บทที่ 261 แอบกิน
เมื่อทุกคนได้ยินคำว่าเทพธิดา ก็แตกตื่นกันในทันใด
“เทพธิดานั่นเอง! ไม่แปลกใจเลยที่จะสง่าผ่าเผยโดดเด่นเกินบรรยายเช่นนี้”
“สมดั่งคำร่ำลือ ความงดงามที่หาใครเปรียบมิได้ สวยกว่าสาวงามผู้เป็นที่หนึ่งในเมืองหลวงเป็นไหนๆ”
“คุณหนูสามฉินกับคุณหนูใหญ่หลินนี่ใช้ไม่ได้เอาซะเลย เทพธิดากรุณาเสด็จมา มิใช่แค่ไม่หลีกทางให้เท่านั้นนะ ยังทำให้มากเรื่องอีกด้วย ไม่รู้เลยว่าจิตใจทำด้วยสิ่งใดกัน”
“……”
ผู้คนต่างซุบซิบกัน
มีคนจำนวนหนึ่งเฝ้าดูอยู่ด้านข้างมาตลอด แน่นอนว่ารู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง หลังจากที่รู้ว่าเป็นเทพธิดา ก็พูดเรื่องต่างๆนาๆกันออกมาในทันที
เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน
ทำเอาหลินเฟยหรันมึนงงไปชั่วขณะ
ปรากฏว่านางคือเทพธิดา เหตุใดนางถึงได้งี่เง่าถึงเพียงนี้? เหตุใดจึงคิดไม่ถึงกันนะ?
แต่ นางได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว งั้นก็ต้องทำมันต่อไป!
“นาง นางคือเทพธิดางั้นรึ? จะเป็นไปได้อย่างไร? เทพธิดาผู้ประทานพรแก่ราษฎร สั่งสมแต่คุณความดีงาม จะใช้ของมีคมเหล่านั้นในมือฆ่าคนได้อย่างไรกัน?”
เมื่อหลินเฟยหรันโพล่งออกไป
“เงียบปาก!” ไท่ฟู่จ้องนางด้วยความกริ้วโกรธในทันที เพลานี้อยากจะตบหน้าหันเสียเหลือเกิน
เทพธิดาเป็นคนแบบไหนกัน?
ช่วงเวลาเพียงสองสามปี ก็เป็นที่เลื่องลือไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะไปยังที่แห่งใด ที่นั้นๆจะเหมือนดั่งพายุที่โหมกระหน่ำเป็นระลอกๆ
หรือว่านี่จะเป็นสิ่งเดียวที่เทพธิดาทำได้?
ไม่มั้ง……
ยังไงก็เป็นไปไม่ได้!
พละกำลังที่นางมีอาจจะเป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง
แต่หลินเฟยหรัน
ไม่นึกเลยว่าจะมาโชคร้าย หรือว่านางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป?
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้
ไท่ฟู่ก็รีบคารวะพร้อมพูดว่า: “เทพธิดา สาวน้อยยังเยาว์วัยนักไม่รู้เรื่องรู้ราว ขอประทานอภัยด้วยขอรับ หลังจากกลับไปแล้ว ข้าจักตักเตือนอย่างเข้มงวด”
“ก็สมควรจะตักเตือนให้เข้มงวด!”
หลานเยาเยาเล่นกับกริชในมืออย่างไม่แยแส จากนั้นก็ลูบหัวของสวนหยู่อย่างแผ่วเบา เดินมาด้านหน้าของสวนหยู่ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงข้างกายหลินเฟยหรัน
เมื่อเห็นว่านางหลบสายตา มีทีท่าเกรงกลัว จึงยกมุมปากขึ้น
จากนั้นไม่ถึงหนึ่งวิ
เมื่อหลานเยาเยาขยับ มีดก็หลุดมือไปในพริบตา
ยังไม่ทันเห็นกริชออกจากฝัก กริชก็หวนคืนกลับไปเสียแล้ว อีกทั้งผมตรงคอของหลินเฟยหรันก็หล่นลงมากองอยู่ที่พื้น………
หลินเฟยหรันที่คิดว่าจะถูกตัดคอ ก็หวาดกลัวจนหน้าซีดเซียว ปากสั่นพับๆๆ ถอยหลังไปได้สองสามก้าว ก็ล้มลงบนพื้น
“พ่อ……พ่อ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากตาย……”
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้ บรรยากาศก็เงียบงัน
“หากมีคราวหน้าอีกละก็ ข้าจะไม่ออมมืออีก”
น้ำเสียงอันเรียบนิ่งเอ่ยออกมา ดั่งกับว่าคนที่ลงมือมิใช่นางซะอย่างนั้น รอยยิ้มที่น่าหลงใหลยังคงปรากฏอยู่เรื่อยมา
“โปรดเทพธิดาจงวางใจ ข้าจักตักเตือนนางให้เป็นอย่างดี จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแน่นอนขอรับ” ไท่ฟู่พูดอย่างหนักแน่น
“หึ!”
