ตอนที่ 400 เป็นหน้าเป็นตาแก่สตรีอย่างมาก

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 400 เป็นหน้าเป็นตาแก่สตรีอย่างมาก

เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ฉินหลิวซียุ่งมากที่สุด ยุ่งอยู่กับการหมักสุราในหิมะตอนฤดูหนาว ยุ่งอยู่กับการบำเพ็ญกุศลที่อารามเต๋า ปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น และยุ่งยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

สอนลูกศิษย์ ปรุงยา ทำยันต์ แล้วยังต้องดูแลกิจการร้านและเรื่องต่างๆ ยุ่งตลอดทั้งวันจนหาตัวได้ยาก จึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องประณีตอย่างการหมักสุราในหิมะอยู่พักหนึ่ง

วันนี้ฉินหลิวซีได้ทำการฝังเข็มให้ทั้งซ่งเยี่ยและน้องสาวสองพี่น้อง เขียนใบสั่งยาใหม่แล้วมอบให้

“ใบสั่งยาของท่านแม่ทัพกินต่อไปอีกครึ่งปีก็พอแล้ว ส่วนใบสั่งยาของแม่นางซ่งทานต่อไปอีกห้าวันแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นใบสั่งยาพื้นฐานนี้”

หลังจากประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซ่งหลิ่วก็ผอมลงกว่าเมื่อก่อน ดวงตาทั้งสองข้างจมลง ดูหมองคล้ำไม่มีชีวิตชีวาเล็กน้อย

หัวใจแห้งเหี่ยว เป็นคำอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของนาง

สายตาที่ซ่งหลิ่วมองฉินหลิวซีนั้นก็ซับซ้อนจนอธิบายไม่ถูก ดูเหมือนโศกเศร้า โกรธ และขุ่นเคือง

ฉินหลิวซีมองนาง สายตานิ่งสงบราวกับกระจกเรียบ

เมื่อซ่งหลิ่วเห็นสายตาเช่นนี้ก็ก้มศีรษะลง

ซ่งเยี่ยยกมือขึ้นคำนับ เหลือบมองน้องสาวพลางเอ่ยกับฉินหลิวซี “คราวที่แล้วขอบคุณคำแนะนำของท่านอาจารย์ นักพรตสายดำผู้นั้นได้ถูกปราบลงแล้ว พวกเราได้ตัดสินใจนำกระดูกของเด็กทั้งสองกลับไปที่ถ้ำที่ท่านอาจารย์ชี้ให้เราเมื่อครั้งที่แล้ว น้องสาวของข้าก็ตัดสินใจที่จะอาศัยอยู่ในจวนบรรพบุรุษเพื่อพักฟื้นเป็นเวลาสองปี ข้าอยากจะถามท่านอาจารย์ว่าหลังจากฝังศพแล้วพวกเรายังสามารถทำอะไรให้เด็กๆ ได้อีกบ้าง”

“บำเพ็ญกุศล” ฉินหลิวซีตอบเสียงเรียบว่า “การบำเพ็ญกุศลสะสมบุญ บุญกุศลนี้จะกลับคืนสู่ตัวพวกท่านและแผ่ไปถึงเด็กๆ แม้เด็กจะกลับชาติมาเกิด การที่มีบุญกุศลของบิดามารดาในชาติภพที่แล้วคอยคุ้มครอง การกลับชาติมาเกิดก็จะยิ่งราบรื่น และจะได้ไปเกิดใหม่ในครอบครัวที่ดี สงบสุข และปลอดภัย”

ซ่งหลิ่วตัวสั่นเล็กน้อย

ซ่งเยี่ยกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างมาก”

เขาหยิบซองแดงออกมา ยื่นให้ฉินหลิวซีแล้วจึงเอ่ย “พวกเรายังอยากจะให้ท่านอาจารย์ช่วยจุดตะเกียงนิรันดร์ให้ด้วย”

ฉินหลิวซีดันซองแดงกลับคืนไป ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “หากจะจุดตะเกียง แค่ไปที่อารามชิงผิงก็พอแล้ว อารามชิงผิงใกล้จะเริ่มบริจาคและรักษาโรคการกุศลในฤดูหนาวเร็วๆ นี้แล้ว ใต้เท้าและคนอื่นๆ สามารถร่วมแสดงความเมตตาด้วยได้”

ซ่งเยี่ยได้ฟังดังนั้นจึงทำได้เพียงเก็บซองแดงกลับมา แสดงความมุ่งมั่นว่าจะไป จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วกล่าวลา

ซ่งหลิ่วหันหลังแล้วเดินไปสองก้าว จากนั้นก็หยุดลง หันกลับมาคารวะฉินหลิวซีอย่างเป็นทางการ แล้วจึงได้จากไป

“ท่านอาจารย์ ดูเหมือนว่าแม่นางซ่งจะมีความขุ่นเคือง” เถิงเจากล่าวพลางขมวดคิ้ว “ท่านอาจารย์ไม่ได้ช่วยพวกเขาไว้หรอกหรือ ไยนางจึงได้มีความขุ่นเคือง”

