ตอนที่ 271 อันไท่ผิง

คนเจ็ดแปดคนที่อยู่ด้านหลังเขากระโดดลงจากหลังม้าทันที พุ่งปรี่เข้าไป

“อ๊าก!” เด็กหนุ่มผู้เอ่ยขออภัยคนนั้นร้องโหยหวน ถูกคนถีบล้มลงบนพื้น อีกสองคนก็ถูกถีบล้มเช่นกัน

ทั้งกลุ่มรุมล้อมคนทั้งสามไว้ เรียกได้ว่าเตะต่อยเต็มแรง ทุบตีจนทั้งสามร้องไห้หาบิดามารดา คล้ายจะทุบตีให้ตายคาที่จริงๆ

ชาวบ้านที่ยืนมองเรื่องครื้นเครงอยู่ไม่ไกลแอบโห่ร้อง บางคนทนมองต่อไปไม่ได้

หยวนกังที่ปกป้องสาวใช้คนนั้นอยู่ก็ไม่ได้บอกให้หยุดมือเช่นกัน หากไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องงาน เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ถึงมือคนอื่นเลย เขาคงจัดการสามคนนี้จนพิการไปก่อนแล้ว

ฝ่ายฮูเหยียนเวยกลับมีสีหน้าบึ้งตึง มองคนที่ถูกทุบตีอยู่ตรงหน้า

คนที่อยู่ด้านหลังผู้หนึ่งควบม้าขึ้นมา หยุดอยู่ข้างกายฮูเหยียนเวยแล้วเอ่ยกระซิบว่า “คุณชายสาม สั่งสอนเล็กน้อยก็พอขอรับ ข้าเคยพบคนที่บอกว่าเป็นเรื่อง ‘เข้าใจผิด’ มาก่อนคนนั้น เขาเป็นหลานชายของทูตตรวจการซ้ายขอรับ”

ฮูเหยียนเวยขมวดคิ้ว ทูตตรวจการซ้ายเป็นหนึ่งในผู้ช่วยคนสนิทของจงเฉิงซึ่งเป็นสมุหพระอาลักษณ์ที่อยู่ใต้บัญชาการของอัครมหาเสนาบดี ไม่ได้มีอำนาจอะไร ทว่ามีหน้าที่ตรวจสอบฟ้องร้องเหล่าขุนนาง หากทุบตีจนตายจริง เกรงว่าคงจะค่อนข้างยุ่งยาก จึงร้องสั่งทันทีว่า “โยนลงไปเป็นอาหารปลาในทะเลสาบ!”

ลูกน้องเจ็ดแปดคนที่รุมซ้อมอยู่หยุดมือทันที ยกตัวสามคนนั้นขึ้น โยนทั้งสามคนลงไปในทะเลสาบดังตู้มๆๆ จนน้ำสาดกระจาย

ทั้งสามตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำพักหนึ่ง ไม่กล้าขึ้นฝั่ง ว่ายน้ำหลบหนีไป ม้าที่อยู่บนฝั่งก็ไม่เอาแล้ว

ฮูเหยียนเวยลงจากม้า เดินเข้ามาหาหยวนกัง เอ่ยถาม “อันซยง เกิดอะไรขึ้น?”

“ไม่มีอะไร…” หยวนกังเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาคร่าวๆ ตอนนี้นามที่เขาใช้ในแคว้นฉีอย่างเปิดเผยคืออันไท่ผิง!

“…..” ฮูเหยียนเวยตาค้างอ้าปากหวอ จากนั้นก็มีสีหน้าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ชี้สาวใช้ที่ถูกเขาปกป้องไว้ด้านหลัง เอ่ยว่า “เพื่อหญิงนางโลมคนเดียว ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ? เขาจ่ายเงินซื้อความสำราญ เจ้าไปขวางเขาทำไม?” เขาหันกลับไปมองคนทั้งสามในทะเลสาบที่พยายามว่ายน้ำหนีอย่างสุดกำลัง

ในมุมมองของเขา แต่จะบอกว่าเป็นมุมมองของเขาก็ไม่ได้เช่นกัน ควรจะบอกว่าในมุมมองของคนส่วนใหญ่แล้ว สตรีในหอนางโลมเดิมทีก็มีไว้เพื่อการนี้อยู่แล้ว ปรนนิบัติรับใช้บุรุษก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว มาพูดถึงศักดิ์ศรีอันใดนั่น มันจะไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ ไปขวางคนอื่นด้วยเรื่องนี้ ขัดความสำราญของอีกฝ่าย เขากลับรู้สึกว่าเป็นตนที่ไร้เหตุผล เป็นตนที่ทำผิดต่อสามคนนั้น การทุบตีอีกฝ่ายนั้นยิ่งไร้เหตุผลเข้าไปใหญ่

