ตอนที่ 103 ความไม่รู้

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 103 ความไม่รู้

「อะไรกัน..!」

อดีตผู้ดูแลของผมและเพื่อนร่วมรุ่นทองคำทั้งสอง ต่างเบิกตากว้างราวกับไม่เชื่อในภาพที่ผมตัดหัวของไฮดรากระจุยจนหมด อันที่จริงพวกเขาก็น่าจะรู้แหละว่าผมแตกต่างไปจาก 5 ปีก่อนแน่ๆ แต่ก็คงไม่คิดว่าผมจะแกร่งถึงขนาดฆ่าเจ้ามังกรนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว

เห็นได้เห็นหน้าเจ้าพวกนี้เป็นแบบนี้แล้วรู้สึกสบายใจชะมัด

ผมสะบัดอาภรณ์วิญญาณเพื่อให้เลือดกระเด็นออกจากใบดาบไป ก่อนที่จะหันไปพูดกับทั้งสามคน

「จะช่วยฉันงั้นเหรอ….ของแบบนั้นไม่เห็นจะจำเป็นเลยสักนิด」

ผมเย้ยหยันพวกเขากลับไป ก่อนที่โกซุจะตอบกลับคำของผมด้วยสีหน้าที่ชื่นชมแทน

「ทำเอาข้าแทบพูดไม่ออกเลย แต่พอให้เห็นการเติบโตของท่านข้าก็เข้าใจดีแล้ว แม้จะไม่คาดคิดมาก่อนว่าท่านจะสามารถรับมือกับสิ่งมีชีวิตในตำนานได้ด้วยตัวคนเดียว คงมีแค่คำว่าน่าทึ่งที่สามารถมอบให้ท่านได้ นายท่านเองก็คงจะยินดีมากอย่างแน่นอน นอกจากนี้หากนับรบคนอื่นของเกาะได้ยินวีรกรรมของท่าน พวกเขาจะต้องยินดีต้อนรับท่านโซระกลับไปเป็นแน่」

「…คิดว่าฉันมีความสุขที่ได้ยินนายพูดแบบนี้หรือไง? 」

ผมตอบกลับอย่างเย็นชาไปยังโกซุที่พูดอะไรไร้สาระออกมา แต่โกซุก็ไม่ได้ลดความพยายามลงเลย

「นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากเลยนะครับ ท่านโซระ ถึงแม้จะเป็นการตัดสินใจของนายท่านก็จริง แต่หากเป็นตอนนี้การจะเรียกคืนตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลกลับมาก็คงไม่ใช่แค่ฝันแล้วแน่นอน!!」

「….หืม」

อันที่จริงผมก็กะจะขำใส่อีกหรอกนะ แต่พอได้ยืนคำว่า “ผู้สืบทอด” มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะอดคิดถึงเหมือนกัน

ก็ไม่ใช่ว่าผมยึดติดอะไรกับตำแหน่งผู้สืบทอดนั่นหรอกนะ แค่มันแอบทำให้ผมนึกถึงภาพที่ตัวเองกลับเกาะไปในฐานะดราก้อนสเลเยอร์และผู้สืบทอด เพื่อหักหน้าไอ้คนที่มันเคยทรยศผม นั่นแหละสิ่งที่ผมต้องการเมื่อ 5 ปีก่อน หากผมได้อาภรณ์วิญญาณทันทีตั้งแต่ถูกเนรเทศออกจากเกาะเลย ผมก็คงตอบรับคำเชิญของโกซุได้ไม่ยาก

พอเห็นว่าผมแสดงท่าทีตอบสนองต่อคำพูดของเขาบ้าง โกซุก็เริ่มพยายามพูดต่อด้วยความกระตือรือร้น

ผมจึงได้ทำการยกมือซ้ายขึ้นเพื่อขัดเขาไว้ก่อน เรื่องนี้ควรจะหยุดไว้เท่านี้ อดีตมันก็คืออดีต ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ก็จริงว่าผมตั้งใจจะกลับไปที่เกาะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ในแบบที่โกซุหวังเอาไว้แน่นอน ดังนั้นผมคงตอบรับคำเชิญตอนนี้ของเขาไม่ได้หรอก

พอตั้งสติให้ดี จิตใจที่สั่นคลอนจากคำพูดเมื่อกี้ก็กลับมามั่นคงแล้ว

「โกซุ หากพวกนายมาอยู่ที่นี่แล้ว แปลว่าทางนั้นจัดการเสร็จหมดแล้วเหรอ? 」

ผมเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทนการ กลับไปที่เกาะ ถึงโกซุอยากจะพูดอะไรต่อก็เถอะ แต่ผมไม่สนหรอกนะ