ฉินหลิวซียกมุมปาก ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “บางคนเต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่ในสิ่งที่ตัวเองรับรู้ และเต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่ในคำโกหกที่สวยงามอย่างมีความสุขตลอดไป แต่เมื่อมีคนเปิดเผยขึ้นมา แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะดี แต่มันก็จะเป็นหายนะร้ายแรงสำหรับผู้ที่มีจิตใจเช่นนี้ บางคนสามารถผ่านมันไปได้และกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ในขณะที่บางคนก็ห่อเหี่ยวสิ้นหวังเพราะสิ่งนี้”

นางมองออกไปนอกประตูพลางเอ่ย “แม่นางซ่งมีความขุ่นเคือง ก็เพราะขุ่นเคืองที่ข้าเปิดเผยคำโกหกที่นางคิดว่าเป็นสิ่งสวยงาม ซ้ำยังทำลายชีวิตอันสงบสุขของนาง กลายเป็นทำให้นางต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย”

เถิงเจาขมวดคิ้วแน่กว่าเดิม ถามว่า “ท่านไม่โกรธหรือ”

“มีอะไรน่าโกรธหรือ เจาเจา มีคนนับหมื่นคนในโลกใบนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้องหรือเห็นด้วยกับเจ้า ข้าไม่สนใจกับการไม่เห็นด้วยเช่นนี้ เพราะข้าก็ไม่ได้ต้องการการเห็นด้วยเช่นนี้” ฉินหลิวซีลดสายตาลง “ข้าเพียงแค่ทำสิ่งที่ควรทำเท่านั้น”

เถิงเจาเงียบไป

“ท่านอาจารย์ พวกเรากลับมาแล้ว” โจวเวยและโจวหนิงมาด้วยกัน

ฉินหลิวซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“ท่านอาจารย์ ท่านแม่นมาก พี่ใหญ่ของข้าได้รับแต่งตั้ง มีตำแหน่งทางการแล้ว” โจวหนิงยิ้มพลางรายงานข่าวดี

ฉินหลิวซียกมือแสดงความยินดีกับโจวเวย “คนดีย่อมมีโชคลาภ จะต้องทำบุญให้มากเพื่อเป็นการส่งเสริมจึงจะดี อารามชิงผิงของพวกเราจะเริ่มทำการกุศลหน้าหนาวนี้แล้ว ท่านผู้ประเสริฐสามารถไปช่วยเหลือหรือบำเพ็ญกุศลได้ ล้วนแต่เป็นสิ่งดีในการสะสมบุญกุศล”

โจวเวยประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ย “ข้าคิดว่าท่านอาจารย์จะคิดค่าทำนายดวงเสียอีก อย่างไรเสียก็เป็นร้านที่เปิดทำกิจการไม่ใช่หรือ”

“กิจการก็ส่วนกิจการ การสร้างผู้ศรัทธาแก่อารามชิงผิง ก็เป็นหน้าที่ข้าเช่นกัน” ฉินหลิวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

โจวเวยเลิกคิ้ว

ฉินหลิวซีมองไปยังโจวหนิง กล่าวขึ้นมาว่า “สีหน้าของแม่นางดูดีขึ้นมาก ข้าจะฝังเข็มให้เจ้าอีกครั้ง ดื่มยาอีกสองถ้วยก็จะมีเรื่องดีแล้ว”

โจวหนิงดีใจ ลูบใบหน้าของนาง กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเรารีบไปฝังเข็มกันเลยดีหรือไม่”

เมื่อโจวเวยเห็นท่าทางแทบรอไม่ไหวของน้องสาว ก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ แต่กลับไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่กับกล่าวกับฉินหลิวซีว่าจะไปบำเพ็ญเต๋าที่ห้องเต๋า

ฉินหลิวซีให้เถิงเจานำทางโจวเวยไปห้องเต๋า ส่วนนางก็พาโจวหนิงไปฝังเข็มที่ห้องหย่าด้านหลังห้องโถงเช่นเดิม

พึ่งจะฝังเข็มเสร็จ เฉินผีก็มารายงานว่าอวี๋ชิวไฉพาครอบครัวมาด้วย

ฉินหลิวซีให้โจวหนิงไปทำสมาธิที่ห้องเต๋าเช่นกัน จากนั้นก็เดินออกไปที่หน้าร้าน ปรากฏว่าอวี๋ชิวไฉพาฮูหยินกับอวี๋อวิ๋นเตี๋ยบุตรสาวของเขาไปดูเครื่องประดับแกะสลักที่อยู่ในร้าน

เมื่อครู่ตอนที่พวกเขาเข้ามา คนงานผู้นั้นได้กล่าวว่า ‘ร้านนี้จับผีไล่วิญญาณ ให้การรักษา ขายยันต์และเครื่องรางของขลัง คุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย’ ซึ่งเกือบทำให้พวกเขาคิดว่ามาผิดร้าน