หยวนกังเองก็คร้านจะเถียงกับเขาเช่นกัน ทราบว่าแนวคิดต่างกันเกินไป ไม่สามารถสื่อสารกันในเรื่องนี้ได้

ฮูเหยียนเวยก็คร้านจะถกเถียงกับเขาเหมือนกัน เอ่ยไปว่า “เอาเถอะ อันซยงเป็นคนหัวแข็งอยู่แล้ว พูดเรื่องนี้กับเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์”

หยวนกังหันไปพูดกับสาวใช้คนนั้น “ในเมื่อไม่อยากทำงานแบบนี้ อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำแล้ว”

สาวใช้ยังคงอยู่ในสภาพอกสั่นขวัญแขวน ฟังคำพูดของหยวนกังด้วยสีหน้ามึนงง

หยวนกังเอ่ยเสริมไปประโยคหนึ่ง “ข้าจะช่วยไถ่ตัวเจ้า จะไถ่ตัวเจ้าต้องใช้เงินเท่าไร?”

เหตุผลที่เอ่ยเรื่องนี้ ก็เพราะเห็นว่าเมื่อครู่สาวใช้คนนี้ไม่ยินยอมขายเรือนร่างแลกเงิน ในเมื่อนางรักถนอมตัวเอง เขาก็ทนเห็นนางตกอยู่ในกองเพลิงไม่ได้อีกต่อไป

ฮูเหยียนเวยกลับไม่ทราบถึงรายละเอียดก่อนหน้านี้ ได้ฟังก็ตกตะลึง ถามด้วยความสงสัย “อันซยง เจ้าถูกใจสาวน้อยคนนี้หรือ?”

ซูจ้าวและฉินเหมียนที่อยู่ในเรือสบตากันเล็กน้อย

สาวใช้คนนั้นไม่รู้ว่าควรจะตอบหยวนกังอย่างไรดี ฮูเหยียนเวยร้อง ‘เฮ้อ’ พลางกล่าว “อันซยง เจ้าพูดเรื่องไถ่ตัวกับนางจะมีประโยชน์อะไร เอ่อ…” เขามองไปยังโคมบนเรือที่มีตราสัญลักษณ์ของ ‘เรือนเมฆาขาว’ “ต้องไปคุยกับแม่เล้าฉินแห่งเรือนเมฆาขาวถึงจะถูก”

พอเขาพูดจบ ตรงบริเวณหัวเรือก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา มือโบกพัดกลมพลางเอ่ยเนิบๆ “ผู้ใดเรียกหาข้าอยู่หรือเจ้าคะ?”

ทุกคนหันไปมอง ฮูเหยียนเวยหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “พูดถึงแม่เล้าฉิน แม่เล้าฉินก็มาพอดี อันซยง เรื่องไถ่ตัวน่ะไปคุยกับนางเถอะ” เขาตบไหล่หยวนกัง ชี้ไปทางฉินเหมียนที่โบกพัดอยู่ตรงหัวเรือ

กล่าวจบก็เดินนำไปก่อน ก้าวขึ้นเรือไป ยื่นมือไปลูบก้นของแม่เล้าฉินตอนกลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาคนมากมายที่มองมา แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นแขกประจำของเรือนเมฆาขาว

ฉินเหมียนยิ้มละไมเบี่ยงกายเล็กน้อย ใช้พัดกลมปัดป้อง ขยับออกห่างอย่างเงียบๆ “คุณชายสาม ไฉนจึงมีเวลาว่างจนวิ่งมาเที่ยวเล่นที่นี่ได้ล่ะเจ้าคะ?”

ฮูเหยียนเวยกลับไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจที่จะลูบคลำเอาเปรียบ ฉินเหมียนเจอแบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่ต้องปล่อยให้เขาบีบขยำก้นอยู่พักหนึ่งถึงจะดันเขาออกไป

เมื่อได้ลูบคลำหนำใจแล้ว ฮูเหยียนเวยจึงเลิกคิ้วกล่าวไปว่า “นี่แม่เล้าฉิน คนของเจ้าเจอปัญหา เจ้าไม่ออกหน้าช่วยเหลือ กลับมาหลบซ่อนตัวชมเรื่องครื้นเครงอยู่ที่นี่ แบบนี้มันหมายความว่ายังไงล่ะ? หากเจ้าออกหน้า คนพวกนั้นไหนเลยไม่ไว้หน้าเจ้าได้?”

