บทที่ 273 ดีจังที่มีคุณ

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 273 ดีจังที่มีคุณ

บทที่ 273 ดีจังที่มีคุณ

ฮันเอินจีเรียกรถแท็กซี่และกลับไปยังที่พักของเธอ

โรงพยาบาลเป๋าไป่

หลังจากที่ลู่เฉินไปส่งตระกูลฮันแล้ว เขาก็กลับไปที่วอร์ด เห็นซูโย่วอี๋ขดตัวอยู่บนโซฟาโดยเอาหัวพิงหมอนอย่างเกียจคร้านขณะที่บนทีวีมีรักในฝันกำลังเล่นอยู่

เขาถอดรองเท้าแล้วโน้มตัวเข้าไปกอดเธอไว้ในอ้อมแขน

ส่วนซูโย่วอี๋ก็หาตำแหน่งที่สบายพักพิง

ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกัน แต่บางครั้งก็คุยกันสักหนึ่งหรือสองประโยคเกี่ยวกับละคร

ทันใดนั้น ลู่เฉินโน้มตัวเข้าไปใกล้คนในอ้อมแขน ซึ่งซูโย่วอี๋ก็ยกมือปิดคอของเธออย่างไม่รู้ตัว

ดวงตาของเธอตื่นตระหนกและป้องกันตัวอย่างอัตโนมัติ

ดูเหมือนลู่เฉินจะไม่สังเกตเห็น เขายื่นมือขวาของเขาออกไปด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง ผ่านตัวเธอไปหยิบแก้วน้ำจากโต๊ะมาเพื่อจิบ

ก่อนจะวางกลับไปใหม่

“ผมหิวน้ำ”

“… อืม” เสียงของซูโย่วอี๋ตอบรับแผ่วเบา เธอคิดว่าลู่เฉินกำลังจะจูบเธอเสียอีก

“คุณดื่มไหม?”

“ไม่”

ข้อนิ้วเรียวยาวของลู่เฉินสอดเข้าไปในผมของซูโย่วอี๋และไล่ลงมาถึงคอ ก่อนติดกระดุมทีละเม็ด

“ไม่ต้องห่วง ผมไม่แตะต้องคุณหรอก”

สีหน้าของซูโย่วอี๋ดูอึดอัดใจ “ฉันไม่ได้ห้ามคุณ…”

เธอแค่ไม่ต้องการให้ลู่เฉินเห็นร่องรอยที่น่าขยะแขยงนี้

“ผมรู้”

เมื่อเวลาล่วงเลยไป ซูโย่วอี๋ก็หาว เปลือกตาของเธอหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปิดสนิท

ลู่เฉินปิดทีวีและกอดเธอไว้

ซูโย่วอี๋ได้กลิ่นกายของลู่เฉินจาง ๆ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกสบายใจมาก

เธอมุดเข้าไปในอ้อมแขนของเขาโดยอัตโนมัติ

และปล่อยให้ลู่เฉินอุ้มเธอไปที่เตียง

“ฝันดีนะครับ”

ลู่เฉินจูบที่หน้าผากของเธอเบา ๆ และเตรียมจะจากไป

แต่ซูโย่วอี๋กลับโอบคอเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ก่อนพึมพำว่า “ดีจังที่มีคุณ”

เป็นเวลาเนิ่นนาน ก่อนเสียงแหบแห้งของลู่เฉินจะดังขึ้นตอบกลับ “ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

แต่ทว่าคนบนเตียงหลับสนิทไปเสียแล้ว

ลู่เฉินไปที่ห้องนอนถัดไปและหยิบถุงพลาสติกใสออกมาจากลิ้นชัก ซึ่งข้างในมีกล้องสีดำอยู่

เจ้าหน้าที่เหลียงให้คนมาส่งมอบมันให้เขาโดยบอกว่าเป็นหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุ

เห็นได้ชัดว่าซวี่เฟิงต้องการทำอะไรกับกล้องนี่ ลู่เฉินมองที่กล้องด้วยสายตาที่เย็นชา