สมแล้วที่เป็นท่านอาจารย์ เปิดร้านทำกิจการก็แตกต่างจากคนทั่วไป

“พี่หญิงฉิน” เมื่ออวี๋อวิ๋นเตี๋ยเห็นนางก็พุ่งเข้าไปหานางราวกับนกกระจาบตัวน้อย

นางได้รู้จากท่านพ่อและท่านแม่ของนางว่าฉินหลิวซีเป็นนักพรตหญิง ในเมื่อเป็นสตรีทั้งคู่ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องระวัง

“หากท่านพ่อไม่บอก ข้าก็ไม่รู้ว่าความจริงแล้วท่านเป็นนักพรตหญิง” อวี๋อวิ๋นเตี๋ยมองฉินหลิวซีด้วยดวงตาเป็นประกาย สายตาเต็มไปด้วยความนับถือ

ฉินหลิวซีอายุไม่มาก วิชาแพทย์ดี ศาสตร์ลี้ลับก็ดี ซ้ำยังเป็นสตรี ช่างเป็นหน้าเป็นตาแก่สตรีอย่างมาก

“เตี๋ยเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท” ฮูหยินอวี๋ดุเบาๆ กล่าวขอโทษฉินหลิวซี “ท่านอาจารย์ บุตรสาวข้าไม่ได้ระวัง เสียมารยาทแล้ว”

ฉินหลิวซียิ้มพลางส่ายหน้า “คุณหนูอวี๋กำลังอยู่ในวัยร่าเริงไร้เดียงสา ตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก”

อวี๋ชิวไฉเอ่ยว่า “หากนางมีความสงบนิ่งมั่นคงเหมือนท่านอาจารย์สักครึ่งหนึ่ง พวกเราคงหัวเราะมีความสุขจนตื่นจากความฝัน”

“หากข้าเป็นเหมือนกับคุณหนูอวี๋ที่เติบโตมาท่ามกลางความดูแลเอาใจใส่จากบิดามารดา บางทีข้าก็อาจจะมีนิสัยเช่นเดียวกันกับนาง”

อวี๋ชิวไฉและคนอื่นๆ นึกถึงประสบการณ์ชีวิตของฉินหลิวซี จึงกระแอมเบาๆ

อวี๋อวิ๋นเตี๋ยหยิบห่อกระดาษมันยื่นให้ฉินหลิวซี “พี่หญิงฉิน นี่คืออาหารที่ข้าลองทำขึ้นมาใหม่ เป็นแป้งอบ ใช้นม ไข่ไก่ และแป้งผสมให้เข้ากันแล้วนำมาอบ ท่านลองชิมดูสิ”

ฉินหลิวซีตกตะลึง เปิดห่อกระดาษมันออก หยิบขนมอบออกมาหนึ่งชิ้น ความคิดก่อตัวขึ้นมาทันที

“พี่หญิงไม่ชอบหรือ” อวี๋อวิ๋นเตี๋ยถามด้วยความระมัดระวัง

“แน่นอนว่าไม่ใช่ ข้าเพียงแค่คิดว่าคุณหนูอวี๋มีความสามารถมาก” ฉินหลิวซียิ้มพลางกล่าวอธิบาย นางเพียงแค่รู้สึกว่านางเคยกินขนมอบที่รสชาติอร่อยกว่านี้ แต่ลืมไปว่าเคยกินที่ไหน

อวี๋อวิ๋นเตี๋ยสีหน้าห่อเหี่ยวพลางเอ่ย “ท่านเรียกชื่อข้าก็ได้ เรียกว่าคุณหนูอวี๋ฟังดูห่างเหินเกินไปแล้ว”

ฮูหยินอวี๋สีหน้ามืดครึ้ม กล่าวว่า “เตี๋ยเอ๋อร์ เจ้าเริ่มไม่รู้จักขอบเขตแล้ว”

“ฮูหยินอวี๋ ไม่เป็นไร น้องหญิงอวี๋…อวิ๋นเตี๋ยมีจิตใจที่ไร้เดียงสา” ฉินหลิวซีเปลี่ยนคำเรียก กล่าวตามตรง นางไม่ชินกับความคุ้นเคยเช่นนี้

อวี๋ชิวไฉและภรรยาของเขาเป็นใคร เพียงแค่ครู่เดียวก็ดูออกถึงความอึดอัดและความลำบากใจของฉินหลิวซี จากนั้นก็มองบุตรสาวของตัวเองที่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา พวกเขาก็รู้สึกปวดใจ

“ท่านอาจารย์ ตอนนี้อายุครรภ์ข้าจะห้าเดือนแล้ว รบกวนท่านอาจารย์ช่วยจับชีพจรพื้นฐานให้ข้าด้วยเถิด” ฮูหยินอวี๋แตะหน้าท้องที่ยื่นออกมาอย่างแผ่วเบา ตั้งใจเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง