บทที่ 258 ให้เบาะแส

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“อะไรนะ?”เจ้าหน้าที่ตำรวจตกใจกับคำพูดของเธอ

ขยานีโกรธจนชี้หน้าใส่วารุณี“ยัยเด็กไร้มารยาท แกพูดอะไรเหลวไหล คนฆ่าตัวตายไม่ใช่พิชญา แล้วจะเป็นคนอื่นหรือไง?”

“คุณพูดไม่ผิด ฉันสงสัยว่าเป็นคนอื่น”วารุณีมองเธอ

นัทธีไม่พูด จัดผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยให้วารุณี

การกระทำของทั้งสองที่แนบชิดสนิทกันปรากฏอยู่ในสายตาของขยานี

ขยานีเบิกตาโตอย่างไม่เชื่อ“พวกแก……พวกแก……”

เธอยังพูดไม่จบ ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตัดบท“คุณวารุณี คุณพูดคำนี้ออกมา มีหลักฐานอะไรหรือเปล่า?”

เจ้าหน้าที่ตำรวจมากั้นไว้ตรงหน้าขยานี มองวารุณีด้วยท่าทางเคร่งขรึมสุดๆ

วารุณีส่ายหน้า“หลักฐานฉันไม่มีหรอกค่ะ แต่ฉันมีข้อสงสัยอยู่สองสามอย่าง”

เธอพูดข้อสงสัยออกมาทีละอัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจยิ่งฟัง สายตาก็ยิ่งจริงจังมากขึ้น จากนั้นเรียกหัวหน้าทีมของตัวเองมา

หัวหน้ายื่นมือออกไปทางวารุณี“คุณวารุณี ขอบคุณที่คุณให้เบาะแสที่สำคัญมากกับพวกเรา ถ้าเป็นอย่างที่คุณสงสัยจริงๆ งั้นคดีนี้ กลัวว่าจะไม่ใช่คดีฆ่าตัวตายธรรมดาๆแล้ว”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ สมควรแล้ว เพราะฉันก็อยากรู้ว่า พิชญาตายหรือไม่ตายกันแน่!”วารุณีพูดตอบไป ก็ยื่นมือไปจับมือด้วย

แต่ยังไม่ทันจับ มือใหญ่ๆที่เรียวยาวข้างหนึ่ง ก็มาไวก่อนเธอ จับกับหัวหน้าไป

เห็นแบบนี้ วารุณีกับหัวหน้าก็ตะลึง

แต่แป๊บเดียว วารุณีก็หัวเราะ

เพราะเธอรู้ว่าการแสดงความเป็นเจ้าของของนัทธี ไม่อยากให้เธอกับหัวหน้าจับมือกัน

หัวหน้าก็ตระหนักถึงจุดนี้ได้ จึงชักมือกลับไปอย่างเขินอาย

ตอนนี้เอง จู่ๆขยานีก็จับมือของหัวหน้า ถามอย่างร้อนใจว่า“ที่พวกคุณพูดเมื่อกี๊หมายความว่าไง บอกว่าพิชญาไม่ตาย ที่ฆ่าตัวตายไม่ใช่พิชญา?”

“ขอโทษครับ พวกเราไม่ได้พูดแบบนี้ นี่แค่เป็นข้อสงสัย”หัวหน้าชักสีหน้าแล้วเอามือกลับมา

ขยานีส่ายหน้าอย่างแรง“จะเป็นไปได้ไง ตอนที่พิชญากระโดดตึก ฉันซื้อข้าวกลับมาพอดี เธอยังบอกลาฉันเป็นครั้งสุดท้ายผ่านประตูคนไข้เลย”

“พูดแบบนี้แสดงว่า ตอนนั้นที่คุณเห็นคนที่นั่งอยู่ขอบหน้าต่าง เป็นพิชญาจริงๆ?”หัวหน้าหรี่ตาลง

วารุณีกับนัทธีก็มองเธอ

ริมฝีปากขยานีขยับ“ฉันมองไม่เห็น ตอนนั้นประตูปิดอยู่ ฉันได้ยินแค่เสียงของพิชญา จากนั้นตอนที่ฉันเปิดประตูเข้าไป พิชญาก็ตกลงไปแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆเธอก็ทรุดตัวลงไป ปิดหน้าไว้ ร้องไห้อย่างเจ็บปวดมาก

