บทที่ 261 ไล่เก็บทีละคน

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

พัวจงโหยวพยายามจับกระบี่ที่ยังคาอยู่ที่คอของเขา หวังว่าจะดึงมันออกไป แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เขาสูญเสียกำลังไปจนหมดจากบาดแผลที่ได้รับ มือของเขาตกห้อยออกจากกระบี่อย่างไร้เรี่ยวแรงในขณะที่เขาพยายามหายใจเข้าเฮือกสุดท้าย

ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนวุ่นวาย ทำไมไอ้เวรนี่มันถึงอยู่บนนี้? หรือว่ามันซุ่มรอเขาอยู่ที่นี่มาโดยตลอดเลยงั้นเหรอ?

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมนายน้อยจึงสั่งให้พวกเขาระมัดระวังเป็นอย่างมากกับกลอุบายของชายคนนี้

แต่นายน้อยไม่ได้บอกข้าว่าซูอันจะน่ารังเกียจขนาดนี้! แม้ว่าเขาจะเอาชีวิตข้าได้สำเร็จ เขายังไม่ยอมให้ข้าตายตาหลับ!

เมื่อมองดูสีหน้าเยาะเย้ยของซูอัน ความโกรธของพัวจงโหยวก็พุ่งขึ้นทะลุขีดจำกัดและนั่นส่งผลให้เลือดของเขาพุ่งกระฉูดจากลำคอของเขาและกระเด็นไปทั่วทุกที่!

ท่านยั่วยุพัวจงโหยวสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น+1024!

พัวจงโหยวยังคงจ้องมองที่ซูอันด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและอาฆาตแค้น แต่ร่างกายของแน่นิ่งไปแล้วเรียบร้อย เขาได้ตายไปแล้ว…

“อ้าว ตายแล้วเหรอ?”

ซูอันรู้สึกผิดหวัง เขายังคงหวังว่าจะได้รับคะแนนความโกรธแค้นจากอีกฝ่ายมากกว่านี้

ซูอันวางศพของอีกฝ่ายลงบนกิ่งไม้ใหญ่ที่เขาซ่อนอยู่ก่อนจะถอนกระบี่ของเขาออกจากคอพัวจงโหยว จากนั้นเขาเริ่มต้นค้นร่างกายของศพ แต่น่าเสียดายที่พบเพียงแต่อาหารแห้งและยารักษาอาการบาดเจ็บ คันธนูของพัวจงโหยวดูเหมือนจะค่อนข้างดี แต่น่าเสียดายที่ซูอันไม่รู้จักวิธีการยิงธนู

เขามองดูลูกธนูที่พัวจงโหยวมีอยู่ แต่พวกมันก็ไม่แข็งแรงและหักได้ง่ายหลังจากที่เขาลองทดสอบออกแรงงอพวกมันดู เห็นได้ชัดว่าคุณภาพของลูกธนูเหล่านี้ต่ำกว่าที่พวกกองทัพผีดิบใช้เป็นอย่างมาก เขาไม่สนใจจะเก็บของที่ด้อยกว่าสิ่งที่เขามีเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงโยนมันทิ้งไปอย่างไม่ใยดี

“ให้ตายสิ ทำไมไอ้พวกที่ตามล่าข้ามันถึงยาจกแบบนี้!” ซูอันสบถ

ไอ้พัวจงโหยว นี่มันแย่กว่า ชิทซางเฟย ซะอีก ไอ้นี่มันไม่มีของมีค่าติดตัวเลย ต่างจากชิทซางเฟยที่ยังมีเศษเงินอยู่บ้าง!

