บทที่ 259 เขาอาจตายไปแล้วก็ได้!

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

ซูอันค้นร่างกายของซือซางเฟย แต่เขากลับพบแค่อาหารแห้ง เศษเงิน และหินพลังชี่ไม่กี่ก้อนเท่านั้น กระบี่ที่ซือซางเฟยถืออยู่นั้นมีสภาพพอดูได้เมื่อเทียบกับอาวุธที่ตระกูลฉู่ให้เขาเอาติดตัวมา…

เฮ้อ…ไอ้นี่มันยากกว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีก…

ไม่มีทางที่เศรษฐีอย่างซูอัน จะสนใจของระดับต่ำเช่นนี้!

ในขณะที่รู้สึกผิดหวัง ซูอันเริ่มไตร่ตรองถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาพบกับอันตราย การต่อสู้ของเขากับเพ่ยเหมียนหมาน และเสวี่ยเอ๋อร์ก็เกือบจะคร่าชีวิตเขาเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองเป็นผู้บ่มเพาะระดับห้า ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะถูกคุกคามด้วยความสามารถของพวกนาง…

ในทางกลับกัน ซือซางเฟยเป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับสาม แต่ก็เกือบเอาชีวิตเขาได้จากการโจมตีเพียงครั้งเดียว

สิ่งนี้ทำให้ซูอันรู้สึกว่าตัวเขาเองตอนนี้ประมาทเกินไป เขาจะต้องใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาจะตกเป็นเป้าของคนอื่นอย่างง่ายดาย

ว่าแต่…ซือซางเฟยพูดว่าเขาได้เรียกสหายของเขามาที่นี่แล้ว…

ทันใดนั้นเสียงที่แหลมคมก็ดังก้องมาจากด้านบน ขณะที่เงาสีดำพุ่งเข้าหาซูอันอย่างรวดเร็ว

คราวนี้ซูอันเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว เขากระโจนออกไปด้านข้างแล้วตามด้วยการกลิ้งหนีออกไปให้ไกลกว่าเดิม

หลังจากตั้งหลักได้แล้ว เขามองไปที่พื้นดินจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่นี้ซึ่งมีลูกธนูปักอยู่สามดอก

เมื่อพิจารณาจากความเร็วและความแรงของลูกธนู ศัตรูน่าจะแข็งแกร่งกว่าผีดิบชาวบ้านที่เขาเคยเผชิญก่อนหน้านี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับมือได้ยากขึ้น ก่อนหน้านี้เขาเผชิญหน้ากับกองทัพผีดิบชาวบ้านจำนวนนับร้อยนับพันมาแล้ว แต่ตอนนี้มีนักธนูแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น!

ก่อนอื่น…เพื่อที่จะเอาชนะศัตรูที่อยู่ในระยะไกล สิ่งแรกที่ต้องทำคือลดระยะห่างให้ได้!

ดังนั้น ทันทีที่ซูอันหลบลูกธนู เขาก็รีบวิ่งไปยังทิศทางที่ศัตรูอยู่ เมื่อใดที่เขาสามารถปิดระยะห่างได้ เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะศัตรูได้ด้วย ‘เพลงกระบี่ปราบมาร’ ของเขาอย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังจะไปถึงตัวนักธนู คนอีกสามคนก็ปรากฏขึ้นข้าง ๆ เขาในทันใด คนหนึ่งถือดาบ คนหนึ่งถือกระบี่ และคนสุดท้ายถือหอก อาวุธของพวกเขาแตกต่างกัน แต่การโจมตีของพวกเขาประสานสอดคล้องกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อเห็นเช่นนี้น ซูอันจึงตัดสินใจอย่างชาญฉลาดที่สุดที่ใคร ๆ ก็สามารรถทำได้ในสถานการณ์ที่อันตรายซึ่งก็คือ…วิ่งหนี!

จากการที่ดูด้วยตาเปล่าและคาดคะเนเอาจากกลิ่นอายที่กดดันของคนเหล่านี้ ผู้ที่อ่อนแอที่สุดของพวกเขาน่าจะอยู่ที่ระดับสี่ขั้นต้น และผู้ใช้หอกอยู่ในระดับสี่ขั้นปลาย ระดับการบ่มเพาะของเขาต่ำเกินไปที่จะใช้ ‘เพลงกระบี่ปราบมาร’ ให้ได้ผลดีกับศัตรูมากกว่าหนึ่งเป้าหมาย หากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เขาคงมีโอกาสได้รับชัยชนะ แต่ไม่ใช่ในตอนนี้ที่ถูกรุมจากทุกทิศทาง!

ถ้าเขาฝืนปะทะ เขาอาจจะฆ่าศัตรูได้หนึ่งหรือสองคน แต่ท้ายที่สุดเขาคงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปด้วย และอาจถึงกับเป็นฝ่ายถูกฆ่าซะด้วยซ้ำ!

อย่าเลย…ชีวิตข้ามีค่ามากกว่าไอ้พวกนี้! จะสูญเปล่าขนาดไหนถ้าข้าต้องแลกชีวิตกับตัวประกอบกระจิ๊บกระจอกงอกง่อยอย่างพวกเจ้า?!