วารุณีมองออกว่า เธอไม่ได้โกหกจริงๆ

หมายความว่า เธอก็ไม่รู้ว่าที่กระโดดตึกนั้นเป็นพิชญาหรือไม่

แต่ก็ไม่แปลกหรอก พิชญาเกลียดขยานีอยู่แล้ว ถ้านี่เป็นแผนที่พิชญาแกล้งตายจริงๆ จะไม่บอกขยานีก็ปกติ

“เธอมองไม่เห็นพิชญา หมายความว่า ยังคงไม่อาจแน่ใจได้ว่าที่กระโดดตึกลงมาใช่พิชญาหรือไม่ และจากที่ผมรู้ ศพไม่เหลือเค้าเดิม จนไม่สามารถแยกแยะหน้าตาได้เลย ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการยืนยันว่าศพใช่พิชญาหรือไม่ ก็คือเปรียบเทียบDNA”นัทธีเงยตาขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

หัวหน้าพยักหน้า“ประธานนัทธีพูดถูก ผมจะแจ้งไปทางหมอนิติเวช หลังจากผลออกมาแล้ว จะแจ้งพวกคุณสองคน”

นัทธีตอบอือ แล้วมองไปที่วารุณี“พวกเราไปกันเถอะ”

“ค่ะ”วารุณียิ้มให้เขา คล้องแขนของเขา แล้วออกไปกับเขา

ส่วนขยานี พวกเขาก็ไม่สนใจ แม้แต่มองก็ยังไม่มองเธอสักนิด

มาถึงข้างถนน นัทธีก็หยิบกุญแจรถออกมากด“นั่งรถของผมเถอะ เดี๋ยวผมให้คนขับรถของคุณกลับไป”

“ได้หมดค่ะ”วารุณียักไหล่ ขึ้นรถของเขา

นัทธีก็เปิดประตูรถขึ้นไป หลังจากคาดเข็มขัดนิรภัยแล้ว ก็สตาร์ทรถ

ระหว่างทางที่กลับไปสตูดิโอ ท้องของวารุณีก็ร้องออกมา เสียงในรถคันเล็กๆ จึงดังผิดปกติ

หน้าเล็กๆของเธอแดงขึ้นมา กุมท้องอย่างรู้สึกเขินอาย“เอ่อ ฉัน……”

“ตอนเที่ยงคุณไม่ได้กินข้าวเหรอ?”นัทธีขมวดคิ้วพูดตัดบทเธอ

วารุณีพยักหน้า ตอบอือไปเสียงเบา

“ทำไมไม่กินล่ะ?”หน้าของนัทธีหม่นลงอย่างไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่เธอไม่กินข้าว

วารุณีลดกระจกรถลงเล็กน้อย ตากลมแล้วตอบไปว่า“ตอนเที่ยงตอนที่ฉันกินข้าว ก็ได้ยินข่าวที่พิชญากระโดดตึก จากนั้นก็เห็นคลิปในเน็ต รู้สึกสยอง จะกินลงได้ไงล่ะ”

“งั้นผมพาคุณไปกินตอนนี้ละกัน อยากกินอะไร?“นัทธีเหลือบมองเธอ

วารุณีขยี้คิ้ว“ได้หมดค่ะ กินอะไรง่ายๆก็ได้”

นัทธีมองสภาพเธอที่ดูไม่อยากอาหาร จึงเม้มริมฝีปากบางๆ ไม่พูดอะไร ขับตรงไป พาเธอไปร้านอาหารตะวันตกที่หรูหราแห่งหนึ่ง

นัทธีลากเก้าอี้ออกมาให้วารุณีอย่างสุภาพบุรุษ

วารุณียิ้มแล้วนั่งลงไป

จากนั้นเขาจึงดึงเก้าอี้ตรงข้ามเธอมานั่งลงไป เอาเมนูไปไว้ตรงหน้าเธอ“อาหารของร้านอาหารตะวันตกนี้ค่อนข้างจืดชืด น่าจะเข้ากับความอยากอาหารของคุณดี”

“ฉันดูก่อน”วารุณีเปิดเมนูมาดู อาหารด้านบนเหมือนอย่างที่เขาพูดจริงๆ ดูจืดๆ แต่ก็ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะอยากกิน

สุดท้ายวารุณีก็สั่งสปาเกตตีครีมเห็ดที่หนึ่ง สลัดผัดที่หนึ่งเท่านี้

นัทธีกับพอประมาณกับเธอ ตอนที่ปิดเมนูลงแล้วคืนให้บริกร ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ พูดกับบริกรไปว่า“เอาบ๊วยมาที่หนึ่งด้วยครับ”

