เล่ม-1 ตอนที่ 110-2 ฝันเหมือนจริง ฉลองขึ้นบ้านใหม่

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 110-2 ฝันเหมือนจริง ฉลองขึ้นบ้านใหม่

ห้องของจิ่งอวิ๋นไม่ถือว่าสวยงามนัก มันเป็นห้องที่สงบและเรียบง่าย เช่นเดียวกับอุปนิสัยของเขา ห้องของวั่งซูจึงจะเรียกได้ว่าทำให้คนตาบอดของจริง

“วั่งซู เตียงของเจ้าใหญ่มาก! แถมทำมาจากทองอีก! เป็นทองคำจริงหรือ” เด็กหญิงอายุแปดขวบในหมู่บ้านที่มีนามว่าเอ้อร์ยาเอ่ยถาม

เอ้อร์ยาไม่ได้ไปเรียน เมื่อก่อนเอ้อร์ยาแทบไม่อยากเล่นกับวั่งซู รังเกียจที่นางสกปรก รังเกียจที่นางโง่เขลา แต่ตอนนี้ไม่เพียงวั่งซูจะสะอาดเท่านั้น แม้แต่บ้านก็สะอาดอย่างไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญในบ้านมีสิ่งของมากมายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน

“แน่นอน มันคือทองคำแท้!” ความจริงแล้วนางก็ไม่รู้หรอก

เอ้อร์ยาชี้ไปที่นกประหลาดตัวหนึ่งแล้วถามว่า “นี่อะไร”

วั่งซูกล่าวว่า “นี่คือนกยูงทองคำของข้า!”

“มันทำมาจากทองคำหรือ” เอ้อร์ยาถาม

“ใช่!” วั่งซูพยักหน้าอย่างหนักแน่น

เอ้อร์ยากลืนน้ำลาย วั่งซูไม่รู้ว่าทองคำคือสิ่งใด แต่นางรู้ “ให้ข้าจับได้หรือไม่”

“เอาไปสิ!” วั่งซูส่งของเล่นให้เอ้อร์ยาอย่างไม่หวง

หลังจากนั้นเด็กหญิงตัวน้อยคนอื่นๆ ก็อยากจับสิ่งของของวั่งซู วั่งซูก็ให้พวกเขาจับอย่างใจกว้าง จากนั้นวั่งซูก็ถือของเล่นชิ้นเล็กๆ ที่แม่ของนางทำไว้ให้มาเล่นบนเตียง “พวกเจ้าจะขึ้นมาเล่นบนเตียงของข้าก็ได้นะ”

เด็กหญิงตัวเล็กจ้อยทั้งหลายต่างปีนขึ้นไปอย่างตื่นเต้น

เตียงนอนใหญ่มาก กลิ้งเล่นไปมาก็ไม่ตก ทั้งใหญ่ทั้งนอนสบาย

มิตรภาพระหว่างเด็กหญิงตัวน้อยทั้งหลายจึงก่อเกิดด้วยประการฉะนี้

ด้านนอก แขกทยอยมาถึงทีละคน ไม่ได้มีแต่ชาวบ้านของหมู่บ้านนี้แต่ยังมีคนมาจากหมู่บ้านข้างเคียงด้วย บางคนรู้จักเฉียวเวย บางคนรู้จักบ้านสกุลหลัว ตัวอย่างเช่นสหายมากมายที่หลัวหย่งจื้อรู้จักตอนรับซื้อกุ้ง ครั้งนี้ก็เชิญพวกเขามาเป็นเกียรติด้วย

หลัวหย่งจื้อ เฉียวเวยและป้าหลัวทักทายแขกอยู่ด้านนอก ส่วนที่ห้องครัวมอบให้เป็นหน้าที่ของป้าจ้าว แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อ ชุ่ยอวิ๋นและตาเฒ่าซวนจื่อ วันนี้เฉียวเวยเพิ่งได้รู้ว่าตาเฒ่าซวนจื่อทำอาหารเก่ง แต่เขาเกียจคร้าน ปกติใครเชิญเขาก็ไม่ไป แต่พอได้ยินข่าวว่าเฉียวเวยจัดเลี้ยง เขาก็เสนอตัวมาเอง ทำให้ป้าจ้าว ‘โมโห’ มาก

