ตอนที่ 298 ปิดฉาก รุกได้ถอยได้ (1)
เซี่ยฮูหยินหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย บอกกับหมัวมัวทั้งสองที่เฝ้าประตูและนางกำนัล “พวกเจ้า มาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณหนูมั่ว”
เปลี่ยนเสื้อผ้า? คิดอยากจะถอดเสื้อผ้าของนางด้วยการใช้ความรุนแรงเช่นนั้นหรือ
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้พูดสิ่งใด จย่าฮูหยินลุกขึ้นด้วยความโมโห ปรามหมัวมัวทั้งสองคน แล้วหันไปจ้องเซี่ยฮูหยินเขม็ง เค้นถามด้วยเสียงเหี้ยม “เซี่ยฮูหยิน ฮูหยินทำเช่นนี้หมายความเช่นไร”
แววตาของจย่าฮูหยินทำให้เซี่ยฮูหยินร้อนตัว อันฮูหยินพูดขึ้น “การกระทำของเซี่ยฮูหยินตรงกับความต้องการของข้า ในเมื่อองค์หญิงอวี้เหอให้เราพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณหนูมั่ว พวกข้าย่อมต้องทำอย่างสุดความสามารถ เพื่อเลี่ยงไม่ให้หญิงที่เสียพรหมจรรย์ ผ่านด่านนี้ด้วยการลวงหลอก”
ผ่านด่านด้วยการลวงหลอก? เห็นชัดว่าสองคนนี้ต้องการจะสาดน้ำเสีย มีความคิดชั่วร้ายอีกแล้ว!
จย่าฮูหยินโมโหจนหมดคำจะบรรยาย พระชายาจิ่งชินอ๋องทนดูต่อไปไม่ได้ เดินมาตัดสินความยุติธรรม ตำหนิด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “เซี่ยฮูหยิน อันฮูหยิน พวกท่านทำเกินไปแล้ว! มั่วเชียนเสวี่ยเป็นสตรีชั้นสูง จะปฏิบัติต่อนางด้วยความหยาบคายเช่นนี้ได้อย่างไร”
วัตถุดิบของแต้มพรหมจรรย์นั้นหายาก โดยนำชาดแดงมาให้ตุ๊กแกกินเป็นอาหาร กินจนตุ๊กแกเปลี่ยนสี หลังจากกินชาดแดงจนครบเจ็ดจิน แล้วค่อยนำมาทุบเป็นผุยผง ผสมรวมกับชาดแดงและสมุนไพรอื่นๆ โขลกวัตถุดิบทั้งหมดจนกลายเป็นเนื้อโคลน แล้วนำมาแต้มแขนของสตรี เมื่อแต้มจุดแดงลงไปแล้ว จะไม่จางหายง่ายๆ
หญิงที่แต้มชาดแดงหลังจากแต่งงาน หรือว่าสูญเสียพรหมจรรย์ ‘แต้มพรหมจรรย์’ ก็จะจางหาย ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า ‘แต้มพรหมจรรย์’
ขอเพียงเป็นสตรีชั้นสูง วันแรกที่คลอดออกมามารดาก็จะแต้มแต้มพรหมจรรย์ด้วยตนเอง และเหตุเพราะแต้มพรหมจรรย์นี้ล้ำค่า ทั้งยังหายาก ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปมี
หญิงสาวชาวบ้านไม่มีแต้มพรหมจรรย์ ด้วยเหตุนี้ยามพิสูจน์ความบริสุทธิ์จึงทำได้เพียงพิสูจน์จากที่ลับ ทว่าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของสตรีชั้นสูง ล้วนดูเพียงแต้มพรหมจรรย์เท่านั้น
การถอดเสื้อผ้าเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของสตรีชั้นสูง เป็นการดูหมิ่นสตรีชั้นสูงอย่างหนึ่ง
แววตานิ่งสงบของมั่วเชียนเสวี่ยทอประกายแสงที่ยากจะอธิบาย คนเหล่านี้ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง
วันนี้ หากไม่มีคนตัดสินความยุติธรรมให้นาง เช่นนั้นแม้นางจะเป็นหญิงพรหมจรรย์ พวกนางก็จะใช้วิธีสกปรกทำลายพรหมจรรย์ของนางใช่หรือไม่…
