตอร์ที่คลุ้มคลั่งก็ยังบุกเขามาในเมือง พวกไคลอาเลยต้องไปช่วยรับมือตรงนั้นก่อน ระหว่างนั้นโซระก็จะซื้อเวลาไม่ให้มันไปไหนได้ไกลกว่านี้ เพราะศัตรูไม่ใช่สิ่งที่จะเอาชนะได้ด้วยตัวคนเดียว เป้าหมายที่ชัดเจนที่สุดก็ย่อมเป็นการถ่วงเวลารอกำลังเสริม

คอยหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของมัน ตัดกำลังมันไปเรื่อยๆ และซื้อเวลาให้คนในเมืองอิชกะหนี เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไคลอากับที่เหลือก็จะรีบไปเสริมทัพให้โซระในการช่วยกันโค่นมังกรลง

นี่คือแผนการที่สมเหตุสมผลที่สุดในการรับมือกับสิ่งมีชีวิตในตำนาน โดยฝั่งตนได้รับความเสียหายน้อยที่สุด

ทว่า ถึงจะผ่านไปนานเกินกว่าครึ่งวัน พลังกายใจของโซระก็น่าจะหมดลงไปแล้วแท้ๆ แต่เขาก็ไม่ได้กลับมายังเมืองเพื่อฟื้นตัว วันแรก วันที่สอง และวันที่สามค่อยๆ ผ่านไป แต่พวกเธอก็ไม่เห็นวี่แววของโซระจะกลับมาพักเอาแรงสักหน่อยเลย อันที่จริงหากเป็นแบบนี้พวกเธอก็ต้องคิดเผื่อไว้แล้วว่าโซระอาจจะถูกมังกรฆ่าตายไปแล้ว แต่แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นในป่ามันเป็นสัญญาณบอกว่า เขายังคงอยู่ตรงนั้น

นี่มันเหนือกว่าคำว่าน่าประหลาดใจไปแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่น่าขนลุกเสียมากกว่า นั่นคือสิ่งที่ไคลอาคิด เธอมองว่าตัวตนของโซระในตอนนี้มันน่าขนลุกมากกว่ามังกรที่ปรากฏออกมาเสียอีก

ไคลอาได้ใช้มือซ้ายของตนจับไปยังบริเวณข้อศอกแขนขวา จนเป็นท่าเหมือนเธอกำลังกอดตัวเองไว้อยู่ โกซุที่ได้ยินก็พยักหน้า พร้อมกับเอามือจับคางเหมือนคิด

「ความสามารถของอาภรณ์วิญญาณท่านโซระน่าจะเกี่ยวข้องกับการช่วงชิงหรือดูดซับพลัง ดังนั้นมันก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาสามารถต่อสู้ไปได้เรื่อยๆ โดยระหว่างนั้นก็ขโมยพลังมาจากมังกรด้วย」

「แต่มันจะมีจริงเหรอ อาภรณ์วิญญาณที่แข็งแกร่งพอจะขโมยเอาพลังของมังกรมาใช้ได้ และถ้าเขามีพลังนั้นจริงๆ …ทำไม 5 ปีก่อนเขาถึงไม่สามารถเอาชนะนักรบเขี้ยวมังกรได้กัน-」

ไคลอากำลังจะพูดถึงความคิดของเธอต่อ แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาขัดคำพูดของเธอ

「กว๊ากกกกก!!」

เสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองที่สั่นสะเทือนผืนดินได้ทะลุผ่านออกมาจากพายุสีแดง

วินาทีนั้นเอง ทั้ง 3 คนได้เบนความสนใจทั้งหมดไปยังต้นทางเสียง ก่อนจะเตรียมอาภรณ์วิญญาณออกมา ผืนดินตอนนี้มันสั่นสะเทือนถึงขนาดคิดว่ามันอาจจะพุ่งกระโดดขึ้นมาได้

ความรุนแรงของมันมีถึงขนาดครั้งก่อนๆ เทียบไม่ติด ราวกับอุกกาบาตขนาดใหญ่ตกลงมา ร่างของโกซุลอยขึ้นสูงจากพื้นดินราวๆ 3 กำปั้น มันเป็นความรุนแรงที่ขนาดนักรบแห่งผืนป่ายังเสียการทรงตัวได้

พวกเขาได้ยินเสียงต้นไม้หักพร้อมๆ กัน จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่และเหนียวหนืดกำลังใกล้พวกเขาเข้ามาทุกที