เขาเปิดกล้องและกวาดนิ้วไล่ดู ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวิดีโอที่ผิดกฎหมาย

นิ้วของลู่เฉินหยุดที่วิดีโอของเมื่อคืนนี้ และหลังจากนั้นก็คลิกที่มัน

เสื้อผ้าขาดวิ่น…

ถูกบังคับให้กลืนยาปลุกเซ็กส์ทั้งขวด…

ชายหนุ่มคุ้มคลั่ง…

และเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างสิ้นหวังของซูโย่วอี๋…

ลู่เฉินกำหมัดแน่นและแทบทนดูต่อไปไม่ได้

ในวินาทีต่อมา ซวี่เฟิงซึ่งกำลังคืบคลานอยู่บนร่างของซูโย่วอี๋ก็ถอยหลังไปสองก้าวอย่างกะทันหัน ราวกับว่าถูกใครบางคนดึงออกไป

ก่อนจะมีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น

จากนั้นก็มีรอยฟกช้ำตามร่างกายและใบหน้าของซวี่เฟิง

แต่ทั้งวิดีโอมีเพียงซวี่เฟิงคนเดียว

ใครเป็นคนทุบตีเขา!

ค่ำคืนอันเงียบสงัดถูกแต่งแต้มด้วยความสยดสยอง

ลู่เฉินไม่เชื่อเรื่องผีสางและเทวดา แต่ในวิดีโอนี้จะมีอะไรมาอธิบายได้?

ภายในเวลาไม่ถึงสองนาที ก็มีเสียงเปิดประตู และซวี่เฟิงก็ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง

จากนั้นผู้ดูแลก็เข้ามา

ลู่เฉินลากวิดีโอกลับไปยังส่วนที่ซวี่เฟิงถูกทุบตีและดูซ้ำอยู่หลายครั้ง

วิดีโอนี้ไม่ได้ตัดต่ออย่างแน่นอน

ไม่มีร่องรอยของมือและเท้า

เมื่อปิดกล้องแล้ว ลู่เฉินก็ยืนอยู่ตรงหน้าต่างโดยเอามือล้วงกระเป๋า พลางมองเมืองปักกิ่งในยามดึกที่ยังคงวุ่นวาย

เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น?

ณ ห้องผู้อำนวยการ

ไฟยังคงเปิดอยู่

ฮัวจิงนั่งที่โต๊ะพลางจ้องมองไปที่รายงานอาการของซูโย่วอี๋

จากนั้นโทรศัพท์ก็สั่น มันเป็นข้อความจากอวิ๋นจิ้งหว่าน

[อาจิง เสร็จธุระหรือยัง?]

[ยังครับ อีกพักหนึ่ง คุณพักผ่อนก่อนเถอะ ไม่ต้องรอผม]

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาว่า [โอเค ดูแลตัวเองให้ดีนะ]

ฮัวจิงไม่ตอบกลับ แต่โทรหาแผนกต้อนรับ “ลองดูสิว่าวันนี้ใครมาเยี่ยมซูโย่วอี๋บ้าง”

“[สักครู่ค่ะ]”

“[มีคนกลุ่มเดียวที่มาเยี่ยมคุณซูในวันนี้ ก็คือตระกูลฮันค่ะ]”

ฮัวจิงขมวดคิ้ว “ตระกูลฮัน? ตระกูลฮันไหน?”

“ผู้ลงทะเบียนคือฮันเจ๋อหยางและฮันเจ๋อเหยียน ประธานของฮันกรุ๊ป โดยคุณชายฮันและภรรยาของเขาก็อยู่ที่นี่ด้วยค่ะ”

ฮัวจิงครุ่นคิดในใจ แต่เขาคิดไม่ออกว่าตระกูลฮันมีความสัมพันธ์ส่วนตัวแบบไหนกับซูโย่วอี๋

อย่างน้อยความสัมพันธ์ไม่ได้ดีถึงขนาดมาเยี่ยมกันทั้งครอบครัวแบบนี้หรือเปล่า

หรือเพราะลู่เฉิน?