จย่าฮูหยินดึงสติกลับมา พูดเสียงหนักแน่น “พระชายาจิ่งชินอ๋องพูดถูก เรือนร่างของสตรีชั้นสูงจะดูง่ายๆ ได้อย่างไร”
นางจ้องไปยังหมัวมัวทั้งสองคนที่เตรียมจะนำนางกำนัลคนอื่นๆ ทำตามคำสั่ง ไม่พูดสิ่งใด แต่น่าเกรงขามยิ่งนัก
หมัวมัวทั้งสองคนทำงานรับใช้ในวังหลวงมานาน หนักหรือเบาย่อมรู้ดี พวกนางรู้ดีว่าหากทำตามคำสั่งจริงๆ เมื่อถึงเวลาหากเกิดเรื่องขึ้น โทษล่วงเกินสตรีชั้นสูงต้องตกไปที่พวกนางอย่างแน่นอน หมัวมัวทั้งสองมองที่ปลายจมูกของตน ก้มหน้าลง ไม่กล้าเงยหน้าสมตากัน ทว่าราวกับพวกนางใจตรงกัน ถอยหลังหนึ่งก้าวพร้อมกัน
เมื่อเห็นหมัวมัวทั้งสองถอยหลัง ในเวลาเดียวกันนางกำนัลพวกนั้นก็ถอยหลังหนึ่งก้าวเช่นเดียวกัน
นี่เป็นเรื่องระหว่างฮูหยิน ในเมื่อความเห็นไม่ต้องกัน พวกนางก็มีเหตุผลให้เป็นข้ออ้าง…
เมื่อเห็นพวกนางกำนัลรู้ตัว ความโมโหของจย่าฮูหยินลดลงเล็กน้อย แล้วหันกลับไปมองเซี่ยฮูหยิน กวาดตามองอันฮูหยิน พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากพวกเจ้ากล้าทำเกินหน้าที่ ข้าจะยื่นฎีกาให้ฮองเฮา ขอให้ฮองเฮาเป็นผู้ตัดสินความยุติธรรม”
ไม่ว่าฮองเฮาจะเอนเอียงใจไปทางใด หากเรื่องนี้ถูกนำออกไปตัดสิน ฮองเฮาก็ทำได้เพียงตัดสินด้วยความเป็นธรรม สีหน้าของเซี่ยฮูหยินชวนมองยิ่งนัก หลบสายตาแล้วก้มหน้าลง แววตาของนางมีความเย็นยะเยือกราวกับบ่อน้ำโบราณที่ไม่เปลี่ยนแปลงมานานนับพันปี เปี่ยมไปด้วยความคับแค้นใจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่แน่ อาจจะสร้างปัญหาให้กับฮองเฮา องค์หญิงอวี้เหอรวมถึงตระกูลเซี่ย สีหน้าของอันฮูหยินก็ซับซ้อนอย่างยิ่ง เมื่อตระกูลเซี่ยเดือดร้อน เช่นนั้นอัครมหาเสนาบดีก็ไม่อาจมีชีวิตที่ดี
ทั้งสองมองหน้ากัน แววตาเปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมโหด หลังจากส่งสายตาให้กันแล้ว คุยกันว่าต้องเดินลงมือด้วยตนเอง
หญิงชราคนหนึ่ง กับหญิงสาวหนึ่งคน มีสิ่งใดให้กลัว!
เห็นชัดว่าฉังฮูหยินและถานฮูหยินเป็นกลาง พระชายาจิ่งชินอ๋องจิบน้ำชา แม้คล้ายจะเข้าข้างหญิงชั้นต่ำ แต่ไม่ได้มีทีท่าจะเดินมา ท่างกลางนางกำนัลเหล่านั้น มีสองคนเป็นคนของฮองเฮา เมื่อถึงเวลาขอเพียงพวกนางมีคำสั่ง ย่อมมาช่วยอย่างแน่นอน
หลังจากเซี่ยฮูหยินและอันฮูหยินสบตากัน ทั้งสองเดินเข้าหามั่วเชียนเสวี่ย แม้จะบอกว่าวิธีการไม่เหมาะสม แต่หากไม่ผ่านด่านนี้ไป เกรงว่าเวลานี้องค์หญิงอวี้เหอต้องเดือดร้อนไปด้วยแล้ว สิ่งสำคัญคือยังจะส่งผลกระทบเป็นทอดๆ
หากไม่ให้บทเรียนกับพวกนาง ไม่ให้พวกนางจำใส่ใจ เกรงว่าจะยิ่งได้คืบเอาศอก มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเยือกเย็นในใจ นางจับเข็มเอาไว้ในมือแล้ว สตรีวัยกลางคนที่อยู่ดีกินดีมาโดยตลอดยังกล้าที่จะเหิมเกริมกับนาง ช่างน่าขันยิ่งนัก!
ขอเพียงพวกนางสองคนกล้าเดินมาใกล้ เช่นนั้นนางฝังเข็มลงไป ทำให้แขนขาของทั้งสองแข็งทื่อ ชาราวกับพิการในชั่วพริบตา…
สถานการณ์ตึงเครียด!
