บทที่ 297 รับเป็นศิษย์

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 297 รับเป็นศิษย์

หลังจากเนี่ยหานซิงเข้ามาแล้วก็เห็นเฟิ่งชิงหัวที่กำลังเคี่ยวยาอยู่ใต้ระเบียง ก็มองนางที่แต่งตัวเป็นหญิงไม่ออกเลย หลังจากกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วก็หันกลับมามองไปยังอู่ตู๋จื่อ: “หมอเทวดา ขอถามหน่อยว่าผู้อาวุโสท่านนั้นตอนนี้อยู่ที่ใด? รบกวนท่านให้ความกระจ่างแก่ข้าหน่อย”

สายตาของอู่ตู๋จื่อมองมายังเฟิ่งชิงหัว รอนางแสดงเจตนา

เฟิ่งชิงหัวกลับมองค้อนเขาไปครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วเสียบพัดไว้ข้างเอว จากนั้นกล่าวถามว่า: “หาข้ามีธุระอะไร?”

เนี่ยหานซิงหันหน้าไปก็เห็นเฟิ่งชิงหัวในชุดสตรี และรูปลักษณ์แบบนั้นยังไงก็เป็นรูปลักษณ์ของสตรี ก็เลยยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นไปเลย

ผ่านไปนานมากจึงค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ ยืนอยู่ตรงกลางลานเรือน ห่างจากเฟิ่งชิงหัวด้วยรั้วที่กั้นไว้ เงยศีรษะขึ้นแล้วกล่าวว่า: “ผู้อาวุโส?”

“อืม” เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า

เนี่ยหานซิงก็ยังไม่อยากจะเชื่ออีก สังเกตไปยังเฟิ่งชิงหัวอย่างไม่หยุดแล้วกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจว่า: “ผู้อาวุโส แต่ละครั้งที่ผู้น้อยพบท่าน ท่านต่างใช้รูปลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันสักครั้งเลย ไม่แปลกเลยที่เป็นยอดฝีมือ”

เนี่ยหานซิงยังไงก็คิดไม่ถึงว่าคนที่มีฝีมือทางการแพทย์สูงส่งเช่นนี้คนหนึ่งจะเป็นสตรีไปได้

เพียงแต่ว่าในสายตาของเขา สตรีที่โตกว่าตนไม่เท่าไหร่ที่อยู่ตรงหน้านี้อย่างมากก็ย่อมมีวิธีในการรักษาความอ่อนเยาว์เอาไว้ได้

เฟิ่งชิงหัวยิ้มขึ้นที่มุมปปากเล็กน้อย กล่าวออกมาอย่างจนปัญญาว่า: “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”

เนี่ยหานซิงกล่าวว่า: “ผู้อาวุโส ผู้น้อยมาในครั้งนี้ก็เพื่อเรื่องเมื่อ 10 วันก่อนหน้านี้ ท่านไม่ใช้ให้ข้าไปบ้านเกิดของสตรีนางนั้นไปหาบ้านของนางหรือ จากนั้นก็ไม่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของท่านจริงๆ สตรีนางนั้นอันที่จริงแล้วก็ได้รู้จักกับเจียงทาวมาตั้งนานแล้ว ผู้น้อยหยิบเอาภาพวาดของเจียงทาวออกมาให้พ่อแม่ของสตรีนั้นดู พวกเขาต่างก็บอกว่าเคยพบเจอมาก่อน”

“อีกอย่าง ข้ายังได้สืบถึงความสัมพันธ์อันลึกลับของเซียวโร่สุ่ยด้วยเล็กน้อย ได้ทราบมาว่านางเคยมีการไปมาหาสู่กับใครบางคนมาก่อนจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่ในหนึ่งปีมานี้ แต่เป็น 3 ปีก่อน หลังจากนั้นคนนั้นก็ทอดทิ้งนางแล้วจากไป”