แต่ฮัวจิงรีบทิ้งความคิดนี้ไป

เจ้านายของฮันเจ๋อหยางคือลู่เฉิน ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่จะมาเยี่ยมซูโย่วอี๋ แต่ฮันเจ๋อเหยียนและสามีภรรยาฮันก็มาด้วย เรื่องนี้ต้องมีอะไรแน่ ๆ

“มีใครมาอีกไหม?”

พนักงานต้อนรับยืนยันอีกครั้งว่า “[ไม่ค่ะ]”

ฮัวจิงวางสายโทรศัพท์และกดหมายเลขบนโทรศัพท์ของสำนักงานอย่างชำนาญ

ในช่วงเวลาที่เสียงรอสายดังขึ้น ฮัวจิงก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นเรื่อย ๆ

“[ฮัลโหล? คุณไม่รู้เหรอคะว่ามันเสียมารยาทที่จะโทรมาตอนกลางดึกแบบนี้?]”

น้ำเสียงของเธอยังคงมีเสน่ห์เช่นเคย

ฮัวจิงอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น “ผมเอง”

“อย่าเพิ่งวางสาย มีบางอย่างเกิดขึ้นกับซูโย่วอี๋”

ซูหยินหยุดชะงัก “[วันนี้ฉันติดต่อเธอแล้ว]”

ความหมายคือเธอไม่เชื่อคำพูดของฮัวจิง

“ผมส่งประวัติการรักษาให้คุณได้ คุณจะได้รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง”

ซูหยินเชื่อเกินครึ่งไปแล้ว

ไม่น่าแปลกใจที่ซูโย่วอี๋ไม่ตอบกลับเลยตอนเธอบอกโย่วอี๋เรื่องการขอแต่งงานเมื่อคืนนี้

ซูหยินถามขึ้นอีกครั้ง “[เกิดขึ้นกับเธอเมื่อไหร่?]”

“เมื่อคืน”

จริง ๆ ด้วย

“[โย่วอี๋อยู่ที่โรงพยาบาลเป๋าไป่เหรอ?]”

“ใช่”

ฮัวจิงเหมือนพยายามล่อปลามาติดกับ “อะไร? คุณไม่อยากแม้แต่จะเข้ามาที่โรงพยาบาลเป๋าไป่เพราะผมงั้นเหรอ?”

ซูหยินตัดสายอย่างไร้เยื่อไย ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไป

เธอจะไม่เมินซูโย่วอี๋เพราะคนอย่างเขาเด็ดขาด

ขับรถไปได้ครึ่งทาง ซูหยินสังเกตเห็นแหวนในมือของเธอ และทันใดนั้นก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมา

เธอมีกู่อวี๋เฉินแล้ว เธอไม่กลัวอะไรทั้งนั้น

หลังจากจอดรถแล้ว ซูหยินรีบเดินเข้าไปในโรงพยาบาล หลังจากรู้ห้องของซูโย่วอี๋ที่แผนกต้อนรับ ก็ขึ้นลิฟต์ตรงไปที่ชั้นบนสุด

เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ฮัวจิงก็ยืนอยู่ตรงนั้น

เขามองเธอพร้อมกับยกยิ้ม ราวกับว่าเขามารอต้อนรับเธอเป็นพิเศษ

คิ้วของซูหยินเย็นเยียบและแข็งกระด้าง เธอเหลือบมองเขาและเดินผ่านไป

“ซูหยิน ไม่เจอกันนานเลย”

“ผมคิดถึงคุณ”

ซูหยินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ผู้อำนวยการฮัว สบายดีไหมคะ?”

ฮัวจิงทำเป็นหูหนวกกับคำพูดทิ่มแทงของเธอ “ถ้าซูโย่วอี๋ไม่อยู่ที่นี่ คุณจะไม่มาเจอผมอีกตลอดชีวิตงั้นเหรอ?”

