หลี่จื้อติดตามขันทีเข้าวัง หลายวันก่อนเขาถวายฎีกาขึ้นกราบทูลให้เข้าโจมตีหนานฉู่แต่มิได้รับการตอบรับ ในที่สุดวันนี้เสด็จพ่อก็เรียกเขาเข้าวังแล้ว จึงอดคาดหวังเฝ้ารอมิได้
การหารือจัดขึ้นในห้องทรงพระอักษร หลี่หยวนจักรพรรดิแห่งต้ายงนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงอักษร ดวงตาหรี่เล็ก สีหน้ายากคาดเดา ด้านหลังเขามีดรุณีน้อยในชุดชาววังหน้าตาสะสวยโดดเด่นนั่งอยู่นางหนึ่ง บริเวณเก้าอี้ข้างซ้ายยังคงเป็นตำแหน่งของรัชทายาทหลี่อัน ตามด้วยอัครเสนาบดีเหวยกวนและเว่ยกั๋วกง[1] เฉิงซู ส่วนด้านขวา นอกจากตำแหน่งแรกที่ว่างอยู่ก็มีแม่ทัพใหญ่ฟู่หย่วนนามฉินอี๋และฉีอ๋องหลี่เสี่ยนนั่งตามลำดับ หลี่เสี่ยนยังคงมีสีหน้าซีดเซียว ท่าทางยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ แต่นับว่าสีหน้าไม่เลวนัก
รัชทายาทหลี่อัน ปีนี้สามสิบหกชันษา มากกว่ายงอ๋องหลี่จื้อสองปี แต่เขาไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์ ไม่เหมือนหลี่จื้อที่มีบุคลิกเข้มแข็งแกร่งกล้า แม้จะดูแลร่างกายไม่เลว ดูผิวเผินจึงไม่แก่มากนัก แต่บริเวณคิ้วกลับปรากฏร่องรอยเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
เขามองไปยังหลี่จื้อที่กำลังเดินเข้ามาจากด้านนอก ลักษณะดั่งวีรบุรุษชวนให้ผู้คนก้มหัวเช่นนั้นทำให้หลี่อันเกิดแววริษยาปรากฏในดวงตา หลี่จื้อเดินตรงไปเบื้องหน้าโต๊ะทรงอักษร กล่าวถวายความเคารพ “ลูกถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หยวนกล่าวว่า “จื้อเอ๋อร์ เหตุใดจึงมาสายเพียงนี้”
หลี่จื้อยิ้ม “ก่อนลูกมา เพิ่งได้รับข่าวจากเจียงหนานจึงจัดการก่อนเล็กน้อย คิดนำมาให้เสด็จพ่อทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หยวนมองหลี่อันด้วยแววตาพิกล “อันเอ๋อร์ ข่าวกรองจากเจียงหนานที่ว่า เจ้าส่งขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ”
หลี่อันยิ้ม “น้องรองคงยังไม่ทราบกระมัง ข่าวกรองจากเจียงหนานมาถึงมือข้าแล้ว”
ดวงตาของหลี่จื้อฉายแววเย็นยะเยือก “ข่าวกรองจากเจียงหนานของรัชทายาทมาจากเหลียงหวั่น ข่าวกรองของลูกกลับไม่เหมือนกัน เชื่อว่ายังมีข่าวที่เสด็จพ่อไม่ทราบเป็นแน่”
สีหน้าของหลี่อันแปรเปลี่ยนไปสั่นสะท้าน เขาคิดทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมเครือข่ายข่าวกรองในเจียงหนานให้อยู่ในมือตนแล้ว ไม่นึกว่าหลี่จื้อยังมีสายอยู่อีก จะไม่ให้เขาเกลียดชังได้อย่างไร กล่าวไปอย่างเย็นชาว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หลายวันก่อนน้องหกเข้าโจมตีเซียงหยาง หากน้องรองนำข่าวกรองเหล่านั้นออกมา เชื่อว่าน้องหกคงไม่พ่ายแพ้อย่างอนาถเพียงนี้”
เขาเพียงคิดโจมตีหลี่จื้อ กลับลืมนึกถึงจิตใจของหลี่เสี่ยนไปเสียสนิท ในดวงตาของหลี่เสี่ยนพลันเกิดแววอาฆาตปรากฏ