พอพูดถึงจุดนี้ เนี่ยหานซิงก็ลูบคลำดั้งจมูกไปมา แล้วก็กล่าวออกมาอย่างรู้สึกไม่ค่อยดีนัก: “ท่านให้ข้าไปสืบว่าให้ถามนางว่าเคยตั้งครรภ์มาก่อนหรือไม่ ข้าก็ได้หาหมอตำแยในพื้นที่นั้น ปรากฏว่ามีเรื่องนี้จริงๆ เพียงแต่ที่มาที่ไปของเด็กคนนั้นกลับไม่มีใครทราบเลย”

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “สามารถมั่นใจในจุดนี้ได้ก็น่าจะพอประมาณการได้แล้ว”

เนี่ยหานซิงกล่าวออกมาอย่างสงสัย: “ผู้อาวุโส ท่านให้ข้าไปสืบเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับการตายของเซียวโร่สุ่ยงั้นหรือ?”

“เกี่ยวพันกัน แล้วก็ไม่เกี่ยวพันกันก็ได้” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างพึมพำเคร่งขรึม

ปมที่อยู่ในนี้ นางยังไม่อธิบายให้เนี่ยหานซิงฟังในชั่วขณะนี้ง่ายๆ หรอก

เพียงแค่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป: “แม่เลี้ยงของเจ้าท่านนั้นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”

พอพูดถึงตรงนี้เนี่ยหานซิงผู้นี้กลับดูหน้าม่อยคอตกไปเล็กน้อย: “นางจะเป็นยังไงได้? เดิมทีธุระที่นางมอบหมายข้าจัดการ ข้าก็จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เพราะว่าหลังจากกลับบ้านไปได้ทราบว่านางก็ตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก ทุกคนในบ้านต่างระแวดระวังกันไปหมด พอนางเห็นข้าก็โทษว่าเป็นเพราะข้าเป็นเหตุพัวพันให้น้องชายต้องตายอย่างอนาถ เอะอะโวยวายเสียงดังไปหมดในจวนอย่างไม่สงบเลย มาถึงวันนี้ผู้น้อยถึงได้มีเวลาว่างมาที่นี่ได้”

“นางตั้งครรภ์อีกแล้วงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงหัวฟังถึงจุดนี้ราวกับว่าจะยิ้มก็ไม่เชิง

“ใช่แล้ว ในจวนเชิญหมอหลวงมาหลายท่านเพื่อตรวจชีพจรพร้อมกัน ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว แต่ดูไม่ออกว่าตั้งครรภ์เลย” เนี่ยหานซิงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ : “รอจนเจ้าตัวน้อยคลอดออกมา ก็ได้เวลาที่ข้าจะออกจากจวนโหวพอดีด้วย”

เฟิ่งชิงหัวลูบคลำคางไปมา ครั้งที่แล้วนางจับดูฮูหยินโหวท่านนั้นแล้ว แล้วก็เคยตรวจชีพจรนางด้วย สภาพร่างกายของนางยังไงก็ไม่อาจติดลูกได้สำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดว่านางจะมีชีพจรครรภ์ขึ้นมาได้เลยแม้แต่นิด

“นางให้เจ้าออกจากจวนโหว?” เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว

“อืม เดิมนั้นจวนเจ้าผู้อารักขาถูกสร้างขึ้นเพราะฮูหยินไม่มีอะไรทำ ในตอนนี้ก็เลยรับเลี้ยงข้าเป็นลูกบุญธรรม ตอนนี้จวนเจ้าผู้อารักขามีผู้ชายมาอยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่ธุระอะไรของข้าแล้ว ผู้น้อยก็ไม่ได้ละโมบในตำแหน่งจวนโหวนั้นเลย ก็เลยถอยออกจากตำแหน่งให้ผู้ที่มีความสามารถอย่างสมเหตุผลไป” เนี่ยหานซิงกล่าว: “ต่อไปอาจารย์ออกเดินทางเปิดโลกกว้าง ศิษย์ก็จะได้อยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างได้”

เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกมาครึ่งทางตบที่บ่าของเนี่ยหานซิงครู่หนึ่ง: “ตำราอ่านถ่องแท้แล้วงั้นหรือ จะไปออกเดินทางเปิดโลกกว้างกับข้า?”