ทำไมโกซุถึงมาปรากฏตัวก่อนที่ไฮดราจะถูกปราบลงได้กัน ทั้งๆ ที่มันคือสาเหตุของอาการคลั่ง

ถ้าจำไม่ผิดที่ผมตกลงกับเขาไว้คือผมจะไปจัดการไฮดรา ส่วนพวกเขาก็รับมือที่แนวป้องกันไป แต่พอเขามาทำลายสัญญากันแบบนี้ผมชักคิดแล้วสิว่าตัวเองควรรีบกลับไปเมืองอิชกะให้เร็วที่สุด

ผมกำดาบของผมเอาไว้แน่นเหมือนเตรียมตัว ส่วนทางโกซุก็พยักหน้าให้กับผม

「ไม่ต้องเป็นห่วงครับ พวกข้ามั่นใจแล้วว่าได้กำจัดมอนสเตอร์ที่บุกเข้ามาผ่านแนวป้องกันในช่วง 3 วันที่ผ่านมาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ข้อยืนยันก็คือเมื่อเข้ามาในป่า พวกข้าพบเพียงแค่มอนสเตอร์ไม่กี่ตัวเท่านั้น」

ัที่โกซุจะบอกก็คือ ถึงจะเป็นทหารหรือนักผจญภัย หากเป็นจำนวนมอนสเตอร์ที่เหลืออยู่ในตอนนี้พวกเขาก็คงรับมือกันได้ไม่ยาก

จากที่ผมดูพวกเขาก็ไม่ได้โกหกซะด้วย ถึงผมจะมีเรื่องกับโกซุมาเยอะ แต่ผมก็รู้นิสัยของเขาดีว่าไม่ใช่พวกที่พูดโกหก

เอาละที่นี้เรื่องไฮดรากับมอนสเตอร์คลุ้มคลั่งก็จบลงได้สักที

แน่นอนว่าปัญหาไม่ใช่ว่าจะถูกสะสางได้ตามไปด้วย ถึงไฮดราจะถูกจัดการไปแล้ว แต่พิษของมันก็ยังเหลืออยู่ การปนเปื้อนภายในป่าทีทิสเรียกได้ว่าน่าสิ้นหวัง แม่น้ำเคลก็มีแน้วโน้มที่ไม่ต่างกันนัก

ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่แค่เมืองอิชกะ แต่เป็นอาณาจักรคานาเรียอาจจะถึงจุดจบแล้วก็ได้แฮะ หากยังแก้ปัญหากันไม่ได้

เอาเถอะ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องมาแบกรับคนเดียวสักหน่อย ไฮดราที่เป็นสาเหตุหลักก็ตายไปแล้วด้วย ส่วนที่เหลือผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนใหญ่คนโตเขาแล้วกันมีจะหาทางออกกันยังไง พวกเขามีทั้งเงิน อำนาจและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้วนี่เนอะ

แต่ว่าหนึ่งในคนใหญ่คนโตพวกนั้นก็มีคนที่ผมรู้จักด้วยสิ

แอสทริด คลอเดีย ดยุกดรากูนอท เหล่าชนชั้นสูงแห่งอาณาจักร ไหนจะมีนักบวชซาร่าที่เป็นนักบวชของวิหารเทพแห่งกฎหมายอีก

หากผมเดินไปบอกพวกเขาว่า “ที่เหลือฝากด้วยนะครับ ผมไปละ” ก่อนจะชิ่งหนีไปประเทศอื่น คงได้ทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมาหมดแน่ นอกจากนี้สถานการณ์ที่ยากลำบากหลังจากนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องใช้ดาบในการแก้ไขด้วย

นอกจากนี้หากผมทำในนามของดาบควันโลหิต ชื่อเสียงของผมที่มีในอาณาจักรคานาเรียก็จะสูงขึ้นไปอีกจนไม่สามารถแตะต้องได้ง่าย แถมยังเป็นการตอกหน้าพวกคนที่เคยทอดทิ้งผมไปด้วย ทำให้พวกมันได้รู้สักทีว่าผมมีคุณค่าขนาดไหน

