บทที่ 235 ทักษะขั้นพื้นฐานแย่มาก

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 235 ทักษะขั้นพื้นฐานแย่มาก
บทที่ 235 ทักษะขั้นพื้นฐานแย่มาก

ฝูลี่พูดว่า “แขกที่พักในสวนไผ่มีแซ่ว่า ‘หลิน’ นายน้อยที่ดูใจดีผู้นั้น มีชื่อเล่นว่า ‘อาจื้อ’ วันหน้าถ้าท่านพี่ได้สัมผัสจะรู้เองว่าเป็นเด็กที่แสนดีมาก”

ฝูหย่ายิ้ม “เจ้าเองก็โตกว่าเขาไม่กี่ปี กลับหาว่าเขาเป็นเด็ก”

ฝูเซิงและฝูจู๋ที่รับหน้าที่พาเหยาเฉาไปส่งยังเรือนกล้วยไม้เห็นพวกนางสองคนกำลังพูดคุยกัน จึงได้ยื่นหน้าเข้ามาและถามเสียงเบาว่า “แขกที่พักอยู่ในสวนไผ่ท่านนั้นคือหลานชายของนายท่านหรอกหรือ…นายท่านกำชับอะไรเป็นพิเศษบ้างหรือไม่?”

ฝูหย่าส่ายหน้า “นายท่านไม่ชอบออกคำสั่งกับเรา ไฉนเลยจะกำชับอะไรเป็นพิเศษ?”

ฝูลี่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม แต่กลับกล้าหาญชาญชัย ดึงมือของฝูเซิงและฝูจู๋เข้ามาหาตัวและพูดเสียงเบาว่า “พี่ฝูหย่าอยู่พอดี ตอนนี้หมดหน้าที่แล้ว ไปหาของกินในครัวกันดีกว่า!”

พวกนางยุ่งตลอดช่วงบ่าย มั่นใจได้เลยว่าคงหิวมาก

เมื่อฝูหย่าเห็นทั้งสองคนที่ถูกลากตัวไปเกิดความลังเลตัดสินใจไม่ได้ จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปเถอะ ไปหาอะไรกินรองท้องก่อน ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะมีงานทำเพิ่มก็ได้”

ยามเซี่ยเชียนรับประทานอาหารล้วนไม่ต้องการให้ใครอยู่ใกล้ แม้จะมีแขกก็ไม่มีข้อยกเว้น

คิดว่าพวกเขาคงจะรับประทานนานพอสมควร ฝูหย่าจัดการเรื่องราวได้อย่างสุขุม เซี่ยหมิงจึงสั่งให้นางอยู่รอก่อน ส่วนคนอื่นให้ไปพักผ่อนตามอัธยาศัย

ทั้งสามคนจึงเดินจูงมือกันออกไป ก่อนจะออกไปนั้นก็ยังมิวายกระซิบกระซาบกับฝูหย่าด้วยเสียงเบา เดี๋ยวค่อยเอาขนมชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาให้นาง เพื่อแลกกับการเทศนาสักฉากของฝูหย่า

เวลานี้ทุกคนในห้องโถงกลางกำลังรับประทานอาหาร อาหารถูกยกมาประเคนอย่างครบถ้วน เพราะวันที่สองจะต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท จึงไม่มีใครเรียกร้องอยากดื่มสุรา

การรับประทานอาหารของตระกูลเซี่ยจะให้ความสำคัญกับอาหารโดยไม่พูดคุยกัน จะต้องกินอาหารอย่างเงียบเชียบ อาจจะมีเสียงแก้วกระทบกับชามเบา ๆ เป็นครั้งคราว เซี่ยหมิงจะคอยยืนรับใช้อยู่ด้านข้าง เพื่อตักน้ำแกงให้กับแขกที่ต้องการเพิ่ม

แต่การกินอาหารมื้อนี้ อาจื้อกลับไม่สบอารมณ์มากทีเดียว

หลังจากกินข้าวเสร็จ เซี่ยหมิงก็เรียกฝูหย่าเข้ามาเก็บจานชามโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง จากนั้นก็ยกน้ำชาร้อน ๆ มาให้กับพวกเขา ท่าทางที่ผ่านการอบรมฝึกฝนมาอย่างดี ครั้นเห็นดังนั้นอาจื้อถึงกับมองตาค้าง

เมื่อทุกอย่างได้รับการเก็บกวาดจนเรียบร้อย เซี่ยเชียนได้นั่งลงเป็นคนแรก และเอ่ยถึงแผนการในวันพรุ่งนี้

เขาเปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวสีดำทมิฬแล้ว ยิ่งขับให้สีหน้าของเขาเย็นยะเยือกขึ้น

กระทั่งเซี่ยเชียนกำชับว่า “พรุ่งนี้เช้าจะมีคนจากในวังมาเรียกตัว อาเหราและอาเฉาค่อยไปหลังจากคนในวังมาเรียกตัวแล้วก็ยังไม่สาย”

ยังไม่ทันที่จอกชาในมือของเหยาเฉาจะถูกยกขึ้น เขาก็ได้เอ่ยขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “หัวหน้าเซี่ย พรุ่งนี้เราไม่ต้องไปรอก่อนอย่างนั้นหรือขอรับ? ถ้ารอเรียกตัวแล้วค่อยไป ระยะทางจากที่นี่ถึงราชวังยังห่างกันอีกช่วงหนึ่ง…”

เซี่ยเชียนส่ายหน้า ก่อนจะพูดรวบรัดตัดตอนว่า “ช่วงสายจะมีคนมารับพวกเจ้าไป ระหว่างนั้นฝ่าบาทจะเรียกขุนนางชั้นผู้ใหญ่เข้าประชุม เวลาก็น่าจะพอ ๆ กัน”

เหยาเฉาได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ไม่พูดอะไรให้มากความอีก

เซี่ยหมิงคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง รู้ว่าผู้เป็นนายของตัวเองนั้นพูดน้อย จึงช่วยเสริมว่า “นายท่านหลิน นายท่านเหยา เสื้อผ้าที่ต้องใส่เข้าเฝ้าฝ่าบาทในวันพรุ่งนี้ได้ถูกตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ เพียงแต่การอาบน้ำพรมตัวด้วยเครื่องหอมในตอนเช้าจะทำแค่พอผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด นอกจากนี้ยังต้องตรวจทานสิ่งของสำหรับคนในวัง…”

ทั้งสองคนพยักหน้า หลินเหราจึงตอบว่า “เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว”

เซี่ยหมิงผู้ซึ่งเคยจากวังออกมา กฎระเบียบที่พึงต้องเข้าใจย่อมขาดไม่ได้ มีหลายครั้งที่เซี่ยเชียนไม่เคยต้องใส่ใจกับปัญหาหยุมหยิมเหล่านี้ เพราะเขาได้อธิบายให้หลินเหราและเหยาเฉาฟังโดยละเอียดแล้ว พยายามให้พวกเขาสองคนผ่อนคลายที่สุด

อาจื้อฟังอย่างตั้งใจอยู่อีกด้าน พลางทอดถอนอยู่ในใจ การเข้าวังทั้งทีไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ

คืนนี้หลินเหราและเหยาเฉาจึงต้องกลับเรือนไปพักผ่อนเร็วหน่อย เพราะอาจื้อไม่ต้องตามพวกเขาไปในเช้าวันต่อไป เขาจึงตั้งใจว่าจะอยู่ในห้องหนังสืออีกพักใหญ่ เพื่อเขียนจดหมายส่งไปที่บ้าน

ห้องหนังสืออยู่เรือนกลางของเซี่ยเชียน เขาพาอาจื้อไปด้วยตัวเอง บอกว่าอยากเห็นเด็กชายเขียนจดหมาย

อาจื้อรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยถามว่า “พรุ่งนี้ท่านปู่เซี่ยไม่ต้องไปตั้งแต่เช้าตรู่หรือขอรับ? อีกทั้งยังเช้ากว่าท่านพ่อและท่านลุง…”

เซี่ยเชียนส่ายหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไม่มีปัญหา ได้ถือโอกาสนี้มาดูเจ้าเขียนจดหมายด้วยเป็นไร”

อาจื้อไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรอีก และเดินตามเซี่ยเชียนเข้าไปในห้องหนังสือ

ก้าวแรกที่ย่างเข้าไปเหยียบในห้องหนังสือนั้น อาจื้อก็ตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นดูถูกจวนเซี่ยเกินไปแล้ว

หอคอยทรงศาลา ดอกไม้และต้นไม้หลากชนิด ล้วนเทียบไม่ได้เลย สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นตระกูลเซี่ยโดยแท้จริง คือห้องหนังสือที่มีห้องนอนห้องหนึ่งซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึก มีชั้นหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือมากมายทั้งสามด้าน

เขาเพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเด็กบ้านนอกเข้าเมือง นอกจากจะอ้าปากตาค้างแล้ว ก็คงแสดงความรู้สึกนอกเหนือจากนี้ไม่ได้