เนี่ยหานซิงรีบกล่าวต่อว่า: “ผู้น้อยหมั่นเร่งศึกษาทั้งวันทั้งคืน เพื่อที่จะอ่านตำราให้จบ รอเพียงให้ผู้อาวุโสตรวจสอบเท่านั้น”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น: “ได้เลย งั้นข้าก็จะทดสอบเจ้าดูหน่อย”

“ขอรับ”

“เหตุใดจึงซานหยิน?”

เนี่ยหานซิงรีบยืนขึ้นมาด้วยขาทั้งสองข้างทันที ยืดออกหลังตรง แล้วกล่าวออกมาอย่างฉะฉานว่า: “ซานหยินหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าชีพจรซานหยิน ทั้งหมดแบ่งเป็นมือซานหยินและเท้าสามหยิน มือซานอินก็แบ่งออกเป็นเส้นลมปราณปอด เส้นลมปราณหัวใจ เส้นลมปราณถุงหุ้มหัวใจ เท้าซานอินแบ่งเป็นเส้นลมปราณม้ามไท่อิน เส้นลมปราณไตเส้าหยิน เส้นลมปราณตับ”

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าแล้วกล่าวอีกว่า: “เหตุใดจึงซานหยาง?”

“ไท่หยาง เส้าหยาง หยินหยาง ไท่หยางหมายถึงปอด เส้นลมปราณตู เส้นลมปราณกระเพาะปัสสาวะยางใหญ่ของเท้า เส้าหยางหมายถึงม้าม กระเพาะและลำไส้เล็กใหญ่ ตับ ดี ซานเจียว”

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าขึ้นอีก: “พวกนี้ต่างเป็นสิ่งที่เขียนอยู่ในตำรา งั้นข้าถามเจ้า เจ้ามีข้อสงสัยอะไรไหม?”

เนี่ยหานซิงพยักหน้า: “ผู้น้อยมีความสงสัยเล็กน้อย ในตำรานี้บันทึกไว้อย่างละเอียด มีการอธิบายแหล่งที่มาโดยละเอียดด้วย แต่หลังจากผู้น้อยอ่านจบ กลับมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ยังมีช่องโหว่อยู่ หรือมีข้อโต้แย้งอยู่ในนั้น

“อ่อ? เจ้าลองพูดมาสิ?” เมื่อเปรียบกับสีหน้าเมื่อครู่ที่ดูราบเฉย เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงหัวในตอนนี้มีความตื่นเต้นขึ้นมาหลายเท่า

“ก็เอาตัวอย่างของซานหยินซานหยางมา หากซานหยินนี้ครอบงำภายใน ซานหยางนั้นก็ควรจะครอบงำภายนอกถึงจะถูก หากซานหยางนี้เข้าครอบงำหลายระบบในร่างกายและควบคุมเส้นลมปราณไปพร้อมกัน งั้นซานหยินจะค่อนข้างดูอ่อนด้อยอยู่บ้างเล็กน้อยหรือไม่อีก? ผู้น้อยรู้สึกว่าซานหยินในตำราเล่มนี้เปรียบเสมือนเส้นลมปราณของมือและเท้าของร่างกายมนุษย์ที่สมบูรณ์ ซานหยางกลับดูเหมือนเป็นธาตุประจำตัวของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน” เนี่ยหานซิงกล่าวความสงสัยจบ กลับเห็นเฟิ่งชิงหัวกำลังมองมาที่เขาที่เปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะ แล้วจึงรีบกล่าวว่า: “ผู้อาวุโส ผู้น้อยศึกษามาไม่ถ่องแท้ ความรู้หางอึ่ง”