ฉินเหมียนถอนหายใจกล่าวไปว่า “ผู้จ่ายเงินให้ล้วนเป็นนายท่านทั้งสิ้น ท่านจะให้ข้าทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ?”

“อย่างนี้ก็ง่ายเลย!” ฮูเหยียนเวยชี้ไปทางหยวนกังที่ขึ้นเรือมาแล้ว “สหายรักคนนี้ของข้าต้องการไถ่ตัวสาวน้อยคนนั้น เจ้าเรียกราคามาได้เลย!”

ฉินเหมียนส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “นี่เป็นสาวใช้ในเรือน ไม่ขายเจ้าค่ะ!”

“นี่เจ้าไม่ไว้หน้าข้าเลยหรือ! แม่เล้าฉิน ถ้าวันนี้เจ้าไม่ยกคนให้ข้า ข้าก็จะไม่ยอมไปไหน” ฮูเหยียนเวยกล่าวจบก็หันหลัง เดินอาดๆ ไปทางห้องโดยสาร ท่าทางเหมือนวันนี้จะหมกตัวอยู่ที่นี่

แต่ทันทีที่เขาเดินเข้าไปในห้อง ร่างของเขาก็หยุดชะงักไปทันที หยวนกังเห็นเช่นนี้จึงเดินเข้าไปเช่นกัน ผลคือเห็นว่าในห้องโดยสารมีสตรีชุดขาวนางหนึ่งกำลังถือตำราพลิกอ่านอย่างเนิบช้า สีหน้าคล้ายจะจมจ่อมดื่มด่ำ อ่อนช้อยงามสง่า เรือนร่างสะโอดสะอง ใบหน้างามพิลาส ผิวขาวดั่งกระเบื้องเคลือบ เป็นโฉมงามโดยแท้

ฉินเหมียนเดินเข้ามา เอ่ยเรียก “นายหญิง มีแขกมาเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวเงยหน้ามอง ดวงเนตรใสกระจ่างคู่นั้นมองพินิจอยู่ที่ร่างหยวนกัง บุคลิกและรูปร่างของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ทำให้นางเกิดความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

ฮูเหยียนเวยพลันยิ้มแห้งๆ ประสานมือกล่าวไปว่า “ที่แท้เป็นเถ้าแก่ซู ไม่คิดเลยว่าเถ้าแก่ซูจะอยู่บนเรือด้วย บุกเข้ามาโดยพลการ รบกวนสุนทรีย์ของเถ้าแก่ซู ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”

“ที่แท้เป็นคุณชายสามของตระกูลฮูเหยียน ไม่เป็นไร” ซูจ้าวยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้าให้ สายตาเคลื่อนไปอยู่ที่หยวนกังอีกครั้ง “คุณชายท่านนี้หน้าตาไม่คุ้นเลย ไม่ทราบว่าเป็นคุณชายจากตระกูลใดหรือ?”

ฮูเหยียนเวยรีบเอ่ยแนะนำ “นี่คือสหายรักของข้า อันไท่ผิง!”

ซูจ้าวร้อง “อ่อ” อย่างมีความนัยลุ่มลึก เอ่ยถาม “คุณชายทั้งสองขึ้นเรือมา มีเรื่องใดจะสั่งการหรือ”

“เอ่อคือ…” ฮูเหยียนเวยเกาศีรษะเล็กน้อย ค่อนข้างกระอักกระอ่วน

หยวนกังเหลือบมองเขาเล็กน้อยอย่างค่อนข้างแปลกใจ

“พวกเขาต้องการไถ่ตัวจวนเอ๋อร์เจ้าค่ะ… ฉินเหมียนเข้ามาเล่าสถานการณ์ให้ฟัง”

ซูจ้าวพยักหน้ารับ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือสาวใช้ที่ฝึกมาเพื่อรับใช้ข้า ไม่ได้อยู่ในสถานะที่ไถ่ตัวได้ เกรงว่าคงต้องทำให้คุณชายสามผิดหวังแล้ว”

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่สะดวกก็ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้น เถ้าแก่ซูกำลังยุ่ง พวกเราไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อน!” ฮูเหยียนเวยประสานมือกล่าว จากนั้นก็ดึงแขนหยวนกัง ลากหยวนกังออกไป

ซูจ้าวเอ่ยว่า “แม่เล้าฉิน ช่วยไปส่งคุณชายทั้งสองแทนข้าที”

“เจ้าค่ะ!” ฉินเหมียนเดินตามออกไป

พอลงจากเรือแล้ว ฮูเหยียนเวยอดถามไม่ได้ “แม่เล้าฉิน เถ้าแก่ซูมาทำอะไรที่นี่?”

