บทที่ 231 พบบรรพชนเซียน

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 231 พบบรรพชนเซียน

ขณะเดินไปข้างหน้า ทั้งสองได้เดินผ่านเหล่าภูตผีไป

บนชายฝั่งของแม่น้ำแห่งความตาย ภูตผีคล้ายกับถูกสะกดเอาไว้ ทำให้มีความดุร้ายน้อยลง พวกมันจึงไม่เข้ามาโจมตีไป๋ชิวหรานและเจียงหลานผู้เป็นคนแปลกหน้าสองคน

ทั้งสองเดินอยู่สักพัก แม่น้ำแห่งความตายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ในที่สุดก็มียมทูตบางตนอยู่ที่สุดขอบแม่น้ำแห่งความตาย พวกเขายกเรือไม้และวางไว้ตรงชายฝั่งของแม่น้ำแล้วถ่ายทอดคำสั่งให้ภูตผีเหล่านี้ขึ้นเรือ

อย่างที่เห็น ยมทูตเหล่านี้ยุ่งมาก พวกเขาต้องปล่อยภูตผีไร้ระเบียบให้ขึ้นเรือ พาพวกมันข้ามแม่น้ำแห่งความตาย ขณะพวกเขาสองคนมองออกไปข้างหน้า บนแม่น้ำแห่งความตายสีเลือดคือยมทูตที่พาภูตผีข้ามแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นยมทูตตนหนึ่งผู้มีสายตาคมปลาบสังเกตเห็นพวกเขาสองคน จึงตะโกนว่า

“ช้าก่อน! พวกเจ้าสองคนนั้นน่ะ มาที่ยมโลกได้อย่างไร?”

ขณะถาม เขาวางไม้พายในมือลงบนเรือแล้วผูกเรือแล้วปล่อยไว้ริมตลิ่ง จากนั้นดึงโซ่รอบเอวอย่างอาจหาญและเดินมาหาพวกเขาสองคน

หลังจากเขาเดินออกมาจากเรือ มีภูตผีจำนวนมากกำลังต่อแถวขึ้นเรือ แต่ทันทีที่มือของพวกมันแตะเรือ ขณะนั้นไม้พายเรือลอยหวือขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนพาภูตผีเหล่านี้ทั้งหมดล่องไปตามแม่น้ำแห่งความตาย

แม่น้ำสีเลือดไหลเชี่ยวกราก ในบรรดาคลื่นโลหิต สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นแล้วกลืนกินภูตผีเหล่านี้ที่มุ่งไปข้างหน้าเข้าไป

“คนเป็นหรือ?”

ยมทูตเดินเข้าใกล้ จนกระทั่งมาถึงตัวพวกเขาสองคนแล้วลากสายตามองขึ้นลงก่อนจะถามว่า

“พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

ขณะที่ไป๋ชิวหรานกำลังคิดหาเหตุผล เจียงหลานผู้ยืนอยู่ด้านข้างพลันก้าวมาข้างหน้า ขณะนั้นลำแสงไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้นที่หลังศีรษะของนาง รวมตัวเป็นกงล้อแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์สีน้ำเงินขึ้นมา

เมื่อเห็นวงแสงนี้ สีหน้าของยมทูตตนเผือดวูบลงแล้วโค้งคำนับ

“เป็นท่านนี่เอง ขออภัย”

“ไม่ต้องสุภาพ”

เจียงหลานส่ายหน้า จากนั้นถามอีกฝ่ายด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“ข้ามายมโลกเพื่อเยี่ยมสหาย พอจะสะดวกช่วยหรือไม่?”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ยมทูตหันศีรษะแล้วชำเลืองมองกลุ่มภูตผีที่เขาเพิ่งรับหน้าที่ดูแล

“ขอโทษที ข้ามีธุระติดพัน รบกวนท่านไปคนเดียวแล้วกัน”

เขารีบวิ่งกลับไปที่ที่จากมาเมื่อครู่ จากนั้นเริ่มรักษาความสงบเรียบร้อย

“นี่มันอะไรน่ะ?”

ขณะมองวงแสงที่อยู่ด้านหลังศีรษะของภรรยา ไป๋ชิวหรานจึงถามด้วยความสงสัยว่า

“นี่เรียกว่าภาพสมบัติเซียนกวง มันคือการฝึกฝนไปสู่การเป็นท่านเซียน นั่นคือหลักธรรมที่ปรากฏอยู่เหนือแคว้นหลุนฮวายเท่านั้น”

เจียงหลานอธิบายให้ไป๋ชิวหรานฟัง

“หมายความว่าแคว้นนี้ที่ได้รับมาจากเจ้าโดยเฉพาะ แต่เจ้ากลับไม่รู้งั้นหรือ?”