ในขณะที่เขากำลังจะทิ้งร่างของพัวจงโหยวลงไปใต้ต้นไม้ จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนใจอย่างกระทันหัน เอ…เดี๋ยวนะ…อันที่จริงต่อให้เป็นขยะมันก็ต้องมีประโยชน์อะไรบ้างหากนำไปใช้ให้ถูกวิธีนี่นา

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูอันจึงอุ้มร่างของพัวจงโหยว และเริ่มพุ่งไปทางที่ผู้ใช้ดาบได้มุ่งหน้าไปก่อนหน้านี้ ผู้ใช้ดาบคือคนที่มีระดับการบ่มเพาะอ่อนแอที่สุดในสามคนที่เหลือ ดังนั้นเขาน่าจะรับมือได้ไม่ยาก

ในขณะเดียวกัน ทางตอนเหนือของป่า ซือเจิ้นเซียงกำลังค่อย ๆ เดินไปข้างหน้าอย่างระวัง เขากำกระบี่ในมือแน่นพร้อมกับสำรวจไปตามพื้นที่อย่างละเอียด อย่างไรก็ตามเขาไม่พบร่องรอยของซูอันเลย

“ซางเฟย…ข้าจะแก้แค้นแทนเจ้าให้ได้!” ซือเจิ้นเซียงกัดฟันกรอด

ที่เขาแค้นมากขนาดนี้เป็นเพราะซือซางเฟยคือน้องชายของเขา!

ทั้งสองคนเป็นเด็กกำพร้าและเป็นเสาหลักในชีวิตของกันและกัน ในช่วงแรก ๆ พวกเขาผ่านการฝึกฝนที่ทรหดมาทุกรูปแบบ และพวกเขาก็ได้บรรลุภารกิจที่ยากลำบากมามากมายร่วมกัน พวกเขาได้รับสัญญาจากนายน้อยซือว่าหากพวกเขาสามารถบรรลุภารกิจนี้ พวกเขาจะได้รับอิสระและสามารถไปไหนได้ในทุกที่ที่พวกเขาต้องการ…

ใครจะไปคิดว่าเรื่องราวมันจะกลับกลายออกมาเป็นแบบนี้?

เมื่อวานนี้เองที่พวกเขากำลังหวนคิดถึงวัยเด็กขณะนั่งมองพระอาทิตย์ตกดิน ฝันถึงชีวิตอิสระที่รอพวกเขาอยู่ข้างหน้า น้องชายของเขายังบอกด้วยว่าถ้าพวกเขาทั้งสองสามารถแต่งงานกับหญิงสาวที่เป็นพี่น้องกันมันคงจะดีเพราะพวกเขาจะสามารถอยู่ใกล้ชิดพึ่งพาอาศัยกันได้ตลอดไป

แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ความฝันนั้นมันไม่มีวันเป็นจริงได้อีกแล้ว!

“ไอ้ระยำซูอัน! ข้าจะหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ!” ซือเจิ้นเซียงคำราม

ท่านยั่วยุซือเจิ้นเซียงสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น+876!

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลังเขา เขาหันไปมองทันที และเห็นพัวจงโหยวกำลังโบกมือให้เขา เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า “หัวหน้าสั่งให้เจ้ายืนคุมเชิงอยู่ที่ต้นไม้ด้านหลังไม่ใช่เหรอไง? ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงมาที่นี่?”

ซือเจิ้นเซียงอดไม่ได้ที่จะสังเกตว่าดวงตาของพัวจงโหยวเบิกโพลง ซึ่งนั่นทำให้เขาสงสัยว่าสหายของเขาฝึกยิงธนูมากเกินไปจนดวงตาเป็นแบบนี้ไปแล้วงั้นเหรอ

“ข้าเห็นเงาดำวิ่งมาทางนี้ ข้าเลยวิ่งตามมาดู” ซูอันยืนอยู่ข้างหลังศพพัวจงโหยว พร้อมกับดีดเสียงพูดอู้อี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เหมือนกับเสียงของพัวจงโหยวสักเท่าไหร่แต่มันก็อาจจะเพียงพอที่จะหลอกคนที่ไม่ได้ทันระวังตัวได้…

“ห๊ะ? เจ้าเห็นเงาดำ ๆ เจ้าหมายถึงซูอันงั้นเหรอ?” ซือเจิ้นเซียงจับกระบี่ของเขาแน่นเขารีบมองไปรอบตัว “ยอดเยี่ยม! คราวนี้ข้าต้องล้างแค้นแทนน้องชายของข้าได้อย่างแน่นอน!”