ศัตรูไม่คาดคิดว่าซูอันจะหันหลังหนีเอาดื้อ ๆ ทั้งหมดตกอยู่ในอาการตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะรีบไล่ตามซูอัน นักธนูสามารถฟื้นตัวได้ก่อน และเขาก็เล็งธนูไปทางซูอันที่กำลังหลบหนีอย่างรวดเร็ว

เขายิงออกไปด้วยความมั่นใจว่าลูกธนูของเขาจะโจมตีถูกเป้าหมายอย่างแน่นอน ทว่ามันก็เหมือนกับว่าซูอันมีตาอยู่ด้านหลัง ในวินาทีสุดท้ายก่อนลูกธนูจะถึงตัว ซูอันได้บิดตัวไปด้านข้างและหลบได้อย่างสมบูรณ์

“???” นักธนูชะงักไปด้วยความงุนงง

สำหรับผู้บ่มเพาะระดับสี่คนอื่น ๆ ที่ไล่ตามมา พวกเขาตกตะลึงมากกว่าเดิมเมื่อพบว่าซูอันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก

ที่ระดับสี่ ความว่องไวของผู้บ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางระยะไกลได้ด้วยการก้าวกระโดดเพียงครั้งเดียว ตามทฤษฎีแล้ว พวกเขาน่าจะสามารถไล่ตามผู้บ่มเพาะระดับสามได้ภายในเวลาไม่นาน ทว่าในขณะนี้…พวกเขาไม่สามารถปิดระยะห่างจากซูอัน ได้เลย!

ซูอันก็รู้สึกกดดันเช่นกัน ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกผู้บ่มเพาะระดับสูงถึงสามารถกระโดดไปขวางอีกฝ่ายที่มีระดับต่ำได้อย่างง่ายดาย นี่ขนาดเขามีทักษะการเคลื่อนไหวที่เหนือล้ำเขายังไม่สามารถสลัดคนพวกนี้หลุดได้เลยหากเป็นผู้บ่มเพาะทั่วไปคงน่าจะถูกตามทันได้เพียงในเพียงไม่กี่อึดใจแน่นอน!

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซูอันยังไม่เข้าใจก็คือวิชาร่างก้าวทานตะวันนั้นเน้นไปในด้านการสร้าง ‘ภาพติดตา’ เพื่อหลบหลีกการโจมตีของศัตรูมากกว่า ‘การหลบหนี’ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถสลัดพวกมันออกได้แม้จะวิ่งมาระยะหนึ่งแล้ว

ห่างออกไปหลายสิบลี้ อาจารย์และนักศึกษากลุ่มหนึ่งพากันรวมตัวล้อมรอบร่างของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เมื่อเห็นเปลือกตาของนางกระพริบ พวกเขาก็ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี

“เสี่ยวซี ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว!” ไป๋ซู่ซู่เอามามือทาบหน้าอกตัวเองด้วยความโล่งใจ

จี้เสี่ยวซีลืมตาขึ้นอย่างงุนงงขณะที่ความทรงจำของนางค่อย ๆ กลับมา

นางจำได้ว่า ซูอันช่วยนางโดยการล่อผีดิบไปกับเขา นางต้องการช่วยเขาเช่นกัน แต่นางรู้ตัวดีว่าหากทำเช่นนั้นนางจะเป็นตัวถ่วงซะเปล่า ๆ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงพยายามกลั้นน้ำตาในขณะที่ดูซูอันค่อย ๆ ล่อผีดิบกลุ่มใหญ่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ก่อนที่จะรีบวิ่งหนีออกจากหุบเขาเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

น่าเสียดายที่เป็นเวลากลางคืนแล้ว และมีอันตรายมากมายซุ่มซ่อนอยู่ด้านนอกหุบเขาเช่นกัน ด้วยเหตุผลบางอย่าง มูลมังกรที่นางถือไปด้วยดูเหมือนจะไม่ได้ผลเหมือนเคย ในขณะที่สัตว์ดุร้ายส่วนใหญ่ยังคงไม่กล้าเข้าใกล้นาง แต่ยังคงมีบางพวกเดินด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ใกล้ ๆ เมื่อเห็นว่านางเป็นเพียงหญิงสาว พวกมันก็เริ่มติดตามนาง เพื่อดูว่านางอ่อนแอพอจะเป็นเหยื่อของพวกมันหรือไม่?

ต่อจากนั้นฝูงหมาป่าก็ไล่ตามนางไปทุกที่ จนท้ายที่สุดนางก็จนมุมและเมื่อถึงยามคับขัน นางจึงรีบจุดไฟสัญญาณที่ไป๋ซู่ซู่เคยมอบให้นางไว้ก่อนหน้านี้

โชคดีที่ไป๋ซู่ซู่และกลุ่มของเขาอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ดังนั้นพวกเขาจึงมาช่วยเหลือนางได้อย่างทันการณ์ อย่างไรก็ตามด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมจากการวิ่งหนีเป็นระยะเวลานานทำให้นางสลบไป และตอนนี้นางก็ฟื้นคืนสติได้ในที่สุด

“เสี่ยวซี เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง?” ไป๋ซู่ซู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนาง อาจารย์ใหญ่เจียงต้องมาเอาเรื่องกับเขาแน่นอน

“ข้า… ข้าสบายดี เร็วเข้า ท่านต้องช่วยพี่อาซู!” จี้เสี่ยวซีละล่ำละลัก

นางเกลียดตัวเองจริง ๆ สำหรับความอ่อนแอของตัวเอง นางมาเป็นลมในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ได้อย่างไร?