“ครับ”บริกรยิ้มตอบรับไป แล้วหันกลับออกไป

ไม่นาน ของที่ทั้งสองคนสั่งก็มา

วารุณีหยิบผ้าเช็ดปากมาสะบัดออก กำลังเตรียมผูกไปที่คอ ก็มองเห็นนัทธีเอาบ๊วยสีดำที่หนึ่งมาไว้ตรงหน้าเธอ“ไม่ใช่ว่าคุณไม่อยากอะไรเหรอไง?กินนี่สิ ก็จะรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาหน่อย”

วารุณีมองบ๊วย แล้วมองชายหนุ่มตรงข้ามอีกครั้ง ก็รู้สึกแค่ว่าในใจนั้นอบอุ่น อาการที่ใบหน้าก็ดูประทับใจขึ้นมา

ที่แท้บ๊วยอันนี้เขาสั่งมาให้เธอ เธอคิดว่าเขาชอบกินเองเสียอีก

คิดไม่ถึงว่าแม้แต่รายละเอียดที่เธอไม่อยากอาหาร เขาก็ยังสังเกตเห็น

“เป็นอะไรไป?”เห็นวารุณีจ้องบ๊วย แล้วจู่ๆก็ตาแดงก่ำ ในใจของนัทธีก็รู้สึกเกร็งขึ้นมา รีบถามเธอ

วารุณีเอาผ้าเช็ดปากเช็ดขอบตา หัวเราะตอบไปว่า“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่ดีใจมากไปหน่อย ขอบคุณค่ะนัทธี”

ได้ยินดังนั้น หัวใจนัทธีที่พองโตก็คืนกลับไปที่เดิมทันที ยกมุมปากขึ้นมาอย่างตลก“ไม่เป็นไร รีบกินเถอะ ไม่ได้หิวหรือไง?”

“อือ”วารุณีพยักหน้า ผูกผ้าเช็ดปากแล้วหยิบมีดกับส้อมขึ้นมา เริ่มทานอาหาร

หลังจากทานอาคารเย็นเสร็จ ก็ใกล้จะสี่โมงแล้ว

วารุณีตัดสินใจไม่กลับไปสตูดิโอ ไปรับลูกที่โรงเรียนอนุบาล

นัทธีไม่คัดค้าน โทรหามารุต ให้เขาเอาเอกสารที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติส่งไปที่คอนโดแล้ว ก็ขับรถพาวารุณีไปโรงเรียนอนุบาล

พวกเขามาถึงเวลาได้ประจวบเหมาะ ใกล้จะถึงเวลาที่โรงเรียนอนุบาลเลิกเรียนพอดี

เด็กทั้งสองคนจูงมือออกมาจากโรงเรียนอนุบาล มองเห็นรถของนัทธีจอดไว้ข้างถนน ดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา จากนั้นรีบวิ่งไปที่หน้ารถ

วารุณีเปิดประตูรถ

เด็กทั้งสองคนเห็นเธอ ก็ตะโกนอย่างดีใจ“หม่ามี๊”

“เด็กดี”วารุณีลงจากรถ ก็ลูบหัวของลูกทั้งสองคน

นัทธีที่นั่งตรงคนขับเอามือข้างหนึ่งออกจากพวงมาลัย กำฝ่ามือไว้ที่ริมฝีปาก แล้วไอออกมาเบาๆ เหมือนเตือนอะไร

เด็กทั้งสองคนสบตากัน จากนั้นหัวเราะออกมา แล้วก็ตะโกนไปทางเขาเสียงหวานว่า“พ่อ!”

รูม่านตาที่ลึกซึ้งของนัทธีมีความพึงพอใจ เงยคางขึ้น“โอเค รีบขึ้นรถมาเถอะ”

เด็กทั้งสองคนตอบอือ แล้วปีนขึ้นรถมาภายใต้การช่วยเหลือของวารุณี

แต่ตอนที่วารุณีเตรียมตัวจะขึ้นรถ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกอะไรได้ เก็บรอยยิ้มที่ใบหน้า แล้วหันไปมองด้านหลัง

“เป็นอะไรเหรอ?”นัทธีเห็นเธอลังเลไม่ยอมขึ้นสักที จึงอดไม่ได้ที่จะถาม