หลังจากคิดถึงสิ่งที่จะได้เสียจากนี้แล้ว ผมก็มองไปยังโกซุและคนอื่นๆ อีกครั้ง

「ถ้างั้น โกซุนายตั้งใจจะกลับไปที่เกาะเพื่อรายงานเรื่องที่เจอสิ่งมีชีวิตในตำนานที่อิชกะนี้ด้วยสินะ」

「ครับ คงเป็นตามที่ท่านพูด อันที่จริงหากเป็นไปได้ข้าก็อยากจะให้ท่านโซระไปกับพวกเราด้วย」

「งั้นเหรอ」

ผมพยักหน้าให้กับเขา โดยไม่ได้สนใจคำพูดส่วนหลัง

หากโกซุกับคนอื่นกลับไปยังเกาะสำเร็จ ก็หมายความว่าตระกูลมิตสึรุกิจะรู้ว่าผมเป็นคนฆ่าจินโบ และมังกร นอกจากนี้เรื่องที่มีคิจินอย่างซูซูเมะอยู่กับผมด้วยก็คงไม่รอด

ถ้าปล่อยไปมันคงจะสร้างความลำบากให้กับผมมากกว่าด้วยสิ หรือผมควรจะทำให้พวกเขาเงียบไปตลอดกาลเลยดีนะ

เดิมทีที่สงบศึกกันไว้ชั่วคราวเมื่อ 3 วันก่อนก็เพราะเรื่องนี้ ระหว่างที่ผมจัดการกินไฮดรา ทางเมืองก็ต้องมีคนคอยป้องกันไว้ด้วย ให้ตายสิพอติดหนี้คนพวกนี้เข้าจะให้ฆ่าทิ้งเลยก็ไม่ไหวแฮะ

ก็จริงว่าสัญญาสงบศึกคงจบไปแล้วตั้งแต่ที่ไฮดราตายลง พวกคนพวกนี้จะกลับไปโจมตีซูซูเมะและฆ่าคนอื่นๆ ต่อ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือฆ่าพวกเขาที่นี่ ตรงนี้ก็ไม่มีใครเห็นด้วย เรื่องศพก็ให้พิษแถวนี้จัดการไป สถานการณ์ทุกอย่างตอนนี้มันเป็นใจให้ผมมาก

นอกจากนี้นักรบจากธงแห่งผืนป่าทั้ง 3 ก็จะกลายเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงผมจนอิ่มด้วย – หากเป็นเมื่อ 3 วันก่อนผมก็คิดแบบนั้นแหละ

แต่ตอนนี้ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างผมเริ่มฆ่าพวกเขาไม่ลงแล้วสิ เรื่องที่อยากจจะปิดปากคนพวกนี้มันก็พลอยหายไปด้วยซะอย่างงั้น

นั่นสินะถึงจะรู้ว่าผมเป็นคนฆ่าจินโบ สังหารมังกรได้ แล้วก็มีคิจินอย่างซูซูเมะอยู่ด้วย แล้วมันจะทำไมกันล่ะ

หากตระกูลต้องการตัวผมกับซูซูเมะจริง ก็ลองเข้ามาเลยสิ ถึงจะเป็นคนของโกซุ หรือกองกำลังหลักของธงทั้ง 8 เกาะเถอะ ผมที่จัดการสิ่งมีชีวิตในตำนานมาได้แล้วจะไปกลัวอะไรล่ะ

เอาเป็นว่าเลิกคิดเรื่องปิดปากคนพวกนี้ไปแล้วกัน นอกจากนี้คงจะบันเทิงไม่น้อยหากได้นึกถึงหน้าของพวกคนในเกาะที่รู้เรื่องของผมและความแข็ง นายร่งจากปากของโกซุ

อันที่จริงหากเป็นเมื่อ 3 วันก่อนหากผมฆ่าโกซุกับอีกสองคนไปเลเวลของผมก็คงเพิ่มแหละ แต่ผมมั่นใจเลยว่าหากเป็นตอนนี้ถึงผมจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดไป เลเวลของผมก็คงไม่ขยับขึ้นสักเลเวลแน่นอน พอรู้แบบนี้เหตุผลในการฆ่าก็น้อยลงไปอีก เอาเป็นว่าถ้าพวกเขาไม่หาเรื่องต่อก็ปล่อยให้มันจบตรงนี้แล้วกัน

บอกไว้ก่อนนะ ถึงผมจะคิดแบบนั้นแต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยพวกเขาไปเฉยๆ นะเออ