ป้าจ้าวถลึงตามองเขา “ตอนจัดเลี้ยงบัณฑิตถงเซิงของลูกชายข้า เจ้าไม่เห็นมา ดูถูกบ้านสกุลจ้าวของเราใช่หรือไม่”

ตาเฒ่าซวนจื่อยิ้มอายๆ “ตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาวมิใช่หรือ ข้าปวดขามาก กลัวว่าจะไปทำลายงานบ้านเจ้า”

ปวดก็จริง แต่แค่ไม่กี่วันก็หายแล้ว

ป้าจ้าวทั้งโมโหทั้งขำ ใครไม่รู้บ้างว่าคนผู้นี้เกียจคร้านนัก นาไม่ทำ วันๆ เอาแต่เฝ้ารถม้ากับเกวียนวัว หาเงินจากการไปส่งคนไปกลับเท่านั้น มีแต่เสี่ยวเฉียวที่เชิญเขามาได้ กระทั่งหัวหน้าหมู่บ้านเชิญก็ไม่แน่ว่าจะมาหรือไม่!

“เสี่ยวเฉียว เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่” ลุงอายุสี่สิบที่อยู่ในวัยกลางคนรูปร่างผอมสูงเดินเข้ามาในเรือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขามองดอกกุหลาบที่บานบนรั้วไม้แล้วถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ “เจ้าสร้างบ้านได้งดงามมากจริงๆ! เหมือนคฤหาสน์หรูหราของครอบครัวร่ำรวยอย่างไรอย่างนั้น ถ้าไม่รู้คงคิดว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ในเมืองคนใดมาสร้างบ้านไว้!”

“หัวหน้าหมู่บ้านหยาง” เฉียวเวยยิ้มพลางส่งน้ำชาให้

หัวหน้าหมู่บ้านหยางรับมา “วิธีปรับปรุงดินเค็มของเจ้ามีประสิทธิภาพมากนัก ที่ดินในหมู่บ้านของเราดีขึ้นเกือบหมดแล้ว หลายวันก่อนข้าพยายามปลูกต้นกล้าข้าวโพด เจ้าเดาสิว่าเป็นอย่างไร ใช่ มันไม่ตาย! แต่ข้าตั้งใจไว้ว่าจะปลูกข้าวฟ่างหวานเพราะข้าเห็นว่าไร่ข้าวฟ่างของเจ้าเติบโตได้ดี ถึงตอนนั้นอย่าลืมมาชี้แนะที่หมู่บ้านของเราด้วยเล่า!”

เฉียวเวยกล่าวอย่างเป็นมิตร “หัวหน้าหมู่บ้านหยางเกรงใจเกินไปแล้ว คนในหมู่บ้านของท่านเสียอีกที่เป็นคนสอนให้ข้าปลูกข้าวฟ่างหวาน”

“จริงหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านหยางประหลาดใจ

นางไม่เคยปลูกข้าวฟ่างหวานมาก่อน ดังนั้นป้าหลัวจึงจ้างชาวนาสองคนที่เคยปลูกมาจากหมู่บ้านข้างๆ ซึ่งก็คือหมู่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านหยาง

เฉียวเวยกล่าวว่า “ลุงหูกับปู่ว่านอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

หัวหน้าหมู่บ้านหยางครุ่นคิด “จริงด้วย ดูเหมือนทั้งสองคนจะเคยปลูกมาก่อน”