“ตอนนั้นข้าเพียงไปคฤหาสน์ม่วง… ยังไม่ได้รับรู้ถึงรูปลักษณ์เสียหน่อย”

ไป๋ชิวหรานชำเลืองมองวงแสงด้านหลังศีรษะของเจียงหลานด้วยความอิจฉาขณะพึมพำว่า

“ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะมีแสงสว่างเหมือนกัน”

“อืม”

เจียงหลานลูบหน้าเขาพร้อมกับยิ้มให้

ไป๋ชิวหรานควบคุมกระบี่บิน ทะยานข้ามแม่น้ำแห่งความตายกับเจียงหลาน ที่จริงมีข้อจำกัดเหนือแม่น้ำแห่งความตาย ผู้ฝึกยุทธ์คนใดที่ระดับการฝึกฝนต่ำกว่าระดับเซียน ย่อมทะยานมายังที่นี่ไม่ได้

นี่เป็นข้อห้ามที่วิถีสวรรค์กำหนดไว้ด้วยตัวเอง ไม่ได้สั่งห้ามมากนัก ค่อนไปทางกฎระเบียบ แต่กฎนี้ไม่ได้เป็นผลดีนักเมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋ชิวหราน เพราะชายผู้นี้คือผู้สร้างยมโลก… เป็นธรรมดาที่จะมีภูมิต้านทานจากทุกกฎที่นี่

ขณะข้ามแม่น้ำแห่งความตาย ในที่สุดยมโลกที่แท้จริงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าไป๋ชิวหราน บนดินแดนแห้งแล้ง มันถูกก่อตั้งโดยภูตผีและเซียนรุ่นหลังในฐานะเมืองรุ่งโรจน์ แม้กระทั่งนภาหมองหม่นยังถูกประดับประดาด้วยหมู่ดาวที่ถูกพวกมันสร้างขึ้นด้วยพลังเหนือธรรมชาติยิ่งใหญ่ ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นแสงสว่างสาดส่อง

เมืองนี้เหนือกว่าทุกเมืองในเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน ในความทรงจำของไป๋ชิวหราน มีเพียงตำหนักสวรรค์จากยุคเทพเท่านั้นที่สามารถเหนือกว่ามันได้

“นี่คือเมืองภูตผีเฟิงตู วิหารเหยียนหลัวอยู่ที่ชานเมืองอยู่ใกล้กับแม่น้ำแห่งความตาย นั่นคือสถานที่ที่เจ้าขอให้ไป๋ลี่สอนสั่งหลักธรรม”

เมื่อมาถึงที่นี่ เป็นเจียงหลานที่เริ่มชี้ทาง ขณะบอกทาง นางก็อธิบายให้ไป๋ชิวหรานฟัง

“มันอยู่ใกล้กับแม่น้ำแห่งความตาย อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับสังสารวัฏหกวิถีที่คอยตัดสินภูตผีที่ข้ามแม่น้ำ และปล่อยให้พวกมันไปเกิดใหม่ในหกภพ”

“อื้ม ไม่เลว”

ไป๋ชิวหรานมองเมืองที่สว่างไสวใต้เท้า ในใจของเขาบังเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขณะถามว่า

“พวกเราจะไปที่ใดต่อ?”

“ไปหาสหายเก่าบางคน พวกเขาล้วนถอนตัวมาอยู่ในยมโลกแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในยมโลกเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาคงจะรู้บางอย่างแน่นอน”

หลังจากเจียงหลานพูดจบ นางนำทางไป๋ชิวหรานไปพาลงจากอากาศสู่สุดขอบของเมืองภูตผีเฟิงตู มีการลาดตระเวนในเงามืดบนนภา แต่เมื่อเห็นวงแสงอยู่หลังศีรษะของเจียงหลาน พวกมันล้วนถอยห่างออกมา

ทั้งสองเคลื่อนลงบนถนนในเมือง มีภูตผีจำนวนมากไม่อยากอาศัยอยู่ที่นี่ ทว่าบางส่วนอยากอาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน ที่นี่พวกมันร่วมแรงกันสร้าง