หลี่จื้อกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ทันทีที่น้องหกเสียเปรียบในการโจมตีเซียงหยาง ข้าเพิ่งพบว่าข่าวกรองจากเจียงหนานของพวกเรายังมิครอบคลุม แผนวางกำลังคุ้มกันเซียงหยางที่พวกเราได้รับยังไม่ครบครัน เชื่อว่าคงเป็นแม่ทัพรักษาการณ์เซียงหยางเล่นลูกไม้อันใดก่อนส่งรายงานไปที่กรมกลาโหมกระมัง เห็นได้ว่าเครือข่ายข่าวกรองที่คุณหนูเหลียงรับผิดชอบถูกบัณฑิตมากสามารถแห่งหนานฉู่จับจ้องแล้ว แต่เพราะกลัวเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเจ้าแคว้นและเหล่าขุนนางในหนานฉู่จึงมิกล้ากำจัดพวกเขา เมื่อดูเช่นนี้ หากพวกเราทำสงครามกับหนานฉู่อย่างเป็นทางการ เครือข่ายข่าวกรองของพวกเราจะต้องถูกทำลายเป็นแน่ ด้วยตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบลูกจึงจำต้องวางเครือข่ายข่าวกรองขึ้นมาใหม่ สุดท้ายยังนับว่ามีผลงาน รัชทายาทอาจยังไม่ทราบรายละเอียด มิใช่ว่าลูกคิดขัดขวางน้องหก เพียงแต่ข่าวกรองใหม่เพิ่งมีผลงานจึงมิทันสนับสนุนน้องหกเท่านั้น”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลี่จื้อก็ปรายตามองไปทางหลี่เสี่ยน แสดงท่าทีขออภัย หลี่เสี่ยนทำเพียงส่ายหน้าสื่อความว่าตนไม่ใส่ใจ
ตั้งแต่หลี่จื้อเข้ามาก็กล่าววาจาเชือดเฉือนกับรัชทายาทหลี่อันอยู่ตลอด เมื่อเห็นพวกเขาหยุดแล้ว คนอื่นๆ นอกจากจักรพรรดิต้ายง ดรุณีนางนั้น และหลี่อัน ก็พากันลุกขึ้นถวายความเคารพหลี่จื้อ เดิมทีฉีอ๋องหลี่เสี่ยนคิดลุกขึ้นเช่นกัน แต่กลับเห็นโทสะในดวงตาหลี่อันเสียก่อนจึงได้แต่นั่งกลับไป ส่วนหลี่จื้อเดินไปยังที่นั่งของตนแล้วกล่าวรับคารวะทุกคน
ดรุณีงามชดช้อยในชุดชาววังนางนั้นมีสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งตั้งแต่หลี่จื้อกล่าวตำหนิเหลียงหวั่นแล้ว เมื่อหลี่จื้อนั่งลง นางจึงค่อยเอ่ยปากพูด “ฟังจากคำพูดขององค์ชาย ตั้งแต่อาจารย์หวั่นของข้าไปถึงเจียงหนานก็ทำงานตรากตรำมาตลอด จะผิดพลาดมิได้เชียวหรือ”
เมื่อเห็นนางเอ่ยปาก หลี่อันพลันก้มหน้า ยกยิ้มที่มุมปาก
หลี่จื้อโค้งตัวเล็กน้อย “กุ้ยเฟย ลูกมิได้คิดลดทอนดูถูกความสามารถของแม่นางเหลียง เมื่อปีนั้นฉางเล่อต้องไปแต่งงานไกล เสด็จพ่อและพวกเราล้วนเสียดายฉางเล่อ นางมีนิสัยอ่อนโยนสุดเปรียบ ดังนั้นกุ้ยเฟยจึงส่งแม่นางเหลียงติดตามฉางเล่อไปยังหนานฉู่ หลี่จื้อซาบซึ้งยิ่ง หลายปีมานี้พวกเราเคลื่อนไหวในหนานฉู่ได้อย่างสะดวกราบรื่น แสดงให้เห็นว่าผลงานของแม่นางเหลียงมิใช่ด้อย เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว แม่นางเหลียงเกือบเผยตนในที่แจ้ง ดังนั้นลูกจึงจำเป็นต้องก่อตั้งเครือข่ายข่าวกรองขึ้นมาเอง หากแม่นางเหลียงถูกบีบบังคับให้ถอยร่น พวกเราจะได้ไม่เสียการควบคุมเจียงหนานไปทั้งหมด”
เจียวเย่ ดรุณีงามพิลาสนางนั้นเผยรอยยิ้มชืดชา คล้ายยอมรับคำอธิบายของหลี่จื้อแล้ว ใบหน้าแย้มยิ้มประหนึ่งบุปผาเบ่งบานกลางหิมะหนาวทำให้บุรุษทุกคนในห้องทรงอักษรหวั่นไหว แต่นางมีฐานะเป็นสนมชั้นกุ้ยเฟย ดังนั้นไม่นานจึงพากันละสายตาออกไป