ฉินเหมียนถอนหายใจ บุ้ยปากไปทางร้านเต้าหู้ “ก็เพราะได้ยินว่ามีของกินเล่นแปลกใหม่ เลยอยากมาลองชิมของใหม่ดู ใครจะรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น” นางชี้สิ่งที่หล่นแตกอยู่บนพื้น

ฮูเหยียนเวยตบอกทันที “เรื่องนี้จัดการไม่ยาก แม่เล้าฉินโปรดให้เถ้าแก่ซูรอสักครู่ เดี๋ยวทางนี้จะให้คนยกมาส่งให้เถ้าแก่ซูเอง ขอเพียงเถ้าแก่ซูไม่รังเกียจ ก็ถือว่าข้าเป็นเจ้ามือให้แล้วกัน”

ฉินเหมียนหัวเราะคิกคักกล่าวไปว่า “แบบนี้จะดีได้อย่างไร แต่ข้าก็ขอขอบคุณล่วงหน้าแล้วกันเจ้าค่ะ”

ฮูเหยียนเวยเองก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา ดึงตัวหยวนกังเดินจากไป จากนั้นกระดิกนิ้วเรียกลูกน้องคนหนึ่ง ให้ลูกน้องไปเอาของในร้านเต้าหู้มาส่งให้ชุดหนึ่ง

หลังจากเดินออกมาได้ไกลพอสมควรแล้ว หยวนกังเอ่ยถาม “ฮูเหยียนซยง ดูเหมือนท่านจะค่อนข้างกริ่งเกรงสตรีที่อยู่เรือคนนั้นนะ”

“หาใช่กริ่งเกรงไม่ แต่ไม่อยากไปล่วงเกินนางต่างหาก สตรีที่มีรูปโฉมงดงามเช่นนี้สามารถดูแลบริหารหอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงได้ ไหนเลยจะใช่คนธรรมดา? สตรีนางนี้มิใช่คนที่ชายใดจะไปแตะต้องได้ เป็นนางห้ามของซีย่วนต้าอ๋อง คนที่กล้ารุ่มร่ามกับนาง มักจะเสียชีวิตอย่างน่าพิศวง ในเมื่อนางไม่ยอมให้ไถ่ตัวคน เช่นนั้นก็ช่างเถอะ เจ้าก็อย่าได้ดึงดันเลย อย่าไปล่วงเกินนางเข้าล่ะ” ฮูเหยียนเวยกระซิบเตือนหลายประโยค

หยวนกังยังคิดจะพูดอะไรอยู่ ทว่าพอนึกถึงเป้าหมายที่ตนมาที่นี่ แล้วนึกถึงที่คนในเรือบอกว่าสาวใช้คนนั้นเป็นเพียงข้ารับใช้ ไม่จำเป็นต้องขายเรือนร่าง จึงทำได้เพียงนิ่งเงียบไว้

“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?” ฮูเหยียนเวยชี้ไปตามตำแหน่งบนร่างเขาที่ถูกแส้ฟาดใส่

“ไม่เป็นไร”

“ก็จริง เจ้าหนังหนาจะตาย”

ภายในเรือ ซูจ้าวเหลือบมองดูแผ่นหลังของหยวนกังที่เดินจากไปผ่านม่านระย้าที่กั้นอยู่

ฉินเหมียนกลับเข้ามา เดินมาหยุดอยู่ด้านข้าง มองออกไปนอกหน้าต่างเช่นกัน ร้องจุ๊ๆ ออกมา “ร่างกายนี้ สมชายชาตรีจริงๆ”

วาจานี้คล้ายกำลังจะกล่าวว่าบุรุษอื่นล้วนไม่มีใครที่สมชายชาตรีอย่างไรอย่างนั้น

“อันไท่ผิง!” ซูจ้าวพึมพำออกมา จากนั้นเอ่ยว่า “สืบประวัติคนผู้นี้!”

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยพบคนผู้นี้มาก่อน แต่สำหรับชื่อนี้ ข้าเคยสืบประวัติมาแล้วเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวหันไปถาม “เขาเป็นใคร?”