ครอบครัวขึ้นหลังจากตายไปแล้ว ใช้ชีวิตเหมือนกับตอนอยู่ที่โลก อีกทั้งภูตผีรุ่นหลังเหล่านี้ได้รับพรจากสวรรค์ ทำให้มีพลังในการสืบพันธุ์ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตและสามารถมีลูกได้

“แค่การเกิดใหม่ของภูตผีนั้นยากกว่า ยังไงซะมันคือกระบวนการกลับชาติมาเกิดจากความตาย”

เจียงหลานกล่าว

จากนั้น นางลูบท้องช่วงล่างอีกครั้งด้วยความถวิลหา

“ลูกของข้า…”

“อย่างนี้นี่เอง มีประตูทางเข้าที่นี่ด้วย”

ไป๋ชิวหรานแตะคางพลางครุ่นคิด

“หากทำการค้นคว้าอย่างละเอียด กฎแห่งความเป็นความตายย่อมไม่มีปัญหาสำหรับข้าเหมือนกัน”

เจียงหลานมองเขาด้วยสีหน้าหงุดหงิด ไป๋ชิวหรานมองกลับด้วยความประหลาดใจ

จากนั้น ทั้งสองก็มาถึงลานขนาดเล็กข้างถนน ลานขนาดเล็กนี้ถูกสร้างบนทางลาดที่สูงกว่าอาคารหลังอื่นเล็กน้อย มันดูโดดเดี่ยว แต่จากภายนอก มันไม่ได้แตกต่างจากอาคารหลังอื่น

เจียงหลานเดินไปที่ประตูก่อนยกมือขึ้นเคาะไปเบา ๆ จากนั้นเสียงฝีเท้าร้อนรนในลานก็ดังขึ้น ไม่นานมีเด็กผู้หญิงในชุดซอมซ่อวิ่งมาเปิดประตูให้พวกเขาทั้งสอง จากนั้นถามด้วยความสงสัยว่า

“พวกท่านสองคนมาหาใครหรือ?”

“ไม่ทราบว่านายท่านอิ๋นอยู่หรือไม่?”

เจียงหลานถามเด็กผู้หญิงอย่างอ่อนโยน

“ท่านปู่ มีคนมาหาท่าน”

เด็กผู้หญิงหันศีรษะแล้วตะโกนไปที่ลาน จากนั้นรีบวิ่งกลับไป

“ไอ้หยา ข้าเกือบลืมโซ่ตัวเองเลย!”

นางค้นดูกล่องข้างใน หยิบโซ่ออกมาแล้วกล่าวขอโทษเจียงหลานและไป๋ชิวหราน ก่อนรีบวิ่งไปที่ลานอีกครั้งมุ่งหน้าไปทางสู่วิหารเหยียนหลัว

“ช่างเป็นเด็กที่ไม่ระวังเอาเสียเลย”

เจียงหลานส่ายหน้า จากนั้นจึงพาไป๋ชิวหรานไปที่ลาน

“เด็กผู้หญิงคนนี้นี่ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครกันที่มาหา… สหายคนไหนที่มาหาชายชรางั้นหรือ?”

ตอนนี้ มีชายชราผมและหนวดสีขาวผลักประตูห้องในลานออก เขาเดินออกมาขณะส่ายหน้า

เมื่อเห็นเจียงหลานก่อนจะรีบปรี่เข้าไปคำนับให้นาง

“เป็นจักรพรรดินีฝูซางนี่เอง ท่านมาโดยไม่บอกกล่าวให้ชายชราทราบ ข้าจะได้เตรียมตัวเตรียมใจเสียหน่อย”

“นายท่านอิ๋นไม่ต้องสุภาพเช่นนี้ มันดูไม่เหมาะกับท่านเท่าไรนัก”

เจียงหลานส่ายหน้าก่อนจะก้าวไปด้านข้าง เพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นไป๋ชิวหรานที่อยู่ด้านหลัง

“ดูสิ ว่าใครมา?”

ชายชราเงยหน้าขึ้น หลังจากมองไป๋ชิวหรานอย่างพินิจพิเคราะห์ ทว่าทันใดนั้นต้องตกตะลึง ก่อนหลั่งน้ำตาด้วยความยินดี

เขาคุกเข่าลงทันที คำนับให้กับไป๋ชิวหรานอย่างจริงจังและตะโกนว่า

“ชายชราอิ๋นผู้ต่ำต้อย ขอคารวะบรรพชนเซียน!”