“ซูอัน?” ฝูงชนเริ่มคิดได้ว่าซูอันควรจะอยู่กับนาง ก่อนหน้านี้พวกเขาจดจ่ออยู่กับนางมากเกินไปจนละเลยชายที่น่ารำคาญคนนั้นว่าขณะนี้เขาไม่ได้อยู่ด้วย!

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า?” ไป๋ซู่ซู่ถาม

“ในตอนแรกพวกเราเผชิญหน้ากับกลุ่มของ หนูปีศาจขนทอง เราหนีจนเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่ง…” จี้เสี่ยวซีเล่าถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

“อะไรนะ? ผีดิบงั้นเหรอ?!” ไป๋ซู่ซู่ตื่นตระหนก

สถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถึงแม้ว่าสถาบันจันทร์กระจ่างได้เตือนนักศึกษาให้ระวังตัวเอาไว้ตลอด แต่จากบันทึกที่มีมายาวนานหลายศตวรรษแล้ว มิติลับหยกจรัส นับได้ว่าเป็นมิติลับที่ค่อนข้างปลอดภัย

ไม่เคยมีประวัติว่าพบผีดิบที่นี่มาก่อน!

ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยมีประวัติพบผีดิบในมิติลับหยกจรัสมาก่อนแต่ ไป๋ซู่ซู่ไม่สงสัยในคำพูดของจี้เสี่ยวซี เป็นที่รู้กันดีถึงนิสัยอันซื่อตรงของนาง นอกจากนี้เขายังเริ่มตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติขณะสำรวจพื้นที่ ในปีนี้มีจำนวนสัตว์ดุร้ายมากกว่าปีก่อน ๆ และพวกมันก็ก้าวร้าวมากกว่าเดิมจากที่เขาเคยพบเจอในปีอื่นๆ

“รีบไปช่วยเขากัน!” จี้เสี่ยวซีดึงแขนเสื้อของไป๋ซู่ซู่ ขณะที่นางอ้อนวอนกับนักศึกษาที่อยู่รอบๆ

เหล่านักศึกษาเหลือบมองกันอย่างลังเล และในที่สุด หนึ่งในนั้นก็ยืนขึ้นและกล่าวว่า “ถ้ามีผีดิบมากมายอย่างที่เจ้าพูดถึงจริง ๆ เราก็คงจะต้องหนีตายเหมือนกัน”

“จริงของเจ้า นอกจากนี้ เวลามันก็ผ่านไปนานแล้ว เขาอาจจะไม่รอดแล้วก็ได้…”

“ไร้สาระ! พี่อาซู ต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน!” จี้เสี่ยวซี เป็นคนใจดีแต่ขี้อายมาตลอด ดังนั้นนางจึงไม่เคยโกรธใครเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้นางกำลังเถียงกับคนอื่นจนหน้าดำหน้าแดงเพื่อซูอัน

ไป๋ซู่ซู่มีความรู้สึกเช่นเดียวกับเหล่านักศึกษา ไม่ใช่ว่าพวกเขากลัวความตาย แต่มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ซูอันจะไม่รอดแล้ว…

ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับฝูงผีดิบในขณะที่พยายามช่วยซูอัน พวกเขาอาจจะต้องบาดเจ็บหรือล้มตาย ในฐานะอาจารย์ผู้ดูแลกลุ่มนี้ เขาต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักศึกษาก่อนเป็นอันดับแรก

“ถ้าไม่มีใครไป ข้าจะไปเอง!” จี้เสี่ยวซีลุกขึ้นยืนและพยายามเดิน แต่นางเท้าแพลงมาจากการวิ่งหนีหมาป่า ความเจ็บปวดที่ขาทำให้นางเสียการทรงตัวและล้มลงกับพื้น

“สภาพแบบนี้เจ้าจะไปช่วยเขาได้ยังไง!” ไป๋ซู่ซู่กล่าวด้วยความหงุดหงิด “เดี๋ยวข้าไปเอง พวกเจ้าที่เหลือคอยอยู่ที่นี่!”

มีความเสี่ยงที่จะทิ้งบรรดานักศึกษาที่อ่อนแอเหล่านี้ไว้ตามลำพัง แต่เมื่อพิจารณาว่าพวกเขาอยู่ในเขตรอบนอกและมีคนในกลุ่มค่อนข้างมาก พวกเขาจะปลอดภัยกว่าหากอยู่แถวนี้แทนที่จะเข้าไปในหุบเขากันทั้งหมด

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีใครบางคนเอ่ยขึ้นเสียงดัง

“ข้าจะไปเอง!”