หัวหน้าหมู่บ้านหยางเงียบไปครู่หนึ่งก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “พวกเขาเคยปลูกเมื่อนานมาแล้ว แต่เจ้าปลูกตอนนี้ ต่างก็ถ่ายทอดประสบการณ์ได้เหมือนกัน! แล้วก็ข้าไปดูที่หมู่บ้านของเจ้ามาแล้ว ถอนหญ้าจนสะอาด หนอนแมลงก็ไม่มี เจ้าทำได้อย่างไร ถึงตอนนั้นเล่าให้พวกข้าฟังสักหน่อย”

หญ้าถูกจัดการโดยคนไร้ประโยชน์ แมลงก็ถูกจับโดยเสี่ยวไป๋ ประสบการณ์นี้ออกจะ…ยากเกินกว่าอธิบาย

เฉียวเวยเชิญหัวหน้าหมู่บ้านหยางไปนั่งที่โต๊ะ

ปัง! ปัง! ปัง!

เกิดเสียงดังขึ้นอย่างกะทันหันที่ประตูบ้าน ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ

หัวหน้าหมู่บ้านหัวเราะร่าโผล่ออกมา ในมือถือกระบอกไม้ไผ่ “ซื้อดอกไม้ไฟไม่ได้ แต่จุดประทัดได้นะ!”

ทุกคนในบ้านหัวเราะดังครืน

ไม่นาน คนจากหรงจี้ก็มาด้วย

เถ้าแก่หรงกอดหมูทองตัวน้อยเดินเข้าไปในเรือนอย่างองอาจ “เสี่ยวเฉียว!”

ดวงตาของเฉียวเวยเป็นประกาย “เสี่ยวหรงหรง?”

“อย่าเรียกข้าแบบนั้น!” เถ้าแก่หรงฮึดฮัด กระซิบเสียงเบา “เรียกได้แค่ตอนที่อยู่กันสองคนเท่านั้น”

“ฮ่าๆ!” เฉียวเวยหัวเราะเสียงดังลั่น แล้วเดินนำเถ้าแก่หรง เสี่ยวลิ่ว พ่อครัวเหอและเหยาชิง ไปนั่งที่โต๊ะ “ชนบทไม่มีสิ่งใดหรูหรา เทียบกับหรงจี้มิได้ ทุกคนโปรดอภัย”

“ไม่เลยๆ พี่เฉียว บ้านของท่านสร้างได้งดงามมาก!” เสี่ยวลิ่วพูดอย่างอิจฉา พี่เฉียวอายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี แต่นางเก่งกาจกว่าเขามาก เพียงครึ่งปีก็สร้างบ้านหลังใหญ่ เขาต้องขยันให้มาก ตอนนี้เขายังไม่มีแม้แต่ภรรยาด้วยซ้ำ

เถ้าแก่หรงเอาหมูทองตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเขายื่นให้เฉียวเวย “ให้เจ้า”

เฉียวเวยประหลาดใจ “ทำไมท่านถึงให้หมูกับข้า”

เถ้าแก่หรงส่งเสียงหึขึ้นจมูก “ใครว่าให้เจ้า สำหรับวั่งซูต่างหาก!” ตอนอยู่ในห้องบัญชีของเขาแม่หนูคนนั้นเหลือบมองตั้งหลายครั้ง ทุกครั้งที่เห็นก็น้ำลายไหล แต่นี่เป็นหมูทองคำ ราคาไม่ใช่น้อยๆ เขาตัดใจไม่ลง แต่วันนี้เป็นวันฉลองขึ้นบ้านใหม่ของเสี่ยวเฉียว เขาจึงตัดใจด้วยความเจ็บปวด

ตอนแรกคิดว่าเสี่ยวเฉียวจะรู้สึกเกรงใจไม่กล้ารับมัน เขาถึงกับคิดหาคำพูดที่จะเกลี้ยกล่อมให้นางรับไว้แล้วด้วยซ้ำ โดยไม่คิดเลยว่า…

“ทำไมมีแค่ของลูกสาวข้า แล้วลูกชายข้าเล่า”

เถ้าแก่หรงหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง!

