ตอนที่ 237

My Disciples Are All Villains

สีวู่หยารู้สึกภูมิใจในตัวเองเสมอที่สามารถคาดการณ์เรื่องต่างๆ ได้ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าศิษย์พี่สี่ของเขาจะเป็นคนที่ดื้อด้านได้มากถึงขนาดนี้ ตัวเขาคาดไม่ถึงที่ศิษย์พี่คนนี้จะไม่ได้สนใจอะไรพลังผนึกมนตราที่ตัวเขาได้โดนมา ดูเหมือนว่าหมิงซี่หยินจะไม่กลัวท่านอาจารย์ทำโทษเหมือนกับที่ตัวของสีวู่หยาโดน ในตอนนี้ไม่มีหวังที่จะเปลี่ยนความคิดของหมิงซี่หยินได้เลย เนื่องจากการเกลี้ยกล่อมหมิงซี่หยินไม่มีความหมาย เพราะแบบนั้นสีวู่หยาจะต้องใช้ทางอื่น

สีวู่หยาได้สวมใส่เสื้อผ้ากลับคืนมา ตัวเขาได้พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “ศิษย์พี่สี่ ความแข็งแกร่งในการต่อสู้น่ะถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีปัจจัยอื่นอยู่ดีเมื่อต้องต่อสู้กันจริงๆ …ข้ากลัวว่าท่านคงจะไม่สามารถพาข้ากลับไปได้ง่ายๆ ซะแล้วล่ะ”

“ข้าจะลองดู…” เสียงของหมิงซี่หยินได้กระทบกับตัวของสีวู่หยา

แม้ว่าคลื่นเสียงของหมิงซี่หยินจะทรงพลังมากสักแค่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่สามารถข้ามผ่านม่านพลังอันแข็งแกร่งมาได้ ม่านพลังที่อยู่ตรงหน้าแข็งแกร่งจนดูเหมือนกับกำแพงหนาไม่มีผิด

หมิงซี่หยินมองไปที่ไปยู่ชิงแห่งโถงพยัคฆ์ขาว

ไปยู่ชิงได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าต้องขอโทษจริงๆ ท่านหมิงซี่หยิน ข้าจะต้องทำให้แน่ใจว่าท่านสีวู่หยาจะปลอดภัย…”

หมิงซี่หยินได้ตอบกลับไป “เจ้ามีนามว่าอะไร? “

“ข้าไปยู่ชิงจากสำนักอเวจี ข้าเป็นเจ้าแห่งโถงพยัคฆ์ขาว”

“เจ้าเองก็มีพลังวรยุทธไม่ใช่น้อย เจ้าไม่อยากที่จะเข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าบ้างหรอ? “

“เอ่อ…” ไปยู่ชิงดูกระอักกระอ่วนก่อนที่จะตอบกลับมา “ขอบคุณในความหวังดีของท่านจริงๆ ตั้งแต่ที่ข้าได้เข้าร่วมกับสำนักอเวจี ข้าก็ไม่คิดที่จะจากไปไหนแม้แต่น้อย”

ทันทีที่ไปยู่ชิงพูดจบ หมิงซี่หยินก็หันไปมองสีวู่หยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ดวงตาของเขาดูเหมือนจะมีความหมายประชดประชันซ่อนเอาไว้ หมิงซี่หยินกำลังจะบอกว่าแม้แต่ไปยู่ชิงเองก็ยังไม่คิดทรยศสำนักของตน

สีวู่หยาไม่ได้สนใจอะไรกับการเย้ยหยันของหมิงซี่หยิน ตัวเขามักจะถูกผู้ฝึกยุทธมากมายหลายคนดูถูกมาโดยตลอด ตัวเขาถูกเรียกว่าคนทรยศ บ้างก็เรียกว่าคนอกตัญญู บ้างก็ประณามตัวเขาในฐานะวายร้ายผู้ชั่วร้าย ไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจกับใคร ทั้งชั่วร้ายและใช้เล่ห์เหลี่ยม คำสบประมาทนับไม่ถ้วนที่สีวู่หยาฟังมาทำให้ตัวเขามีภูมิคุ้มกันกับเรื่องนี้ดี