ซูอันรู้จักชื่อผู้ใช้ดาบคนนี้แล้วจากการได้รับคะแนนความโกรธแค้นก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงสามารถสรุปได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นพี่ชายของชิทซางเฟยแน่นอน ว่าแต่สมองของพ่อแม่พี่น้องคู่นี้มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? ทำไมพวกเขาถึงตั้งชื่อเหล่านี้ให้กับลูกของตัวเอง? คนหนึ่งชื่อ ชิทซางเฟย (อึบิน) และอีกคนหนึ่งชื่อ ซือเจิ้นเซียง (อึกลิ่นหอม)?

“ทำไมเจ้าถึงเดินมาหาข้า? เราควรแยกกันหา จะได้เจอตัวซูอัน เร็ว ๆ!” ซือเจิ้นเซียงสังเกตเห็นว่าพัวจงโหยวกำลังเดินเข้ามาทางเขา ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจในทันที

หืม? เดี๋ยวก่อน ทำไมท่าเดินของเขาแปลกจัง อีกทั้งเสียงนั่น…

ขณะที่สมองของซือเจิ้นเซียงกำลังประมวลผลทุกอย่างรวมเข้าด้วยกัน เงาสีดำก็พุ่งเข้ามาหาเขาในทันใด เขายกดาบขึ้นโดยสัญชาตญาณและผ่าเงาดำออกเป็นสองส่วน หลังจากเงาสีดำตกลงไปที่พื้นเท่านั้น เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเพิ่งฟันร่างของพัวจงโหยว! ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ “อ๊ะ? ทำไมถึงเป็นเจ้า…”

สิ่งที่ทำให้เขาสับสนมากยิ่งขึ้นคือแม้ว่าพัวจงโหยวจะเป็นมือธนูซึ่งร่างกายจะอ่อนแอกว่าผู้บ่มเพาะที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด แต่มันไม่ได้อ่อนแอมากจนขนาดจะถูกเขาฆ่าในการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้อย่างแน่นอน!

ในขณะที่เขากำลังสับสน ใครบางคนก็เล็งมาที่คอของเขา

คราวนี้คนที่สับสนแทนคือซูอัน เขามั่นใจว่าตัวเองได้แทงกระบี่ไปที่คอของซือเจิ้นเซียงไปแล้ว แต่น่าประหลาดที่เขาพบว่าตัวเองไม่สามารถดันกระบี่ของเขาให้ลึกเข้าไปถึงคอของอีกฝ่ายได้ราวกับว่ามีเกราะที่มองไม่เห็นอยู่รอบคอของซือเจิ้นเซียง

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าผู้บ่มเพาะระดับสามมีความสามารถในการใช้ พลังงานชี่ สร้างเกราะเพื่อป้องกันการโจมตีและยิ่งระดับการบ่มเพาะยิ่งสูง ความสามารถในการป้องกันและพื้นที่แสดงผลของเกราะพลังชี่ ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

นี่เป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะระดับสูงกว่าได้เปรียบผู้บ่มเพาะระดับล่าง บางครั้งผู้บ่มเพาะระดับล่างอาจจะไม่สามารถเจาะทะลุเกราะพลังชี่ของผู้บ่มเพาะระดับสูงในการต่อสู้ได้ ทำให้ผู้บ่มเพาะระดับสูงแทบไม่มีรอยขีดข่วนเลยหลังจากต่อสู้กับผู้บ่มเพาะระดับที่ต่ำกว่า

แต่แน่นอนว่าการใช้งานเกราะพลังชี่นั้นกินพลังงานชี่ ของผู้บ่มเพาะเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครใช้มันตลอดเวลา ดังนั้นจุดนี้เองที่ผู้บ่มเพาะระดับล่างจะมีโอกาสเอาชนะผู้บ่มเพาะระดับสูงกว่า