ไม่นานหลังจากนั้น คนจากโรงอิฐก็มาถึง

ผู้แลฉิวแต่งกายด้วยเสื้อคลุมตัวยาวสีน้ำเงิน ท่าทางอารมณ์ดี ข้างหลังเขามีผู้ติดตามถือกล่องเล็กๆ เดินตามมาด้วย เขาประสานมือคำนับเฉียวเวย “สุขสันต์วันขึ้นบ้านใหม่ ยินดีด้วย!”

เฉียวเวยไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ดูแลฉิวจะมา นางทำงานในหรงจี้จึงไม่แปลกที่คนในหรงจี้จะทราบเรื่องงานเลี้ยง แต่ผู้ดูแลฉิวนั้นไม่เหมือนกัน เพราะนางไม่ได้ไปโรงอิฐมาเป็นเวลานานแล้ว

“ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่” เฉียวเวยยิ้ม แล้วพาผู้ดูแลฉิวเข้าไปในเรือน

ผู้ดูแลฉิวขยิบตาพลางกล่าวว่า “เรื่องที่เจ้าสร้างบ้านเป็นที่ฮือฮามากขนาดนี้ อยากรู้เรื่องของเจ้าจะไปยากอะไร” อัครมหาเสนาบดีให้นายท่านหกเปลี่ยนหินเขียวเป็นหินอ่อนสีขาว เปลี่ยนไม้ซานเป็นไม้หนานมู่เนื้อทอง เขาจะไม่ทราบได้หรือ

เฉียวเวยรู้สึกว่าด้วยความสามารถของนายท่านหก ต้องการสืบเรื่องอะไรล้วนง่ายดายประดุจพลิกฝ่ามือ นางจึงไม่ได้ขบคิดอันใดมาก

ผู้ดูแลฉิวหยิบกล่องสองกล่องมาจากมือของผู้ติดตาม “กล่องทรงสี่เหลี่ยมใบนี้เป็นของที่ไท่ฮูหยินฝากมามอบให้เจ้า นางยังคงรักษาตัวอยู่ ไม่สะดวกมาหาด้วยตนเอง จึงขอให้ข้ามาแสดงความยินดีแทนนาง”

“ขอบคุณไท่ฮูหยิน” เฉียวเวยรับกล่องสี่เหลี่ยมมา

จากนั้นผู้ดูแลฉิวก็มอบกล่องยาวอีกกล่องให้นาง “นี่เป็นของที่นายท่านหกมอบให้ เดิมทีเขาต้องการมาด้วยตนเอง แต่ข้าเกลี้ยกล่อมไว้ไม่ให้มา คิดว่าฮูหยินน่าจะทราบดีถึงนิสัยพิเศษของเขา”

ทราบดี ทราบดีมากเชียวล่ะ แม้นายท่านหกจะปฏิบัติต่อนางอย่างดี แต่สันดานของเขาเป็นคนตัณหาจัด หากเขามาเยี่ยมเยือนเรือนของนางจริงๆ เกรงว่าสตรีที่ยังไม่ออกเรือนแถวนี้คงจะซวยกันหมด

เฉียวเวยมองไปรอบๆ ส่วนใหญ่คนที่นั่งอยู่ตอนนี้เป็นชาวบ้านชนบท คนทำมาค้าขายดูแลกิจการใหญ่โตเช่นผู้ดูแลฉิวย่อมคุยกันไม่ถูกคอ เพื่อให้ไม่รู้สึกประดักประเดิด เฉียวเวยจึงจัดโต๊ะให้ผู้ดูแลฉิวนั่งโต๊ะเดียวกันกับเถ้าแก่หรง

ล้วนเป็นคนทำการค้า ฐานะคล้ายคลึงกัน ทั้งสองจึงรู้สึกสนิทสนมตั้งแต่แรกพบหน้า สนทนากันอย่างสนุกสนานยิ่งนัก

หัวหน้าหมู่บ้านใฝ่ฝันจะได้เป็นสหายกับผู้มั่งคั่งทั้งหลาย ครั้นเห็นเถ้าแก่หรงนั่งอยู่กับผู้ดูแลฉิว เขาก็ทำตาลุกวาวเหมือนแมวที่เห็นปลา เขาเทจอกสุราเดินเข้าไปหา