「ถ้าพวกนายอยากจะกลับกันไปอย่างปลอดภัย ฉันจะยอมปล่อยไปก็ได้นะ แต่คงต้องถามอะไรสักหน่อย พวกนายรู้สึกเสียใจที่โจมตีซูซูเมะกับเพื่อนของฉันหรือเปล่า หากพวกนายมีความรู้สึกผิดกับเรื่องนี้แล้วยอมไปก้มหัวขอโทษพวกนั้น ฉันจะยกโทษให้」

คนที่ตอบออกมาก่อนไม่ใช่โกซุแต่เป็นคลิม อดีตเพื่อนร่วมรุ่นผมสีขาวดวงตาสีแดงบ่นออกมา

「โซระ นี่นายพูดไร้สาระอะไรออกมา คิดจริงหรือไงว่าคิจินเป็นเหมือนกับพวกกึ่งมนุษย์เฉยๆ น่ะ หากพวกเราปล่อยมันไว้ เชื่อเถอะว่าอีกไม่นานสิ่งมีชีวิตในตำนานตัวต่อไปได้นอนอยู่ข้างนายแน่ คิกฎนคือสิ่งที่อันตรายระดับนั้นเลยนะ แล้วนายยังจะโง่ยอมปกป้องมันอีกเหรอ」

คลิมพูดดูถูกผมอย่างชัดเจนและไม่รอให้ผมตอบกลับ เข้าได้เริ่มบ่นออกมาต่อทันที

「นอกจากนี้ ยัยเอลฟ์นั่นอันที่จริงควรจะตายไปตั้งแต่การโจมตีแรกด้วยซ้ำ ดวงดีจังเลยนะ ไหนจะยัยมนุษย์สัตว์กับจอมเวทที่ทำร้ายพี่สาวฉันอีก!!」

「ก็คือไม่คิดจะขอโทษกันเลยสักนิดสินะ」

ผมรับความเป็นปรปักษ์จากอีกฝ่ายด้วยความใจเย็น คลิมที่เห็นแบบนั้นก็หรี่ตาลงด้วยความสงสัย ผมหันไปมองทางไคลอาบ้าง แล้วเธอก็ค่อยๆ เปิดปากพูดอย่างช้าๆ

「ฉันเสียใจที่ทำร้ายทุกท่านไปยกเว้นคิจินตนนั้นค่ะ เพราะฉันคิดว่าการสังหารคิจินไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร อย่างที่คลิมบอก คุณโซระคะนั่นคือกฎเหล็กของผู้ใช้มายาดาบเดียวค่ะ พวกเราจำเป็นต้องสังหารพวกมันรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตในตำนาน」

「รวมๆ ก็คือไม่คิดขอโทษสินะ」

ส่วนทางโกซุคงไม่ต้องถามแล้วมั้ง ยังไงความตั้งใจทั้งหมดของเขาผมก็ได้ยินมาจากลิดเดลก่อนแล้วด้วย ไอ้คนที่ยอมเป็นอาชญากรเพื่อสังหารคิจินได้หน้าตาเฉยคงไม่ยอมก้มหัวขอโทษคิจินเอาตอนนี้หรอก

เอาเถอะคำถามแรกก็จบไปสักที

「เอาละ ที่นี้มาที่คำถามถัดไป หากอิงตามที่คลิมมันบอกดูเหมือนพวกนายจะรู้เรื่องของคิจินที่ฉันไม่รู้อยู่ด้วยสินะ บอกได้ไหมว่าคืออะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่สิ่งมีชีวิตในตำนานจะเกิดขึ้นมาข้างๆ ฉันได้」

จากที่คลิมพูดผมก็พอจะเดาๆ อันตรายที่เกิดขึ้นได้ บางทีเทพปีศาจอาจจะใช้ร่างของคิจินในการเป็นภาชนะของตนหรืออะไรทำนองนั้นแน่ๆ

แต่ว่ากันตามตรง หากซูซูเมะทำได้ขนาดนั้นจริง เธอคงใช้มันตั้งแต่ตอนที่โดนบาซิลิสก์โจมตีไปแล้ว