“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบคุณ”

ซูหยินก้าวไปสองก้าวและถูกฮัวจิงดึงตัวเอาไว้ “คุณไม่อยากได้ยินอาการของเธอเหรอ?”

“ฉันมีปาก ฉันถามเองได้”

“เธอไม่ได้บอกคุณเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเธอ แล้วเธอจะบอกความจริงเกี่ยวกับอาการของเธอกับคุณได้ยังไง?”

ซูหยินยิ้ม “งั้นคุณจะบอกฉันตรง ๆ เหรอคะ? ฉันโง่แค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว แทนที่จะเสียเวลากับคุณ ฉันยังเชื่อใจเธออยู่”

“แล้วก็นะ ผู้อำนวยการฮัว วิธีการที่คุณทำตอนนี้น่ะ มันช่างน่าสมเพชจริง ๆ”

ทุกคำทุกประโยค

มันแทงทะลุหัวใจของเขา

ฮัวจิงรู้มาตลอดว่าเธอชอบพูดทำร้ายจิตใจ แต่ในวันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสมัน

แสงไฟตกกระทบกับแหวนบนมือของซูหยินจนส่องประกายสะท้อนแสง ซึ่งดวงตาของฮัวจิงก็ถูกแสงนั้นแผดเผา

เขาดูงุนงง “กู่อวี๋เฉิงขอคุณแล้วเหรอ?”

ซูหยินยกมือเรียวขึ้นแล้วโบกเล็กน้อย “ใช่ค่ะ ฉันกำลังจะแต่งงาน”

อาจเป็นเพราะรอยยิ้มบนใบหน้าของซูหยินสดใสเกินไป ฮัวจิงจึงเหมือนจะหายใจไม่ออกเล็กน้อย

“คุณตกลงหรือยัง?”

“ใช่” ซูหยินพยักหน้ารับ “ถ้าถึงวันนั้น ว่าง ๆ ผู้อำนวยการฮัวมาดื่มไวน์ฉลองแต่งงานได้นะคะ”

ฮัวจิงหลุบตาลง “ซูหยิน ผมทำผิดแค่ครั้งเดียว คุณจะไม่ให้โอกาสได้แก้ไขเลยเหรอ?”

“ผมยอมรับว่าตลอดสี่ปีที่คุณอยู่กับผม ผมไม่สนใจคุณมากพอ คิดว่าเงินและอำนาจจะผูกมัดคุณไว้ข้าง ๆ ผมได้ แต่ผมรักคุณจริง ๆ นะ”

“รักเหรอ?”

มันคงเป็นเรื่องตลกครั้งใหญ่

“ฮัวจิง คุณรักตัวเองเท่านั้น แม้แต่ตอนนี้ คุณยังเอาแต่บอกว่าคุณรักฉัน ตัวคุณยังไม่ชัดเจนเลย”

“ใช่ คุณสามารถพูดว่าคุณรักฉันได้ แต่ฉันจะไม่รักคุณอีกต่อไปแล้ว”

คำว่ารักที่ช้าเกินไป มันไร้ค่าเสียยิ่งกว่าต้นหญ้า

เธอจะไม่ทนอีกต่อไป

เชิญอยู่ในที่ของคุณต่อไปเถอะ

ซูหยินจ้องมองเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันหลังจากไป

“คนที่คุณจะแต่งงานด้วย ขอให้เป็นผมได้ไหม”

“ผมจะหย่ากับจิ้งหว่านแล้วแต่งงานกับคุณ”

ซูหยินมองเขาอย่างรังเกียจ เธอเพิ่งรู้ว่าภรรยาของเขาเพิ่งแท้งลูก แต่ชายคนนี้กลับพูดเรื่องหย่าร้างและแต่งงานใหม่ได้อย่างไรกัน?

น่ารังเกียจ!

“ขอโทษด้วยค่ะ แต่ฉันไม่ต้องการของเหลือ”

เธอเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็มาถึงห้อง ๆ หนึ่ง เพราะมีกระจกสำหรับดูข้างในที่ประตู แต่ข้างในกลับมืดมิด

หลับอยู่เหรอ?