ฮูหยินทั้งสองยิ้มร้ายกาจแล้วเดินเข้ามาใกล้ มั่วเชียนเสวี่ยนิ่งงัน
“หากผู้ใดกล้าถอดเสื้อผ้าของบุตรีบุญธรรมข้า ต้องข้ามศพข้าไปก่อน ข้าจะดูซิว่าราชวงศ์เทียนฉียังมีกฎหมายหรือไม่”
เห็นสตรีสองคนนี้ไร้ยางอาย จย่าฮูหยินขุ่นเคืองยิ่งนักแล้วป้องอยู่ด้านหน้ามั่วเชียนเสวี่ย ขวางกั้นเซี่ยฮูหยินและอันฮูหยิน ป้องมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ด้านหลัง
มั่วเชียนเสวี่ยเองก็รู้ดีว่าแม่บุญธรรมหวังดี นางจึงเก็บเข็ม หากพลาดทำให้แม่บุญธรรมบาดเจ็บก็คงไม่ดีนัก อีกทั้ง ในวังหลวง หากไม่ลงมือได้ ไม่ลงมือย่อมจะเป็นการดีที่สุด
มั่วเชียนเสวี่ยเก็บเข็ม หลบตาลง หัวเราะเยือกเย็น “ดูเหมือนว่าเซี่ยฮูหยิน อันฮูหยินตั้งใจแน่วแน่อยากจะทำลายกฎระเบียบของราชวงศ์เทียนฉี ทำลายกฎระเบียบที่บรรพบุรุษกำหนดเอาไว้…วันนี้หากพวกท่านทั้งสองดื้อดึงที่จะทำเช่นนี้ เชียนเสวี่ยสาบานว่าแม้ต้องตายก็ไม่มีวันยอม หากพวกท่านกล้าใช้กำลัง…หึๆ…เช่นนั้นวันพรุ่งนี้คุณหนูตระกูลมหาองครักษ์ คุณหนูตระกูลอัครมหาเสนาบดีถูกคนป้ายสีว่าเป็นหญิงที่สูญสิ้นพรหมจรรย์ เชียนเสวี่ยจะทูลขอให้ฮองเฮาส่งคนไปเปลื้องผ้าพวกนางเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์”
มั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนบทสนทนา นางมองถานฮูหยินและฉังฮูหยิน ที่นั่งดื่มน้ำชาอยู่ข้างๆ ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น “มีตัวอย่างแล้ว เชียนเสวี่ยเชื่อว่าฮองเฮาต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน ป้ายสีคุณหนูทั้งสองตระกูล…ถานฮูหยิน ฉังฮูหยิน พวกท่านว่า ฮองเฮาต้องตอบตกลงใช่หรือ”
สีหน้าเคร่งขรึมของมั่วเชียนเสวี่ยเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่ นางพูดเสียงเบา แต่กลับหนักแน่น พูดชัดถ้อยชัดคำ
ไม่เพียงทำให้เซี่ยฮูหยินและอันฮูหยินมีความผิดฐานละเมิดกฎ ทั้งยังเตือนพวกนางอย่างชัดเจน หากพวกนางไม่วางมือ พรุ่งนี้คุณหนูทั้งสองตระกูลของพวกนางจะถูกใส่ร้ายป้ายสี และยืมมือถานฮูหยินและฉังฮูหยินอีกด้วย
อยากจะเป็นคนกลาง ไม่มีทาง
อันฮูหยินหลบตาลง วางมือเป็นคนแรก เอ่อร์เยียนของนางเพิ่งหมั้นหมาย ในเรือนยังมีบุตรีอีกสองคนกำลังถูกทาบทาม เวลานี้ ชีวิตคนมีค่าเท่าใด จ่ายเบี้ยเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดล้วนมีคนกล้าพูดทุกคน ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนมีคนกล้าทำ
คนที่สูญเสียทุกอย่างไม่เกรงกลัวคนที่มีพร้อม เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยสูญเสียชื่อเสียง ดูจากความร้ายกาจของนาง ไม่แน่อาจจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม แล้วทำบางอย่างก็เป็นได้ เวลานี้หากเกิดเรื่องโสมมขึ้น บุตรีตระกูลอันจบสิ้นแล้ว
ทางด้านเซี่ยฮูหยินก็ลังเลเช่นเดียวกัน
เรือนในมากด้วยความลับที่ไม่อาจแพร่งพราย การใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะมีแต้มพรหมจรรย์ จึงรักษาชื่อเสียงและเกียรติยศของสตรีชั้นสูงเอาไว้มากมาย หากมีตัวอย่างนี้เกิดขึ้น อนาคตข้างหน้ายามเกิดเรื่อง ก็จะเปลื้องผ้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เช่นนั้นพวกนางทั้งสองตระกูลก็จะกลายเป็นศัตรูของสตรีชั้นสูงทั้งเมืองหลวง ถูกผู้คนเคียดแค้น