เพราะเห็นแก่หน้าของเฉียวเวย ทั้งเถ้าแก่หรงและผู้ดูแลฉิวต่างปฏิบัติต่อหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความสุภาพอย่างยิ่ง

ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงวัน ลานกว้างใหญ่ก็เต็มไปด้วยผู้คน นายช่างเจิ้งกับนายช่างทั้งแปดก็มาถึงแล้ว พวกเขายิ้มและกล่าวแสดงความยินดีกับเฉียวเวย พอได้ยินคนชมว่าบ้านของเฉียวเวยสวยงามเพียงใด พวกเขาก็ภาคภูมิใจยิ่งนัก

“บ้านหลังนี้สร้างได้ดี” ผู้ดูแลฉิวให้นายช่างเจิ้งนั่งข้างเขา “นี่คือนายช่างเจิ้งใช่หรือไม่ ข้ากำลังวางแผนจะสร้างบ้าน นายช่างเจิ้งมีเวลาช่วยข้าดูหรือไม่”

การกินเลี้ยงก็อาจเป็นการพูดคุยธุรกิจได้ นายช่างเจิ้งยิ้มจนหุบไม่ลง

รถม้าแล่นโคลงเคลงบนเส้นทางที่มุ่งไปยังหมู่บ้าน สารถีไม่เคยขับรถม้าผ่านถนนที่แคบและเป็นหลุมเป็นบ่อเช่นนี้มาก่อน ฝ่ามือจึงชื้นเหงื่อด้วยความประหม่า

“ผู้หญิงคนนั้นอาศัยอยู่ที่นี่จริงหรือ” คุณชายผู้สูงศักดิ์ในรถถามอย่างดูแคลน

หัวหน้าชุยยิ้มแล้วกล่าวว่า “จริงขอรับ บ่าวเคยมาที่นี่แล้ว จำไม่ผิดแน่”

คุณชายผู้สูงศักดิ์ในรถมิใช่ใครอื่น เขาก็คือองคร์รัชทายาทผู้อยู่ภายใต้คนเพียงคนเดียวแต่อยู่เหนือคนทั้งใต้หล้า

องค์รัชทายาทไม่ได้มาเพื่อแสดงความยินดีกับเฉียวเวย เขาไม่รู้เรื่องการสร้างบ้านของเฉียวเวยด้วยซ้ำ แต่เขามาเพื่อกินแกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดโดยเฉพาะ หลังจากที่ได้ลิ้มลองในวันนั้น เขาก็ให้ห้องเครื่องทำให้ทานอีกหลายครั้ง แต่น่าเสียดายที่รสชาติไม่สดอร่อยเหมือนวันนั้น เขาบอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะรสมือของหญิงสาวคนนั้น หรือเพราะวัตถุดิบกันแน่ อย่างไรเสียเขาอยู่ในวังหลวงก็ไม่มีอะไรทำจึงบุกบั่นมาถึงนี่

องค์รัชทายาทเป็นเจ้านายประเภทที่ถ้าสามารถนอนได้ก็จะไม่ยอมนั่ง ถ้าสามารถนั่งได้ก็จะไม่ยอมยืน เพียงขบคิดหาวิธีให้องค์รัชทายาทลงมาเดินมากขึ้นสักสองสามก้าว ฮ่องเต้ก็กลัดกลุ้มจนเกศาขาว ครั้นได้ยินว่าองค์รัชทายาทต้องการออกไปท่องเที่ยวนอกวังหลวง พระองค์จึงทรงรับปากโดยไม่ตรัสอันใด

รถม้าเข้ามาในหมู่บ้าน

หมู่บ้านว่างเปล่าเหมือนถูกทิ้งร้าง ไม่เห็นใครสักคน มีเพียงแม่เฒ่ากับพ่อเฒ่าที่อายุมากไม่กี่คนที่นั่งรับลมอยู่ใต้ร่มไม้