จากนั้นเสียงดังกึกก้องก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พวกเขาสัมผัสได้ถึงตัวตนที่ทรงพลังจนเฮลฮาวด์เทียบไม่ติด โกซุและคนอื่นๆ ตั้งท่าและกระโจนหลบสิ่งที่ใกล้เข้ามา

พวกเขาสามารถหลบมันได้อย่างหวุดหวิด

และในบริเวณที่พวกเขาถอยออกมาก้ได้มีร่างขนาดเท่ากับภูเขาอยู่ โดยส่วนบนของมันมีหัวอยู่เป็นจำนวนมากและร่างของมันก็ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดที่เน่าเปื่อย และเลือดที่เต็มไปด้วยพิษร้าย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้คือมังกรพิษอมตะไฮดรา

อย่างที่โกซุคาดเอาไว้ มังกรที่ปรากฏออกมาคือไฮดรา เพราะมันคือตัวเดียวที่จะทำให้พิษสามารถแพร่กระจายไปทั่วผืนป่าทีทิสได้ เมื่อรวมเข้ากับลักษณะของเสียงคำรามแล้ว โกซุจึงมั่นใจ

แต่สิ่งที่ผิดแปลกออกไปก็คือ ตามตำนานแล้วไฮดราควรจะมีหัวอยู่ทั้งหมด 9 หัว แต่ที่เขาเห็นตอนนี้มีเพียงแค่ 3 หัว แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ เสียงของสองพี่น้องเบิร์ชก็ขัดเขาเสียก่อน

「――จงแผดเผา คุริคาระ!」

「――จงปรากฏ คุซานางิ!」

เมื่อได้ยินเสียงของการปลดปล่อยอาภรณ์วิญญาณของสองพี่น้อง โกซุก็ไม่รอช้าที่จะชักดาบออกจากฝังเช่นเดียวกัน เมื่อผู้ใช้มายาดาบเดียวเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตในตำนาน มันก็มีเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้นที่เขาควรทำ

พวกเขาจำเป็นต้องจัดการกับหัวที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้เสียก่อน ถึงแม้โกซุจะกังวลใจบ้างเหรอไม่เห็นโซระที่นี่ แต่เอาไว้จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนน่าจะเหมาะก่อน

โกซุและคนอื่นๆ เรียกอาภรณ์วิญญาณออกมากันเสร็จแล้ว จากนั้นร่างของไฮดราก็ถูกสายลม เปลวเพลิง และประกายแสงทะลวงร่าง ร่างอันใหญ่โตของมันบิดเบี้ยวไปมาด้วยความเจ็บปวด ทว่ามันก็ไม่ได้แสดงอาการตอบโต้กลับมายังพวกโกซุเลย

ไม่ว่าพวกเขาจะโจมตีกันไปสักเท่าไหร่ หัวทั้ง 3 ที่เหลืออยู่ก็ไม่หันมามองพวกโกซุ และทำท่าเหมือนพยายามเดินไปยังทิศใต้เรื่อยๆ แต่เพราะร่างกายที่ใหญ่โตของมันความเร็วจึงเทียบเท่ากับเต่าคลาน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาคงสามารถโจมตีได้มากเท่าที่ใจอยาก

จากเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดของมันทำให้เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของพวกโกซุได้ผล แต่ถึงจะเป็นแบบไหนไฮดราก็ไม่ได้ลดละความพยายามที่จะเดินต่อ ไม่มันไม่ได้สนใจแม้จะหันมามองพวกโกซุด้วยซ้ำ

เดิมที่ร่างของไฮดราที่เน่าเปื่อยนั้นจะมีเลือดไหลนองออกมาทำเกิดบึงพิษขึ้นตลอดเส้นทางการเดินของมัน แต่ในขณะนี้ร่างของมันกลับไม่ปลอดปล่อยพิษที่ทำให้ผืนดินเน่าเปื่อยออกมาเลย ก่อนที่จะพยายามขยับร่างอันมหึมาต่อไป

ไม่ว่าการเคลื่อนไหวจะเชื่องช้า ไร้ประสิทธิภาพมากเพียงใด สิ่งมีชีวิตในตำนานตนนี้ก็พยายามก้าวเดินต่อไป ราวกับมันมองว่าดีกว่าการที่มันจะต้องหยุดอยู่นิ่งๆ

——–

Note 1 : ดูทรงไฮดราน่าจะพยายามหนีโซระ โกซุบอกไฮดราควรที่ 9 หัว หรือ 8 หัวนี่คือไฮดราเวอชั่นเนิฟ?

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code