ซูหยินเคาะประตูเบา ๆ และพยาบาลก็เข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณเป็นใครคะ?”

“ฉันมาเยี่ยมซูโย่วอี๋”

“ตอนนี้ดึกมากแล้วค่ะ คุณซูหลับไปแล้ว พรุ่งนี้ค่อยกลับมาใหม่นะคะ”

แต่ซูหยินคงนอนไม่หลับถ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ช่างเถอะ ถึงไม่รู้ก็ต้องเข้าไปดูให้อุ่นใจ

“ฉันจะไม่ปลุกเธอค่ะ”

พยาบาลลังเล “ฉันจะไปขอคำแนะนำจากคุณลู่ก่อนนะคะ”

หืม?

ลู่เฉินอยู่ที่ไหน?

ซูหยินเรียกนางพยาบาลไว้ “คุณพาฉันไปพบเขาได้ไหม”

บางทีลู่เฉินอาจรู้เรื่องซูโย่วอี๋มากกว่า

“ถ้าอย่างนั้นคุณเข้ามารอในห้องนั่งเล่นก่อนนะคะ ฉันจะไปเชิญคุณลู่มา”

หลังจากที่ซูหยินเข้าไปในห้องแล้ว เธอก็เดินเข้าไปในห้องของซูโย่วอี๋อย่างเงียบ ๆ และมองดูอยู่พักหนึ่ง

อีกฝ่ายกำลังนอนหลับท่ามกลางแสงสลัว เธอมองไม่เห็นอะไรเลย

จากนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านหลัง

ซูหยินหันกลับมา ก็เห็นลู่เฉินยืนอยู่ข้างหลังเธอ

“มากับผม”

ในห้องนั่งเล่น เสียงลู่เฉินก็กลับมาพูดเสียงปกติอีกครั้ง “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

“แต่ละคนปากแข็งกันซะจริง ฉันเพิ่งรู้ข่าวเลยมาป่านนี้น่ะค่ะ”

“เกิดอะไรขึ้นกับโย่วอี๋?”

ลู่เฉินไม่ตอบ แต่มองไปที่นางพยาบาล “คุณออกไปก่อน”

ขณะนี้เหลือกันเพียงสองคนในห้องนั่งเล่น “โย่วอี๋ไปงานเลี้ยงฉลองกับสถานีโทรทัศน์เมื่อคืนนี้ และถูกพาตัวออกไปหลังจากที่เธอหมดสติ”

หัวใจของซูหยินเจ็บปวด “เธอ…”

ซูหยินอยากถามแต่ก็ไม่กล้า

“โย่วอี๋สบายดี” ลู่เฉินพูดเบา ๆ

อย่างน้อยก็ไม่เลวร้ายที่สุด

ซูหยินถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีแล้ว”

เธอไม่ได้ถามว่าใครกล้าวางแผนทำร้ายซูโย่วอี๋และเธอไม่สนใจว่าคนร้ายจะถูกจัดการยังไง

เพราะซูหยินเชื่อว่าลู่เฉินจะรับมือได้ดี

ก็แค่…

“ฉันรู้ว่าที่เสี่ยวอี๋ไม่บอกฉันเพราะกลัวว่าฉันจะกังวล แต่ครั้งหน้า…”

“ได้โปรดอย่าปิดบังอะไรที่เกี่ยวกับโย่วอี๋จากฉันเลยนะคะ”

“ตกลง”

ซูโย่วอี๋ตื่นขึ้นในตอนเช้าและเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของซูหยิน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอมีความสุขแค่ไหน

“หยินหยิน เธอมาเมื่อไหร่น่ะ?”

“ ยัยคนใจร้าย ยิ่งเธอไม่บอกฉันมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ฉันจะเป็นห่วงมากกว่าเดิมนะ รู้ไหม?”

ซูโย่วอี๋แลบลิ้นออกมาเหมือนเด็กที่ทำผิด “แต่ฉันสบายดีแล้ว”