ก็แปลว่าเงื่อนไขไม่ใช่แค่ตัวซูซูเมะเท่านั้นที่จะทำได้ จากที่รู้มาเทพปีศาจที่ปรากฏตัวออกมาตลอดช่วง 300 ปีนี้ก็มีแค่ตัวเดียว หากหน้าที่ในการฆ่าคิจินของสำนักมายาดาบเดียวเป็นเรื่องจำเป็น ผมมองว่านั่นมันก็ทำได้แค่ลดโอกาสลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง คิดดูสิขนาดเมื่อก่อนคิจินมีอยู่มากมาย เทพปีศาจก็เกิดมาได้แค่ตัวเดียวเองนะ ไอ้แบบนี้มันเรียกว่าถ้าไม่เฮงจริงๆ ไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้เลยจะง่ายกว่าอีก

หรือบางที การปรากฏตัวของเทพปีศาจอาจจะมีหลายกรณีมากกว่านี้ก็ได้ แต่ทางตระกูลมิตสึรุกิแล้วก็จักรวรรดิจัดการไปหมดแล้วจนเหลือแค่นี้กันนะ

โกซุตอบคำถามของผมอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

「ท่านโซระ นี่คือความลับของทางตระกูลมิตสึรุกิครับ ข้าจึงไม่สามารถเปิดเผยมันให้ท่านฟังได้ หากท่านกลับไปที่เกาะแล้วบรรลุมายาดาบเดียวได้ จนสามารถเข้าถึงประตูปีศาจ เมื่อถึงตอนนั้น นายท่านจะเป็นคนบอกทุกอย่างกับท่านเอง」

「งั้นเหรอ ก็คือนายตั้งใจจะทำตามกฎตระกูลต่อไปละสังหารผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะกฎนั่นสินะ นอกจากนี้ก็คงไม่คิดจะขอโทษอะไรกันด้วยเพราะกฎนั่นเหมือนกัน เจตนาเบื้องหลังที่เข้ามาโจมตีก็พูดไม่ได้เพราะเป็นกฎ หากฉันอยากจะรู้อะไรเพิ่ม ก็ต้องทำตามที่พวกนายบอกแทนว่างั้นเถอะ」

หลังจากผมสรุปสิ่งที่โกซุอยากจะสื่อเสร็จ ผมก็ตะโกนใส่พวกเขา

「สุดท้ายทุกอย่างมันก็ตั้งขึ้นมาเอาตามความสะดวกของพวกนายแต่แรกแล้วนี่เนอะ แหม่ดีจริงๆ เลยนะ เอาสิหากพวกนายสะดวกกันแบบนั้น เดี๋ยวฉันก็จะทำตามที่ตัวเองสะดวกด้วยเลยเหมือนกัน」

หลังจากผมพูดจบ ผมก็จับดาบให้แน่นและถ่ายเทพลังคิลงไป

เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตนาร้ายของผม โกซุ คลิม และไคลอาก็เตรียมอาภรณ์วิญญาณของตนเพื่อเผชิญหน้ากับผม

คลิมเป็นคนแรกที่ก้าวนำออกมาจากกลุ่มคนทั้ง 3 เพื่อเผชิญหน้ากับผม เขาจ้องผมด้วยท่าทีที่คุกคามและพูดออกมา

「โซระ ฉันจะสอน นายไว้สักเรื่องหนึ่ง คงจะรู้สึกดีมากเลยนะสิที่ได้ฆ่าสิ่งมีชีวิตในตำนานไปเป็นครั้งแรก แต่อย่าง นายจะไปรู้อะไร ที่เกาะน่ะมีตัวที่สูสีกับสิ่งมีชีวิตในตำนานวิ่งอยู่เต็มไปหมด พวกฉันน่ะได้สู้กับมันเป็นประจำจนขนาดที่ นายก็คิดไม่ถึงเลย ดังนั้นคิดว่าดีแล้วจริงเหรอที่ นายมาแกว่งดาบใส่แต่พวกที่อ่อนแออย่างสนุกสนานน่ะ เรื่องคิจินนั่นก็ด้วย นายรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่าความไม่รู้มันก็คือบาปอย่างหนึ่ง และ นายก็เป็นคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแหละ」

ดูเหมือนว่าคลิมจะบ่นออกมาปนความขุ่นข้องใจของตัวเองด้วย พร้อมกับต่อว่าผมด้วยสีหน้าที่ดูบึ้งตึง

ดาบสีแดงในมือของคลิมกำลังตอบสนองต่อจิตวิญญาณต่อสู้ของเขา จากนั้นเขาก็คำรามออกมาด้วยเสียงที่กึกก้อง ความรุนแรงของเปลวเพลิงมันมากพอจะแผดเผาอากาศโดยรอบได้จนหมด