บ้านสกุลหลัวก็ไม่มีคนอยู่

หัวหน้าชุยเข้าไปถาม ถึงได้รู้ว่าเฉียวเวยเพิ่งสร้างบ้านเสร็จ ทุกคนต่างไปกินเลี้ยงที่บนเขากัน หัวหน้าชุยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก งานเลี้ยงนี้มีของอร่อยแค่ไหนกันเชียว คนถึงได้ยกโขยงไปกันทั้งหมู่บ้าน

“ในชนบทก็มีงานเลี้ยงอย่างนั้นหรือ” องค์รัชทายาทผู้ไม่เคยออกจากวังและไม่เข้าใจแม้กระทั่งความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐานของมนุษย์ แสดงความอยากรู้อยากเห็นอย่างแรงกล้า “แม้แต่ข้าวพวกเขาก็ยังทานไม่อิ่ม ต้องทานแต่ผักหญ้าทุกวันมิใช่หรือ”

หัวหน้าชุยคิด หากคำพูดนี้ไปถึงพระกรรณของเสด็จพ่อท่านคงโดนตีก้นแน่ กล้ากล่าวว่าแผ่นดินที่เสด็จพ่อของท่านปกครองประชาชนอยู่กันอย่างลำเค็ญ

รถม้าหยุดที่เชิงเขา

สารถีกล่าวขึ้นมาว่า “นายท่าน รถม้าขึ้นไม่ได้แล้วขอรับ”

องครัชทายาทเปิดม่านขึ้น ทอดสายตามองไปยังฝูงชนที่พลุกพล่านบนภูเขา “ทางยังอีกไกล ข้าไม่อยากขึ้นไป เรียกให้นางลงมา”

หัวหน้าชุยคิดในใจว่า ผู้หญิงคนนั้นอารมณ์รุนแรงนัก เกรงว่าท่านจะไม่สามารถเชิญนางลงมาได้

หลังจากกระแอมแล้ว หัวหน้าชุยก็พูดว่า “ท่านไม่เคยเห็นงานเลี้ยงในชนบทมิใช่หรือ ถ้าอย่างไรใช้โอกาสนี้เสด็จขึ้นไปดูดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

องค์รัชทายาทลังเล

“เห็ดต้องเก็บและปรุงในตอนนั้นถึงจะอร่อย รอจนลงจากเขามารสชาติก็ไม่อร่อยแล้ว”

ภาพเฉียวเวยปีนขึ้นกิ่งไม้เพื่อเก็บเห็ดปรากฏขึ้นในความคิดขององค์รัชทายาททันที เขาจึงพยักหน้าและลงจากรถ

เมื่อเขาลงจากรถ ถึงพบว่ารถม้าที่จอดเรียงหลายอยู่หลายคันตรงนั้น มีคันที่เขารู้จักอยู่สองคัน คันหนึ่งคือของพี่เจ็ดของเขา อีกคันของท่านอาของเขา

มีแขกผู้สูงศักดิ์อีกสองท่านมาเยือนคฤหาสน์ ทั้งสองท่านนั้นแตกต่างจากคหบดีผู้ร่ำรวยเช่นเถ้าแก่หรงและผู้ดูแลฉิว พวกเขามีกลิ่นอายของความเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์มาแต่กำเนิด อำนาจที่แผ่ออกมาจากตัวของพวกเขาปกคลุมคฤหาสน์ทั้งหลัง ลานบ้านที่แต่เดิมมีเสียงคุยกันเจี๊ยวจ๊าว จู่ๆ ก็เงียบในบัดดล กระทั่งเสียงเด็กที่กำลังร้องไห้อยู่ก็เงียบหายไป

“ไม่ได้เจอกันนาน อัครมหาเสนาบดีสบายดีหรือไม่” ยิ่นอ๋องกล่าวทักทายด้วยท่าทางประชัดประชัน