ท้ายที่สุดแล้วหมิงซี่หยินก็ได้มองไปที่ไปยู่ชิงที่กำลังยืนอยู่บนหลังคา “เอาล่ะ…ข้าจะจำเจ้าเอาไว้”

แม้ว่าพลังวรยุทธที่ไปยู่ชิงมีจะลึกล้ำกว่าหมิงซี่หยิน แต่เมื่อตัวเขาได้ยินคำพูดของหมิงซี่หยินเข้าตัวเขากลับรู้สึกถึงความหวั่นไหวอะไรบางอย่าง แต่เมื่อไปยู่ชิงนึกไปถึงเจ้าสำนักของตัวเขารวมไปถีงพวกพ้องที่มีก็ทำให้ตัวเขารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นอกจากนี้สีวู่หยายังอยู่ฝั่งสำนักอเวจี ศาลาปีศาจลอยฟ้าที่เก่าแก่จะอยู่ไปได้นานแค่ไหนกัน? ในโลกยุทธภพนี้สิ่งที่สำคัญและมีค่าที่สุดก็คือเวลา ตัวเขาได้รวบรวมความกล้าก่อนที่จะคารวะหมิงซี่หยินและพูดขึ้น “ได้โปรดเข้าใจข้าด้วย ท่านหมิงซี่หยิน ได้โปรดจากไปแต่โดยดีด้วยเถอะ”

“จากไปแต่โดยดีอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินกระทืบเท้าอย่างไม่สบอารมณ์

ลานบ้านได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง

หมิงซี่หยินได้พุ่งไปบนอากาศ ในขณะนั้นเองตัวเขาก็ได้จ้องไปที่ไปยู่ชิงที่อยู่เบื้องล่าง

ไปยู่ชิงเองก็มองไปที่หมิงซี่หยิน ในท้ายที่สุดตัวเขาก็ปรารถนาที่จะสู้กับศิษย์จากศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่ภายในใจ นับตั้งแต่ที่ตัวเขาเริ่มฝึกฝนตน ตัวเขาก็ได้ยินเรื่องราวตำนานมากมายเกี่ยวกับศาลาปีศาจลอยฟ้า ทุกๆ คนต่างก็กลัวศาลาปีศาจลอยฟ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งปรมาจารย์ผู้ก่อตั้ง ในครั้งที่เผชิญหน้ากับศิษย์คนที่สี่อย่างหมิงซี่หยินในครั้งแรก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะโจมตี…แต่เมื่อมาถึงตอนนี้แล้วนี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่ตัวเขาจะได้พิสูจน์ตำนาน ไปยู่ชิงไม่อาจที่จะสงบสติอารมณ์ได้อีกต่อไป ตัวเขาได้คารวะออกมาอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไร้ความกลัว “ท่านต้องการที่จะสู้กับข้าสินะ ท่านหมิงซี่หยิน? “

พรึ๊บ!

หมิงซี่หยินได้พุ่งไปที่ไปยู่ชิงด้วยความเร็วดุจดังสายฟ้า

สีหน้าของไปยู่ชิงเปลี่ยนไป ตัวเขาไม่กล้าที่จะประมาทคู่ต่อสู้คนนี้ได้ ตัวเขาได้กระโดดขึ้นไปบนอากาศก่อนที่การต่อสู้ของทั้งสองคนจะเริ่มต้นขึ้น

ในตอนนั้นลมแรงก็ได้พัดผ่านไป ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปลดปล่อยพลังลมปราณที่มีออกมาอย่างเต็มที่ สีวู่หยาที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว

ผู้ดูแลหุบเขาราชพฤกษ์ได้แต่วิ่งผ่านไปด้วยความหวาดกลัว ตัวเขาได้ย่อตัวลงก่อนที่จะพูดออกมา “เป็นความผิดของข้าน้อยเอง ข้าไม่ควรที่จะปล่อยให้หมาป่าร้ายเข้ามาแบบนี้ได้เลย! “