ฉินเหมียนตอบว่า “อันไท่ผิงก็คือเถ้าแก่ของร้านเต้าหู้นี้เจ้าค่ะ ยามที่ตรวจสอบร้านเต้าหู้ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะสืบประวัติเขาไปด้วย”

“คนผู้นี้เป็นพลทหารในทัพชายแดน เดิมทีเป็นพลทหารเฝ้ารักษาเขตพรมแดน ตอนที่มีคนลักลอบส่งออกม้าเกิดการปะทะกับกองทหารที่เขาสังกัดอยู่ สมาชิกทั้งกองถูกสังหารเกือบหมด เหลือเพียงเขาและพรรคพวกอีกไม่กี่คนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ ในเรื่องนั้นมีพิรุธแฝงอยู่ มีคนสมคบคิดกันลักลอบส่งออกม้าศึก ซ้ำยังคิดจะฆ่าคนผิดปากด้วย ผู้รอดชีวิตกลุ่มนี้ถูกไล่ล่าเอาชีวิตและตราหน้าว่าเป็นทหารหนีทัพ มีคนต้องการให้พวกเขาตาย ผลคือคนกลุ่มนี้ไม่ยินยอม คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะหนีทัพจริงๆ หนีมาที่เมืองหลวง มาดักสกัดฮูเหยียนเวยไว้ ร้องขอฮูเหยียนเวยเพื่อเข้าพบฮูเหยียนอู๋เฮิ่นผู้เป็นบิดาของเขา และมีข่าวลือว่าฮูเหยียนเวยถูกจับเป็นตัวประกัน สุดท้ายด้วยความช่วยเหลือของตระกูลฮูเหยียน คนกลุ่มนี้ถูกปลดออกจากกองทัพ แต่รักษาชีวิตไว้ได้ จากนั้นก็มาเปิดกิจการร้านเต้าหู้อยู่ที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ”

“โอ้!” ซูจ้าวคล้ายจะเข้าใจแล้ว นางพยักหน้านิดๆ “ใจกล้าไม่เบาเลย แล้วก็นับว่าดวงดีด้วย! หากเป็นเช่นนี้ ตัวตนน่าจะไม่มีปัญหา”

ฉินเหมียนก็พยักหน้าให้เช่นกัน “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เบื้องบนเบื้องล่างล้วนกำลังตรวจสอบ ประวัติความเป็นมาน่าจะไม่มีปัญหาใดเจ้าค่ะ”

ขณะที่คุยกันอยู่ ด้านนอกก็มีคนถือเต้าฮวยชามใหญ่มาส่งให้ เพียงแต่ภาชนะไม่ได้ดูดีแบบของพวกนางก่อนหน้านี้ เป็นชามดินเผาสีดำ

เมื่อเปิดฝาออก กลิ่นเต้าหู้โชยไปทั่ว ซูจ้าวมองด้วยความสนใจ เอ่ยถาม “สิ่งนี้ทำจากถั่วเหลืองหรือ?”

“น่าจะใช่เจ้าค่ะ” ฉินเหมียนยิ้มแย้ม ทำการตรวจสอบด้วยตัวเองรอบหนึ่ง จากนั้นถึงจะแบ่งใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วยกมาให้นาง “นายหญิงลองชิมเจ้าค่ะ”

ซูจ้าวหยิบช้อนขึ้นค่อยๆ ตักใส่ปากเล็กน้อย กลิ่นหอมของถั่วโชยขึ้นจมูก ค่อยๆ ละเลียดลิ้มรสชาติอ่อนนุ่มสดใหม่ในปากแล้วกลืนลงไป จากนั้นค่อยๆ หันไปมองร้านเต้าหู้ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง สีหน้าแฝงแววใคร่ครวญครุ่นคิด เอ่ยคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงละมุน “หวาน!”

ในลานเรือนด้านหลังร้านเต้าหู้ เมื่อเห็นหยวนกังขนถั่วเหลืองกระสอบแล้วกระสอบเล่าลงมาจากเกวียนด้วยตัวเอง ฮูเหยียนเวยถอนหายใจดังเฮ้อพลางเอ่ยว่า “ท่านพ่อข้าฝากข้ามาบอกว่า เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นขุนพลองอาจ นำทัพในสนามรบ บอกว่าเจ้านำความสามารถมาใช้ไม่คุ้มค่าเลย อยากให้เจ้าลองพิจารณาดูอีกครั้ง กลับไปเข้าร่วมกองทัพ อยู่ในสังกัดของเขา เขารับประกันอนาคตให้เจ้าได้!”

……………………………………………….