จีหมิงซิวยิ้มบางๆ “อาการบาดเจ็บของยิ่นอ๋องหายเป็นปกติแล้วหรือ เมื่อวานข้ายังเห็นท่านอ๋องหน้าซีด เลือดลมไม่ปกติอยู่เลย ควรจะนอนพักบนเตียงดีกว่า”

ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น “ต้องขอบคุณอัครมหาเสนาบดี ตอนนี้ร่างกายของข้าดีขึ้นมากแล้ว วันนี้เป็นวันฉลองขึ้นบ้านใหม่ของชายารองข้า ต้องขอบคุณท่านอาที่ให้เกียรติ”

“ชายารอง?” จีหมิงซิวส่งเสียงหึๆ อยู่ในลำคอ แล้วกล่าวว่า “หากข้าจำไม่ผิด นางเป็นภรรยาที่ยังไม่ได้แต่งเข้าจวนของข้า เจ้าควรเรียกนางว่าอาสะใภ้มากกว่า”

มุมปากของยิ่นอ๋องกระตุกอย่างรุนแรง

“พวกท่านคุยอะไรกัน” เฉียวเวยเดินเข้ามา “พวกท่านยืนขวางทางอยู่ตรงนี้ ทำให้ชาวบ้านกลัวกันหมด!”

จีหมิงซิวจับมือนางเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ายังไม่ได้แนะนำเจ้าอย่างเป็นทางการ เสี่ยวเวย นี่คือยิ่นอ๋อง ว่าที่หลานชายของเจ้า”

โอ๊ะ เจ้าหมอนี่ห่างกับหมิงซิวคนละรุ่นเชียวหรือ!

ลี่ว์จูบอกว่ามารดาของหมิงซิวเป็นองค์หญิง นางคิดว่าน่าจะเป็นน้องสาวของฮ่องเต้ แต่นางไม่คิดว่าจะเป็นอาของฮ่องเต้!

ฮ่าๆ น่าสนใจจริงๆ!

“ที่แท้ก็เป็นหลานชาย ทำไมพี่ซิวไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะเจ้าคะ ข้าเลยไม่ได้ต้อนรับอย่างดี” เฉียวเวยพูดอย่างออดอ้อน นางจะไม่พลาดโอกาสใดๆ ที่จะทำให้ยิ่นอ๋องไม่พอใจ ระหว่างการไม่ปล่อยให้หมิงซิวเอาเปรียบกับการทำให้ยิ่นอ๋องไม่พอใจ นางจะเลือกอย่างหลังโดยไม่ลังเล

ยิ่นอ๋องกำลังจะกระอักเลือดเพราะหญิงไร้ยางอายคนนี้ “หลานชายเช่นนั้นหรือ ดูเหมือนตอนที่เจ้าร้องไห้อ้อนวอนให้ข้าพาเจ้าหนี เจ้าจะไม่ได้กล่าวเช่นนี้นะ!”

เฉียวเวยพูดอย่างใจเย็น “แหมๆ ตอนวัยสาวมีใครบ้างที่ไม่เคยพบผู้ชายเลวๆ เรื่องที่แล้วไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ ไยหลานชายต้องยึดไว้ไม่ยอมปล่อยวาง ประเดี๋ยวผู้คนจะพาลคิดว่าท่านอ๋องของแคว้นนี้ใจกล้าสู้สตรีเช่นข้ามิได้”

ยิ่นอ๋อง “เจ้า…”

เฉียวเวยขัดจังหวะเขาด้วยรอยยิ้ม “ผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก พี่ซิว รีบพาหลานชายเข้าไปข้างในเถิด หลานชายฐานะสูงส่ง ข้าว่าอย่านั่งโต๊ะกินเลี้ยงที่ลานบ้านเลย พวกท่านนั่งโต๊ะในโถงรับแขกดีกว่า ข้าจะลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง ยินดีต้อนรับนะหลานชาย”

จีหมิงซิวมองนางด้วยสายตาหวานฉ่ำ “ได้”

ฉากที่ทั้งสองมองหน้ากันไปมาทำให้ยิ่นอ๋องแทบเป็นบ้า ผู้หญิงของเขา แม่ของลูกเขากลับไปพัวพันกับคนที่มีศักดิ์เป็นอาของเขา มันจะมากเกินไปแล้ว!