“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก” สีวู่หยาตอบกลับไป

“ขอบคุณมากท่านเจ้าสำนัก ขอบคุณสำหรับความเมตตา” ชายผู้ดูแลถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“นับตั้งแต่วันนี้เจ้าออกจากการทำงานและไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดซะ…”

“ทะ…ท่านเจ้าสำนัก? “

“นี่คือธรรมเนียมของสำนักแห่งความมืด เป็นเพราะความจงรักภักดีตลอดหลายปีที่ผ่านมาเพราะแบบนั้นเจ้าจึงยังรักษาลิ้นของเจ้าเอาไว้ได้” สีวู่หยาได้ตอบกลับมาอย่างเยือกเย็น

ในตอนแรกชายผู้ดูแลหุบเขาอยากที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อได้ยินเจ้าสำนักพูดเช่นนั้น ตัวเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก เขาได้ถอนหายใจก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับสีวู่หยา “ขอบคุณสำหรับความเมตตาท่านเจ้าสำนัก ข้าขอตัวก่อน ได้โปรดรักษาตัวด้วย”

สีวู่หยาไม่ได้เหลียวมองกลับไป ตัวเขารู้สึกชินชาแล้วนั่นเอง มันเป็นเหมือนกับคำพูดที่เคยว่าไว้ ‘ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง’ สีวู่หยาเชื่อคำพูดนี้เสมอมา ตัวเขาเกลียดความผิดพลาดไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน

ไม่นานหลังจากนั้นก็มีใครอีกคนเดินมาที่สีวู่หยา เมื่อเห็นฉากการต่อสู้กลางอากาศตัวเขาก็ได้พูดขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก ท่านต้องการที่จะกลับไปพักผ่อนไหม? “

“ไม่จำเป็น” สีวู่หยาไม่มีอารมณ์จะมาพักผ่อน ตัวเขาได้เดินไปที่ด้านข้างก่อนที่จะเฝ้ามองดูการต่อสู้ระหว่างไปยู่ชิงและหมิงซี่หยิน

“ท่านเจ้าสำนัก ฝีมือของทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะสูสี ท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะกัน? “

“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไปหรอก” สีวู่หยาได้พูดต่อ “ไปยู่ชิงเป็นผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบ แม้ว่าศิษย์พี่สี่จะมีอาวุธระดับสรวงสวรรค์ แต่ถึงแบบนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเอาชนะไปยู่ชิงได้ ในตอนนี้ไปยู่ชิงกำลังออมมือให้ต่างหาก”

แม้ว่าอาวุธระดับสรวงสวรรค์จะเป็นของที่ทรงพลัง แต่มันก็ไม่อาจชดเชยความแข็งแกร่งอันห่างชั้นถึงขนาดนี้ได้

“ข้าเข้าใจแล้ว…”

สีวู่หยาได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง “กระจายข่าวเรื่องที่ที่อยู่ของหุบเขาราชพฤกษ์รั่วไหลออกไป บอกให้สมาชิกสำนักหลักออกเคลื่อนไหวซะ”

“ครับ”

ในตอนนั้นเองทั้งต้นไม้และใบหญ้าต่างก็ถูกลมแรงพัดผ่าน

สีวู่หยาได้อุทานขึ้น “ดูเหมือนว่าศิษย์พี่สี่จะฝึกเคล็ดวิชาเวหาพงพนาสำเร็จแล้วสินะ! ท่านอาจารย์ในที่สุดท่านก็รู้ตัวแล้วอย่างงั้นหรอ? “

ในโลกของการฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นวิชาจากลัทธิเต๋า, วิชาจากชาวพุทธ หรือแม้แต่วิชาจากลัทธิขงจื๊อ การจะเดินพลังเพื่อใช้ในการต่อสู้ได้จะต้องเดินพลังลมปราณที่มีออกมาจากร่างกาย ควบแน่นพลังลมปราณอันมหาศาลเอาไว้ก่อนที่จะปลดปล่อยออกไป แต่สำหรับเคล็ดวิชาเวหาพงพนากลับไม่ใช่แบบนั้น มันเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้พลังลมปราณของตัวเองเร่งการเจริญเติบโตของพืชพรรณ