หลี่จื้อเห็นบรรยากาศเปลี่ยนไปจึงกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเสด็จพ่อได้รับข่าวกรองจากรัชทายาทแล้ว คงทอดพระเนตร ‘หนังสือทัดทานการสถาปนาตำแหน่งจักรพรรดิ’ ฉบับนั้นแล้วกระมัง”
หลี่หยวนหยิบเอกสารฉบับคัดลอกขึ้นมาจากโต๊ะทรงอักษร ตรัสว่า “ใช่แล้ว เจียงเจ๋อผู้นี้มีความสามารถยอดเยี่ยมไม่ธรรมดาจริงๆ รัชทายาทและฉีอ๋องผลักดันคนผู้นี้แก่ข้าแล้ว ข้าเคยอ่านบทกวีของเขา โดยเฉพาะบท ‘แตกสลายเพียงครู่’ บทกวีสั้นๆ กลับบีบบังคับสู่อ๋องจนตายได้ ช่างเป็นอัจฉริยะไร้ผู้เปรียบจริงๆ วันนี้ได้เห็นฎีกาของเขาจึงค่อยเชื่อว่าคนผู้นี้มิใช่เพียงอัจฉริยบุคคลเท่านั้น ทว่ายังเป็นขุนนางมากสามารถด้วย หากหนานฉู่ใช้คนผู้นี้คงเป็นอันตรายต่อต้ายงอย่างใหญ่หลวง ยามนี้เขาถูกบีบบังคับให้ออกจากราชการ เชื่อว่าพวกเราคงดึงตัวเขามาได้”
หลี่จื้อยิ้มพราย “เสด็จพ่อตรัสได้ถูกต้องแล้ว คนผู้นี้มีความสามารถเหนือสามัญ ลูกเคยพบเขายามอยู่ในแคว้นสู่ น้องหกเคยพบเขายามอยู่ในหนานฉู่ น่าเสียดายที่คนผู้นี้ไม่โลภในชื่อเสียงและผลประโยชน์ มิแสวงหาโชคลาภและเกียรติยศ ทั้งยังเป็นขุนนางภักดีของหนานฉู่ เกรงว่าคงไม่ยอมง่ายๆ กระมัง”
หลี่หยวนพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าก็เป็นห่วงเรื่องนี้ ดูจากฎีกาของเขา คงเป็นขุนนางภักดีของหนานฉู่จริงๆ เพียงแต่โบราณกล่าวว่า ขุนนางยอดเยี่ยมย่อมเลือกรับใช้นายดี ข้าเห็นบทกวีของคนผู้นี้เปี่ยมด้วยอิสรเสรี คงมิใช่คนดื้อรั้นอันใดกระมัง”
หลี่จื้อได้ยินคำเช่นนี้จึงรู้ว่าหลี่เสี่ยนมิได้บอกเรื่องที่เขาพบเจียงเจ๋อยามอยู่ในเซียงหยางแก่หลี่อัน ดังนั้นหลี่หยวนจึงไม่รู้ว่าเจียงเจ๋อจะไม่ยอมสวามิภักดิ์ง่ายๆ
เขามองหลี่เสี่ยนแวบหนึ่ง หลี่เสี่ยนพลันมีสีหน้ากังวล หลี่จื้อจึงยิ้มบางๆ กล่าวต่อไปว่า “ใช่แล้ว ครั้งนี้เพราะได้รับฎีกาของเจียงเจ๋อ ดังนั้นข้าจึงไปตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าคนผู้นี้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเต๋อชินอ๋องจ้าวเจวี๋ย ยามอยู่ในแคว้นสู่เขาก็เป็นที่ปรึกษาให้จ้าวเจวี๋ย ว่ากันว่าสองปีมานี้เขาเอาแต่พักรักษาตัว ทว่ายังคงส่งสารโต้ตอบกับเซียงหยางมิขาดสาย คราวนี้เหลียงหวั่นส่งคนไปลอบสังหารจ้าวเจวี๋ยระหว่างทางแต่มิสำเร็จผล พบว่าคนที่ช่วยจ้าวเจวี๋ยไว้ก็คือบ่าวรับใช้ที่เจียงเจ๋อส่งไป ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเจ๋อยังเห็นช่วงชีวิตสุดท้ายสุดท้ายของจ้าวเจวี๋ยยามอยู่ที่เซียงหยางด้วยตาตนเอง ลูกยังสืบพบมาด้วยว่า ลู่ซิ่นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งใหม่ก็รู้จักกับเจียงเจ๋อเช่นกัน เมื่อปีนั้นตอนที่เจียงเจ๋อยังมิได้เข้าร่วมการสอบขุนนาง เขาเป็นอาจารย์ให้ลู่ช่านบุตรชายของลู่ซิ่น ดังนั้นลูกคิดว่าคนผู้นี้คงไม่ยอมสวามิภักดิ์ง่ายๆ แน่นอน”
หลี่หยวนฟังอย่างสนอกสนใจ ส่วนหลี่อันและกุ้ยเฟยกลับลอบส่งสายตาให้กัน ดูจากท่าทีแล้วตอนแรกพวกเขาคงมิได้ให้ความสำคัญกับเจียงเจ๋อเพียงนั้น หลี่หยวนหันมองไปเหวยกวน ตรัสว่า “อัครเสนาบดีเหวย ท่านคิดเห็นเช่นไร”
เหวยกวนยิ้ม “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องกังวล ตอนนี้หนานฉู่อ่อนล้าโรยแรง การจะสยบแดนใต้ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้น ทั่วหล้าถูกสยบ บัณฑิตมากสามารถย่อมมาสวามิภักดิ์ เจียงเจ๋อผู้นี้ ดูจากบทกวีของเขาแล้วมิใช่คนดื้อรั้นอันใด จะไม่ยอมคล้อยตามเชียวหรือ”
หลี่หยวนได้ฟังคำตอบของเขาก็อดยิ้มระรื่นไม่ได้ “อัครมหาเสนาบดีเหวยกล่าวได้ถูกต้อง แม้คนผู้นี้จะควรค่าให้ใช้งาน แต่ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดเกินไป รอให้หนานฉู่ถูกสยบเสียก่อน เจิ้น[2] ค่อยออกราชโองการให้เขาเข้าวังเป็นขุนนางก็พอแล้ว”
หลี่จื้อมองทุกคน พบว่าหลี่อันและจี้กุ้ยเฟยมีสีหน้าปกติ มีเพียงหลี่เสี่ยนที่มีแววตาเย้ยหยัน เขาจึงรู้ว่าจุดประสงค์ของตนสำเร็จแล้ว ที่เขาผลักดันเจียงเจ๋อต่อหน้าทุกคนเพราะต้องการปิดบังเรื่องที่ตนให้ความสำคัญกับอีกฝ่าย หากคิดตีสนิทสร้างสัมพันธ์และดึงเจียงเจ๋อมาเป็นพวกย่อมยากจะหลีกเลี่ยงสายตาของฝ่ายหลี่อัน เช่นนั้นมิสู้เปิดเผยให้ชัดแจ้ง แสดงว่าให้ความสำคัญกับเขาไปเสียเช่นนั้นเลย สายตาของคนอื่นๆ ย่อมรวมอยู่ที่ความสามารถของเจียงเจ๋อ แต่กลับไม่เข้าใจนิสัยที่แท้จริงของเจียงเจ๋อ และจะไม่ขัดแย้งกับตนเพียงเพราะบัณฑิต ‘สามัญ’ ผู้เดียวแน่นอน
ผู้ที่มองแผนการของเขาออกมีเพียงหลี่เสี่ยน ฝ่ายนั้นเข้าใจความสามารถที่แท้จริงของเจียงเจ๋อ แต่เชื่อว่าคงคิดดึงเจียงเจ๋อไปเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นกันกระมัง ด้วยเหตุนี้เขาย่อมไม่เปิดโปงการกระทำของตนเป็นแน่ ต่อไปเขาเพียงต่อสู้แย่งชิงกับหลี่เสี่ยนในทางลับเป็นพอ
หลี่จื้อที่บรรลุจุดประสงค์ของตนเองแล้วจึงเอ่ยปากอย่างสงสัย “เสด็จพ่อเรียกลูกมาหารือเรื่องโจมตีหนานฉู่ มิทราบว่าเสด็จพ่อมีแผนการอันใดหรือ”
หลี่หยวนตอบ “คราวนี้ต้ายงพ่ายแพ้ในศึกเซียงหยาง ข้ากังวลว่านับแต่นี้ไปหนานฉู่จะไม่ยอมรับการควบคุมจากทางเราอีก จึงคิดส่งเจ้านำทัพเข้าโจมตีหนานฉู่เสีย ตอนนี้เจ้าแคว้นหนานฉู่เรียกตนเองเป็นจักรพรรดิ มีข้ออ้างให้พวกเราพอดี ครั้งที่แล้วพวกเราใช้ข้ออ้างว่าเต๋อชินอ๋องมีใจคิดไม่ซื่อเตรียมทรยศต้ายง นับว่าเหตุผลเบาเกินไป แต่ตอนนี้พวกเราโจมตีหนานฉู่ได้อย่างผ่าเผยสมเหตุสมผลแล้ว จื้อเอ๋อร์คิดเห็นเช่นไร”
[1] กั๋วกง ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สูงสุดของชั้นกง ขั้น 1 ชั้นรอง และเป็นตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิ กั๋วกงเป็นชื่อตำแหน่งสำหรับเชื้อพระวงศ์ หากเป็นขุนนางโดยมากจะเรียกว่าไคกั๋วกง สำหรับเชื้อพระวงศ์ที่ได้รับพระราชทานตำแหน่งกั๋วกง มักจะเป็นพระนัดดาและพระปนัดดาในองค์จักรพรรดิ
[2] เจิ้น เป็นคำเรียกแทนตัวเองของจักรพรรดิ
ตอนต่อไป