สาวใช้ได้จุดไฟในตะเกียงน้ำมันเหล่านั้นไว้แล้ว ภายในห้องหนังสือจึงได้สว่างโร่ขึ้น อาจื้อเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใด แม้แต่ตะเกียงน้ำมันของตระกูลเซี่ยก็ยังสว่างไสวกว่าที่อื่น

“มัวอึ้งอะไรอยู่อีก?” เซี่ยเชียนชำเลืองมองอาจื้อแวบหนึ่ง

เขารีบดึงสติกลับมา และพยายามละสายตาของตัวเองจากชั้นหนังสือกลับมา มองเซี่ยเชียนและพูดว่า “ท่านปู่เซี่ยซ่อนหนังสือไว้มากมายขนาดนี้เลยหรือขอรับ…”

เซี่ยเชียนแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีดำ ยิ่งเพิ่มความน่าเกรงขามให้เขาไปทั่วทั้งร่างกายโดยไม่รู้ตัว ภายใต้แสงไฟสลัวที่วูบไหวพาให้รู้สึกผ่อนคลายนี้ ความเย็นชาที่แสดงออกมาทางใบหน้าของเขากลับไม่เห็นจะลดลงแต่อย่างใด

เขาจะพูดสิ่งใดให้มากความนอกจากยกมือขึ้น ฝูฉวีที่ยืนเงียบ ๆ อยู่ด้านข้างก็เดินรุดขึ้นหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็หยิบหมึกที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและเริ่มฝนหมึก

อาจื้อเดินตามเซี่ยเชียนมาตรงหน้าโต๊ะ กระทั่งได้ยินชายวัยกลางคนออกคำสั่งว่า “นั่งลง”

เด็กผู้ชายจึงนั่งบนเก้าอี้ที่เซี่ยเชียนมักนั่งเป็นประจำอย่างว่าง่าย หันหน้าเข้าหาโต๊ะหนังสือ กระทั่งมีเสียงดังมาจากด้านหลัง “ทั้งหมดเป็นหนังสือที่อยู่ในห้องหนังสือตระกูลเซี่ย ซึ่งยังขาดหายไปอีกเป็นจำนวนมาก”

อาจื้อตะลึงงันไปชั่วขณะ เพิ่งจะได้สติกลับมาในตอนที่เซี่ยเชียนกำลังตอบว่าหนังสือในห้องหนังสือที่เขาเอ่ยถึงเมื่อครู่นั้นมีจำนวนมหาศาล

ในวันที่ตระกูลเซี่ยถูกค้นจวนและยึดทรัพย์ เงินทองและผ้าไหมที่มีราคานั้นไม่เท่าไร แต่หนังสือในห้องหนังสือกลับอัดแน่นอยู่เต็มห้อง

จักรพรรดิองค์ก่อนนั้นหูเบาและขี้สงสัย เกรงว่าตระกูลเซี่ยจะมีแผนการติดต่อกับศัตรู จึงออกคำสั่งให้เผาหนังสือในตระกูลเซี่ยจนหมดเกลี้ยง ไม่มีเหลือแม้แต่ตัวอักษรหรือกระดาษสักแผ่น

อาจื้อเดาว่าน่าจะถูกเผาไปแปดส่วนถึงเก้าส่วน จึงอดรู้สึกแย่อยู่ในใจไม่ได้

จากที่มอง หนังสือกว่าหนึ่งพันเล่มนี้ ล้วนเป็นหนังสือที่เคยเก็บอยู่ในตระกูลเซี่ย ต่อมาก็ได้เก็บมันไว้ในห้วงความทรงจำของเซี่ยเชียนเอง เมื่อทุกอย่างสงบลงเขาเลยออกตามหาทั่วเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ?

เด็กชายหมุนตัวกลับ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเซี่ยเชียนและถามว่า “ท่านปู่เซี่ยยังขาดส่วนไหนอีกหรือขอรับ?”

ในปีที่ตระกูลเซี่ยประสบปัญหา เซี่ยเชียนยังอายุน้อยมาก แต่ก็เคยอ่านหนังสือที่ซุกซ่อนไว้ในบ้านแค่หนึ่งรอบ เพียงแต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปก็หลงลืมเรื่องเล็ก ๆ ไปมากมาย ไร้คนข้างกายหรือแม้แต่คนใกล้ชิดช่วยเตือนความจำ เซี่ยเชียนจึงทำได้แค่พึ่งพาความทรงจำตัวเอง นึกเอาส่วนที่เขาชอบที่สุดจากในอดีตออกมาทีละเล็กทีละน้อย

หนังสือในความทรงจำวัยเด็กโดยส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่นี่

เมื่อได้ยินคำถามของอาจื้อ เขากลับส่ายหน้าและพูดว่า “บางฉบับที่เหลือเล่มเดียวก็หาไม่เจอ”

ครั้นอาจื้อได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิด และถามอีกว่า “ท่านปู่เซี่ยเคยเห็นฉบับที่เหลืออยู่เล่มเดียวเหล่านั้นหรือขอรับ? ยังจำได้หรือไม่?”