เถาวัลย์นับไม่ถ้วนได้พุ่งเข้าหาไปยู่ชิงในเวลาเดียวกัน

ไปยู่ชิงที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตกใจ ตัวเขาได้มองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากออมมืออีกต่อไป “ท่านหมิงซี่หยิน ข้าขอลงมือก่อนนะ! “

พลังร่างอวตารของไปยู่ชิงปรากฏขึ้น มันเป็นพลังที่สูงกว่า 70 ฟุตด้วยกัน ทันทีที่พลังอวตารปรากฏขึ้น พลังอันมหาศาลก็ได้แผ่ออกมาจากตัวของไปยู่ชิงทุกทิศทาง

เถาวัลย์ทั้งหมดที่ถูกพลังอันมหาศาลไปถูกทำลายลงในทันที

ในตอนนั้นหมิงซี่หยินได้ใช้ม่านพลังขึ้นมาป้องกันตัวที่กลางอากาศ ตัวเขาได้เรียกอาวุธคู่ใจอย่างเคียวพื้นพิภพเอาไว้ในมือ ทันทีที่เถาวัลย์ถูกทำลายหมิงซี่หยินก็ได้พุ่งเข้าโจมตี

“หืม? ” ไปยู่ชิงสัมผัสได้ว่าพลังของหมิงซี่หยินเพิ่มขึ้น พลังลมปราณได้ไหลออกมาจากร่างกายของเขาอีกครั้ง พลังฝ่ามือมากมายนับไม่ถ้วนได้พุ่งออกมาจากฝ่ามือของตัวเขาในช่วงเวลาสั้นๆ

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

หมิงซี่หยินได้ชักเคียวพื้นพิภพออกมาจากฝักก่อนที่จะป้องกันพลังฝ่ามือทั้งหมดที่เข้ามาใกล้ไว้ได้

“อาวุธระดับสรวงสวรรค์อย่างงั้นหรอ? ” ไปยู่ชิงเห็นเคียวพื้นพิภพในมือของหมิงซี่หยิน “ตามที่คาดการณ์เอาไว้ สมแล้วจริงๆ ที่เป็นศิษย์คนที่สี่จากศาลาปีศาจลอยฟ้า แต่ไม่ว่าจะยังไงแค่นั้นมันยังน้อยไป! ” พลังอวตารของไปยู่ชิงหดตัวลงก่อนที่จะขยายใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่มันอะไรกัน…” สีวู่หยารู้สึกงุนงงกับภาพที่ได้เห็น

“พลังสวรรค์ไพศาล? “

สีวู่หยารู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นคนจากสำนักอเวจีใช้พลังจากเคล็ดวิชานี้ออกมา สำนักอเวจีเป็นสำนักฝ่ายอธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า เขาไม่คิดเลยว่าคนในสำนักจะฝึกใช้พลังแบบนี้ได้

แต่ไม่ว่าจะอยู่สำนักฝ่ายไหน ทุกๆ คนต่างก็เลือกที่จะฝึกพลังที่ตัวเองชอบได้อย่างอิสระ เป็นเรื่องปกติที่สำนักอเวจีจะมีผู้ใช้วิชาพลังสวรรค์ไพศาลอยู่ด้วย

พลังอวตารของไปยู่ชิงขยายใหญ่ขึ้น พลังสวรรค์ไพศาลของเขาได้พุ่งตรงไปหาหมิงซี่หยิน ความแตกต่างของพลังทั้งสองฝ่ายมันมีมากจนเกินไป

หมิงซี่หยินพลิกตัวไปกลางอากาศเพื่อที่จะพยายามหลบคลื่นพลังการโจมตีของไปยู่ชิงให้ได้