จากนิสัยของคลิมแล้ว เขาคงโจมตีผมได้โดยไม่ลังเลเลยสักนิด นอกจากนี้เรื่องตอนที่เขาแพ้ผมที่เมืองอิชกะก็คงทำให้เขาระวังตัวมากยิ่งขึ้น เพราะสายตาของเขาตนนี้จับจ้องไปยังดาบสีดำของผมอยู่

ก็ไม่แปลกอะไรนี่เนอะที่เขาจะระวังโซลอีทเตอร์ที่สามารถกลืนกินเปลวเพลิงขอคุริคาระได้

ในขณะที่ผมจ้องมองไปยังเขา ผมก็คิดด้วยว่าเขาน่าจะอย่างล้างตานัดก่อนมากแน่ๆ เพราะจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขามันพวยพุ่งออกมาซะขนาดนี้ ตอนนั้นผมก็เอาชนะเขาได้เพราะการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวเลยสิ หมอนี่คงไม่ยอมรับว่าแพ้เพราะความสามารถแน่ๆ นั่นเลยทำให้เขาต้องการจะล้างตามันเสียตอนนี้เลย

—พอได้เห็นหน้าตาที่จริงจังขนาดนั้นชักอยากขำแล้วสิ

เมื่อมองไปยังคลิมที่คิดว่าตัวเองสามารถยืนอยู่ในระดับเดียวกันกับผมได้ ริมฝีปากของผมก็ค่อยๆ ยกขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ คลิมที่เห็นแบบนั้นก็บ่นออกมา

「มีอะไรน่าตลกนักหรือไงกัน!? 」

「ก็คือคิดว่าสิ่งที่นายพูดมีเหตุผลดีนะ ความไม่รู้คือบาปจริงๆ นั่นแหละ แต่น่าเสียดายจริงๆ ที่ขนาดนายก็ยังไม่รู้ถึงความโง่ของตัวเองเหมือนกัน」

「พูดอะไรไร้สาระ คนที่ไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องพื้นๆ อย่างสิ่งที่อยู่ในประตูปีศาจกับคิจินต่างหากที่โง่ ถ้าคิดว่ามีอะไรที่ นายรู้แล้วฉันไม่รู้ก็ลองพูดออกมาเลยสิ!!」

「ไอ้นั่นน่ะก็คือความแตกต่างระหว่างฉันกับนายไงล่ะ คลิม ฮ่า!!!!!」

ผมคำรามใส่คลิมที่เหมือนจะเยาะเย้ยผมด้วยคิ

เพิ่มขึ้นอีก เพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ มากขึ้น เอาอีกๆ ผมค่อยๆ เพิ่มพลังที่ปล่อยออกไปขณะมองสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความตกใจของคลิม จากนั้นก็หันไปมองไคลอาที่แสดงความหวาดกลัวออกมาและโกซุที่ตกตะลึง

ผมยังต้องก้าวเดินต่อไป ยังได้มากกว่านี้อีก ขีดจำกัดมันยังไม่ใช่แค่นี้ ผมเพิ่มพลังคิที่ปลดปล่อยออกมาให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ มากกว่านี้ ――――

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเหมือนแส้กระทบกันดังขึ้นทั่วบริเวณ บริเวณใต้เท้าของผมเริ่มแตกเป็นเสี่ยงๆ และรอยแตกนั้นก็ไม่ได้หยุดแค่จุดเดียว พื้นดินโดยรอบเริ่มมีรอยแตกตามทางยาวออกไปเรื่อยๆ

ไม่นานนักผืนดินก็เริ่มสั่นสะเทือนตามเสียงคำรามของผม พื้นดินรอบตัวเริ่มยุบลงไปเป็นวงกลม ราวกับไม่สามารถทนตัวตนของผมต่อไปได้อีกแล้ว

กว่าจะรู้สึกตัว ฝุ่นก็ได้ฟุ้งไปทั่วบริเวณหมดแล้ว แม้จะไม่มีลมโดยรอบมาก่อนเลยก็ตาม

ฝุ่นพวกนั้นได้เริ่มก่อนตัวกันเป็นพายุขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ดูดเอาพวกดินหินรอบๆ ขึ้นไปด้วย ไม่นานนักสีของมันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง

แม้จะมีขนาดที่แตกต่างไปบ้าง แต่ลักษณะของมันไม่ต่างอะไรกับพายุที่ไฮดราสร้างขึ้นก่อนหน้าเลยสักนิด

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code