เซี่ยเชียนรู้สึกลำบากใจไปชั่วขณะ ดูเหมือนจะเดาความคิดของอาจื้อออก “ต้องจำได้อยู่แล้ว”

ใบหน้าของเด็กชายเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ในเมื่อจำได้ ท่านปู่เซี่ยเป็นฝ่ายนึก ประเดี๋ยวข้าจะคัดลอกเอง เช่นนี้ฉบับที่เหลือเล่มเดียวแต่หาไม่เจอก็จะมีดั่งสมปรารถนาแล้วไม่ใช่หรือขอรับ? หนังสือของท่านก็จะกลับมาอยู่ในสภาพเดิม?”

เซี่ยเชียนนิ่งเงียบ

เพียงแค่เอาฉบับที่เหลืออยู่เล่มเดียวจากในความทรงจำมาเติมเต็ม เขาก็จะได้หนังสือทุกเล่มจากหนังสือเล่มเดิมกลับมาแล้วมิใช่หรือ?

จากนั้นได้ยินอาจื้อพูดอย่างเชื่อมั่นว่า “ท่านปู่เซี่ยวางใจเถิด ตัวอักษรของข้าเป็นระเบียบมาก แม้ว่าจะมีลักษณะไม่เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น แต่ถ้าเรื่องคัดลอกหนังสือไม่คณามือข้าแน่นอนขอรับ”

เซี่ยเชียนชำเลืองไปมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้ชื่นชมแต่ก็ไม่ได้คัดค้าน

ในขณะที่เอ่ยถึงตัวอักษรของอาจื้อ หมึกที่ฝูฉวีฝนอยู่อีกด้านก็เสร็จพอดี เซี่ยเชียนจึงพูดว่า “เรื่องจดหมายวางไว้ก่อนเถอะ เจ้าลองเขียนตัวอักษรให้ข้าดูสักตัวสองตัวสิ”

อาจื้อพยักหน้า

ฝูฉวีกางกระดาษซวนจื่อ [1]ให้เขา จากนั้นก็ใช้หินทับกระดาษรูปปี่เซียะสีขาวตัวหนึ่งทับส่วนบนสุดของกระดาษไว้ และมอบหมึกที่ฝนเรียบร้อยแล้วให้เขา

หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางก็ยืนกุมมืออยู่ด้านข้าง ไม่ได้ส่งเสียงแม้แต่น้อย

อาจื้อส่งยิ้มให้ฝูฉวี “รบกวนพี่สาวแย่แล้ว”

เก้าอี้ของเซี่ยเชียนนั้นค่อนข้างสูง ยามที่อาจื้อนั่งแขนและข้อมือจึงไม่สมดุลกัน สุดท้ายก็ต้องยืนขึ้น

เขาจุ่มหมึกดำ กลั้นหายใจ สมาธิจดจ่อ ยกพู่กันแล้วเขียนแบบตัวอักษรด้วยตัวบรรจงลงบนกระดาษซวนจื่อ มันคือประโยคแรกบนหนังสือที่เซี่ยเชียนเปิดอ่านแล้วแต่ยังไม่ได้เก็บบนโต๊ะ

หลังจากเขียนเสร็จ อาจื้อก็วางพู่กันลง และอ่านมันด้วยเสียงเบาว่า “สวรรค์อยู่ภายใน คนอยู่ภายนอก คุณธรรมอยู่ที่ลมหายใจ”

ฝูฉวียืนรับใช้อยู่ข้างกายไม่เคยได้เรียนหนังสือ นางชื่นชมเซี่ยเชียนที่สุด ในใจราวกับว่าผู้เป็นนายคือผู้มีความรู้ไร้ขีดจำกัด

บัดนี้ครั้นเห็นอาจื้อที่อายุยังน้อย จับพู่กันเขียนออกมาเป็นตัวอักษรที่งดงามถึงเพียงนี้ได้ จึงอดไม่ได้ที่จะเพิ่มความศรัทธาที่มีต่อเขาขึ้นในใจ