ด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่ซูอันสามารถเอาชนะหยวนเหวินตงระดับห้าและสังหารพัวจงโหยวระดับสี่ได้ เขาโจมตีตอนที่แต่ละคนไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองคนจึงไม่สามารถเปิดใช้งานเกราะพลังชี่ได้ทันเวลา

หลังจากที่ซือเจิ้นเซียงป้องกันกระบี่ของซูอันได้สำเร็จ เขาจึงเริ่มการโจมตีโต้กลับทันที

เมื่อเผชิญกับการโจมตีโต้กลับ ซูอันรีบชักกระบี่ของตัวเองกลับเพื่อป้องกัน แต่พลังอันรุนแรงจากดาบของพัวจงโหยว ทำให้กระบี่ในมือของซูอันกระเด็นออกจากมือของเขา เขารีบถอยห่างออกไปสองสามก้าวเพื่อตั้งหลัก

อย่างไรก็ตาม ซือเจิ้นเซียงไม่ยอมให้ซูอันได้พักหายใจ เขายังคงพุ่งไปข้างหน้าเพื่อกดดันฝั่งตรงข้าม “ไอ้สารเลว! ข้าเกือบตกหลุมพรางของเจ้าแล้วจริง ๆ แต่หลังจากนี้เจ้าไม่รอดแน่!”

ถึงแม้ว่าระยะห่างพวกเขาจะอยู่ที่ประมาณ 3 จั้ง (10เมตร) แต่ซูอัน รู้สึกราวกับว่าดาบของอีกฝ่ายมันอยู่ตรงหน้าเขานี่เอง เขารีบกลิ้งไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตีอย่างรวดเร็ว

เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะต้นไม้ที่อยู่ข้างหลังเขาก่อนหน้านี้ถูกแยกออกเป็นสองส่วนโดยพลังดาบที่มองไม่เห็นของซือเจิ้นเซียงอย่างฉับพลัน

ซูอันตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ ผู้บ่มเพาะระดับสามสามารถสร้างเกราะพลังชี่ เพื่อป้องกันตัวเท่านั้น ในขณะที่ผู้บ่มเพาะระดับสี่สามารถโคจรพลังชี่จากภายในร่างและใช้มันออกมาเพื่อผสานกับการโจมตีได้ นี่หมายความว่าศัตรูของเขาสามารถโจมตีระยะไกลได้ในระดับหนึ่งด้วย สิ่งนี้ทำให้การรับมือกับซือเจิ้นเซียงลำบากมากกว่าที่เขาคิด

ซือเจิ้นเซียงตามมาอย่างรวดเร็วด้วยการโจมตีต่อเนื่อง เขาไล่ต้อนซูอัน ไปรอบ ๆ พลางหัวเราะอย่างสะใจ “ตอนนี้เจ้าไม่มีอาวุธในมือแล้ว เจ้าคิดจะสู้ข้ายังไงล่ะ? ข้าจะฉีกเนื้อเจ้าล้างแค้นให้กับน้องชายของข้า!”

“เจ้าพูดไร้สาระอะไรเยอะแยะ?” ซูอันเยาะเย้ย จากนั้นเขาก็พุ่งไปหา ซือเจิ้นเซียงด้วยความเร็วเต็มที่

การเข้าหาอย่างกะทันหันของซูอันทำให้ซือเจิ้นเซียงสะดุ้งโหยง ก่อนหน้านี้เขาหวัดแกว่งดาบอย่างต่อเนื่องเพื่อกดดันอีกฝ่ายและเขาไม่เคยละสายตาจากซูอันเลย แต่ว่าซูอันสามารถหลบหลีกดาบของเขาได้ทั้งหมดแถมยังมาถึงตรงหน้าเขาได้อย่างไรเขาก็ไม่รู้!

สถานการณ์พลิกกลับ ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนซือเจิ้นเซียงไม่อาจฟัน ซูอันได้ถนัด และนั่นคือโอกาสทองที่ซูอันจะโต้ตอบ!