จีหมิงซิวเดินเข้าไปก่อนหลายก้าว เมื่อเห็นว่ายิ่นอ๋องไม่ได้ตามมา เขาจึงหันกลับไปแล้วส่งยิ้มยั่วยุ “หลานชาย เชิญ?”

เมื่อทั้งสองเข้ามาในห้องก็พบว่าห้องโถงรับแขกนั้นมีคนนั่งอยู่แล้ว

ยิ่นอ๋องตกตะลึง “น้องแปด?”

องค์รัชทายาทเดินมาถึงครึ่งทางแล้วรู้สึกเหนื่อยมาก จึงให้องครักษ์เงาใช้วิชาตัวเบาพาเขาเหาะขึ้นมา จากนั้นหาห้องนั่งพักสักห้องหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นห้องโถงต้อนรับแขก

“พี่เจ็ด ท่านอา” องค์รัชทายาททักทายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ทั้งสามนั่งรอบโต๊ะ

องค์รัชทายาทนั่งตรงกลาง ส่วนคู่อริทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน

เมื่อเฉียวเวยยกชาเข้าไปในห้อง มองแวบแรกก็เห็นองค์รัชทายาทผู้สวมอาภรณ์หรูหรา รูม่านตาหดด้วยความตกตะลึง “องค์รัชทายาท ท่านมาได้อย่างไรเพคะ”

หลังจากวิ่งขึ้นมาบนภูเขาในอึดใจเดียว หัวหน้าชุยผู้เหนื่อยหอบเหมือนสุนัขก็เดินโซซัดโซเซเข้าประตูมา “แฮ่กๆ องค์รัชทายาท…แฮ่กๆ…ใต้เท้า…แฮ่กๆ…ท่านอ๋อง…”

องค์รัชทายาทพูดอย่างขุ่นเคือง “แกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดของข้า”

ริมฝีปากปากของเฉียวเวยกระตุก ท่านมาถึงนี่เพื่อมากินลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดอย่างนั้นหรือ

“ต้องรอนานเพียงใด” องค์รัชทายาทถามด้วยความไม่พอใจ

เฉียวเวยฉีกยิ้มแต่ใจจริงไม่ยิ้ม “ได้เดี๋ยวนี้เพคะ”

เฉียวเวยกลับเข้าห้องครัว หยิบเห็ดกระเพาะแพะและเห็ดสนที่เก็บมาจากภูเขา เด็กๆ ก็ชอบทานเหมือนกัน นางจึงปรุงพร้อมกันกับของเด็กๆ เลย แกงจืดลูกชิ้นกุ้งใส่เห็ดหม้อใหญ่กับแกงจืดลูกชิ้นเนื้อหม้อเล็ก

เมื่อจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูได้ยินว่าลุงหมิงมาแล้ว พวกเขาก็วิ่งเข้าไปในห้องโถงรับแขกพร้อมกัน

องค์รัชทายาทมองใบหน้าของจิ่งอวิ๋น แล้วมองพี่เจ็ดของตน “ลูกของท่านหรือ”

ยิ่นอ๋องภูมิใจ

แกงจืดเห็ดถูกยกออกมาตั้งขึ้นโต๊ะ

หัวหน้าชุยตักแบ่งให้ทุกคน เมื่อเขาตักลูกชิ้นกุ้งใส่ลงในชามของจิ่งอวิ๋น จิ่งอวิ๋นก็เลื่อนชามนั้นออกแล้วพูดว่า “ข้าไม่กินกุ้ง ข้าแพ้กุ้งขอรับ”

แววตาของจีหมิงซิวชะงักไปวูบหนึ่ง