ไม่แปลกใจเลยที่ได้เป็นทายาทของคุณหนูตระกูลเซี่ย มีความเชื่อมโยงทางด้านสายเลือดกับเซี่ยเชียน

นางคิดเช่นนี้

กระทั่งเห็นนิ้วมือที่เรียวยาวของเซี่ยเชียนแตะไปบนกระดาษซวนจื่ออย่างแผ่วเบา และประเมิน “การเว้นวรรคระหว่างตัวอักษรไม่เหมาะสม ขนาดไม่ถูกต้อง คำว่า ‘เหริน [2]’ ใหญ่ คำว่า ‘เต๋อ [3]’ เล็กเกินไป”

เขาพูดขณะหยิบพู่กันขึ้น และใช้มืออีกข้างรวบแขนเสื้อขนาดกว้างที่หย่อนลงมาบนโต๊ะ แขนเสื้อสีดำทมิฬของเขาตัดกับปลายนิ้วอันขาวเนียนดุจหยกที่ถือพู่กันอยู่ราวกับกระดาษซวนจื่อ

เซี่ยเชียนมองไปทางอาจื้อแวบหนึ่ง และพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ดูให้ดี”

เขาลงพู่กันบนกระดาษซวนจื่ออย่างนิ่งสงบ เมื่อเขียนประโยคหนึ่งเสร็จ ก็วางพู่กันลงบนที่วางอย่างเบามือ

ดวงตาคู่นั้นของอาจื้อเบิกกว้าง มองลายมือที่เหมือนกันทั้งสองแถวบนกระดาษซวนจื่อ ด้านบนเป็นลายมือของเขา ส่วนด้านล่างเป็นลายมือของเซี่ยเชียน ดูเหมือนทั้งสองแถวจะถูกเขียนด้วยพู่กันด้ามเดียวกัน

เพียงแต่แถวล่างนี้ เห็นได้ชัดว่างดงามไร้ที่ติกว่าแถวบนมากทีเดียว

ทุกตัวอักษรของเซี่ยเชียนล้วนรักษาขนาดได้ตรงมาตรฐาน ช่องไฟที่สมดุล เดิมทีอาจื้อก็เขียนได้ไม่เลว เพียงแต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว กลับมองเห็นถึงข้อบกพร่องในทันที กระทั่งได้ยินเซี่ยเชียนพูดอีกครั้งว่า “ตอนนี้กำลังข้อมือของเจ้ายังน้อยนัก พลังบนตัวอักษรจึงไม่มากพอ วันข้างหน้านอกจากจะต้องฝึกฝนทักษะพื้นฐานให้แข็งแรงแล้ว ยังต้องฝึกเขียนในสมุดคัดลายมือหลายครั้งอย่างจริงจังด้วย”

อาจื้อได้ยินดังนั้นก็รีบพยักหน้า

การฝึกเขียนตัวอักษรสำหรับเขาไม่ถือว่ายากนัก แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญอย่างเซี่ยเชียนถือว่าทักษะพื้นฐานยังแย่มาก

เซี่ยเชียนจึงใช้แบบอักษรของเขาเอง เขียนตัวอักษรที่สมบูรณ์ได้มาตรฐานหนึ่งรอบ

ยิ่งอาจื้อเห็นก็ยิ่งรู้สึกว่าฝีมือของตัวเองนั้นแย่มาก ๆ จึงได้เอ่ยถามว่า “ท่านปู่เซี่ย ต่อไปข้าจะต้องฝึกเขียนตัวอักษรให้มากขึ้น ถึงจะสามารถเขียนออกมาได้เหมือนกับตัวอักษรที่แม่นยำกว่าที่เคยเขียนกับท่านใช่หรือไม่ขอรับ?”

………………………………………………………………………………………………..

[1] กระดาษซวนจื่อ เป็นกระดาษเนื้อเหนียวชนิดพิเศษสำหรับเขียนพู่กัน เมื่อเปื้อนหมึกแล้วจะไม่ทำให้ตัวอักษรพร่าเลือน

[2] เหริน (人) แปลว่าคน

[3] เต๋อ (德) แปลว่าคุณธรรม

สารจากผู้แปล

เสียดายหนังสือเลยค่ะ หลังได้ยินว่าที่เหลืออยู่นี้เป็นเพียงไม่กี่ส่วนจากที่มีอยู่เดิม

ท่านปู่เซี่ยเขียนพู่กันโหดมาก ขนาดอาจื้อที่ว่าเขียนสวยแล้วยังสู้ไม่ได้

ไหหม่า(海馬)