“เจ้าก็ไม่ได้พูดผิด ซานหยินซานหยางนี้เดิมที่กล่าวไว้ก็เป็นของที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เพียงแต่ข้าจงใจเอาใส่วางไว้ด้วยกัน อยากจะดูว่าเจ้าจะสามารถค้นพบปัญหาในนั้นได้หรือเปล่า หากเจ้ามีอุปทานว่าพวกมันสามารถผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ นั่นก็อธิบายได้ว่าเจ้าไม่มีคคุณสมบัติในการเรียนแพทย์จริงๆ”

เนี่ยหานซิงได้ยินดวงตาทั้งสองข้างก็เปล่งประกาย: “ผู้อาวุโส ความหมายของท่านคือผู้น้อยตอนนี้มีคุณสมบัติที่สามารถเป็นลูกศิษย์ของท่านได้แล้วงั้นเหรอ?”

เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า: “ยังไม่คารวะอาจารย์อีก?”

เนี่ยหานซิงได้ยินก็กวาดสายตามองไปรอบๆ สีหน้าค่อนข้างลำบากใจ: “แต่ว่าผู้น้อยวันนี้ไม่ได้เตรียมของมาคารวะอาจารย์เลย จะเป็นการหยามเกียรติผู้อาวุโสไปได้?”

“ข้าได้ถือสาอะไรพวกนั้น หากวันนี้เจ้าไม่คารวะ พรุ่งนี้ข้าอาจจะเปลี่ยนใจก็เป็นได้” เฟิ่งชิงหัวกล่าวข่มขู่เขาออกมา

เนี่ยหานซิงได้ยินก็รีบคุกเข่าทั้งสองข้างลงทันที แล้วก็คารวะอย่างเป็นทางการต่อเฟิ่งชิงหัวทันที อู่ตู๋จื่อที่อยู่ด้านข้างก็ได้เห็นแววนานแล้วเลยไปยกน้ำชามาหนึ่งถ้วยให้

เนี่ยหานซิงรับข้ามมือมาอย่างซาบซึ้ง แล้วส่งไปให้เฟิ่งชิงหัวที่อยู่เบื้องหน้าอย่างนอบน้อมด้วยมือสองข้าง

“เรียบร้อย ข้ารับเจ้าคนนี้เป็นศิษย์เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ต้องบอกเรื่องที่แย่ที่สุดไว้ก่อนล่วงหน้า ข้าไม่มีเวลามาจับจ้องเจ้าทั้งวันหรอกนะ ภารกิจที่มอบหมายให้เจ้านั้นก็จะต้องทำให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่ข้ากำหนอ หากไม่สำเร็จก็จะไล่เจ้าออกไป” เฟิ่งชิงหัวดื่มชาไปหนึ่งคำอย่างช้าๆ คราวนี้ก็เลยกล่าวต่ออีกว่า: “อีกอย่างกฎเกณฑ์ในสำนักเจ้าจำให้ขึ้นใจ ห้ามหักหลังสำนักอย่างเด็ดขาด ผู้ฝ่าฝืนจะต้องได้รับการสาปแช่งไม่ได้ผุดได้เกิด”

เนี่ยหานซิงรีบยกนิ้วมือข้างขวาขึ้นมาสองนิ้วทันที: “ข้า เนี่ยหานซิงยินดีที่จะคารวะเป็นศิษย์ของสำนักผู้อาวุโส จะไม่ทรยศหักหลังสำนักอย่างเด็ดขาด หากตระบัดสัตย์จะต้องถูกสาปแช่งประณาม ตายไม่มีชิ้นดี”

อู่ตู๋จื่อที่อยู่ด้านข้างอยากจะพูดอะไรเล็กน้อย สุดท้ายก็นิ่งงันไป ก็ยังคงไม่ได้พูด เพียงแต่สติสตังค่อนข้างสลับซับซ้อนอย่างไร้สาเหตุขึ้นมาเท่านั้น