หลานเยาเยาส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา
กวาดสายตามองผู้คนอย่างไม่ใยดี ทุกคนที่ถูกสายตานางเพ่งเข้า ก็เรียงรายออกไปในทันที
“ฮึ่ย……”
จากนั้นหลานเยาเยาก็ควบสวนหยู่ที่แสนสง่ามุ่งไปด้านในของสนามม้า แม้แต่องครักษ์รักษาพระองค์ที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าสนามม้าต่างก็มิกล้าที่จะหยุดนาง
หลังจากเห็นเทพธิดาเข้าไปแล้ว หลินเฟยหรันก็ดูผ่อนคลายขึ้นมา
เมื่อทุกคนออกไปกันหมด ดวงตาของนางก็หลั่งน้ำตา รีบมองไท่ฟู่ด้วยความรู้สึกผิดอันล้นหลามในทันที: “พ่อ เทพธิดาทำสิ่งใดก็ไม่รู้ ไม่คิดเลยว่านางจะ……”
“เพี๊ยะ……”
ไท่ฟู่ฟาดไปอย่างไร้ความปราณี
“พ่อ ท่านตีข้า พ่อตีข้าเพราะคนนอกคนเดียว” หลินเฟยหรันกุมใบหน้าที่ระอุเป็นฟืนเป็นไฟ พร้อมมองไท่ฟู่อย่างไม่พอใจ
“ข้าตีเพื่อเตือนสติเจ้า ต่อจากนี้ไปอย่าได้ไปยั่วโมโหเทพธิดาอีก มิเช่นนั้น ในวันนี้มันจะไม่ใช่แค่ผมของเจ้าที่ถูกตัด แต่มันอาจจะส่งผลกระทบไปทั้งจวนไท่ฟู่เลยก็ได้”
พูดจบ!
ไท่ฟู่ก็ให้องครักษ์ข้างกายพาหลินเฟยหรันกลับจวนในทันที
ด้านในสนามม้า
เมื่อหลานเยาเยาเข้ามาด้านใน สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องมาที่นาง สุดท้ายแล้วคนที่ขี่ม้าเข้ามาเช่นนี้ นางก็ยังเป็นคนเดียวที่ทำ
ภายใต้การจับจ้องของสายตานับหมื่น นางลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่วเรียบเนี้ยบ
องครักษ์ที่ขยิบตาอยู่ด้านข้างรีบมานำม้าออกไปในทันที นางก้าวไปทางฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ก่อนแล้ว
“ถวายบังคมฮ่องเต้ ไทเฮา!”
นางเพียงประกบมือคารวะเล็กน้อย
แต่ก็ยังดีกว่าท่าทีของนางในวังหลวงเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่อย่างไรนางก็ยังไม่คุกเข่าให้อยู่ดี
ฮ่องเต้เองก็มิได้ติดใจอันใดกับเรื่องนี้ จึงพระราชทานที่นั่งให้นางนั่งทันที
เพิ่งจะนั่งลง นางก็รู้สึกถึงสายตาที่ดุดันจับจ้องมาที่นาง ทั้งยังมาจากทางฮ่องเต้อีกด้วย
นางรีบเงยหน้าขึ้นไปมอง………
แต่กลับเห็นว่าฮ่องเต้กำลังออกคำสั่งแก่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอยู่ และไทเฮาด้านข้างพระองค์ ก็กำลังจิบชาอยู่เงียบๆ ส่วนพระสนมสองสามคนนั้น ก็ดูเหมือนจะมิได้มองนางอยู่แต่อย่างใด
น่าแปลก……
หรือว่าจะเข้าใจผิดนะ?
แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง ขณะที่นางไม่ได้ใส่ใจ สายตาที่ดุดันนั้นก็จับจ้องนางอีกครั้ง
คราวนี้ นางไม่ได้หันมองไปทางสายตาที่ดุดันนั้น เพราะนางพอเดาออกว่าเป็นผู้ใด
หึ!
สนุกขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ
ไม่นานนัก องค์ชายหกคนจากเหล่าองค์ชายทั้งเจ็ดของเมืองหลวงก็มาถึง
หลังจากที่พวกเขาถวายบังคมแก่ฮ่องเต้ เย่หลีเฉินก็ได้พาพระราชธิดาจาวหยางมาด้านข้างนาง เขายังไม่ทันได้นั่ง ก็โดนไทเฮาเรียกตัวไป
เหลือเพียงพระราชธิดาจาวหยางที่ยืนด้วยความอึดอัดอยู่คนเดียวข้างๆนาง
นางจะนั่งก็ไม่นั่ง จะยืนก็ไม่ยืน จะเดินก็ไม่เดิน
หลังจากลังเลใจอยู่นาน ก็รวบรวมความกล้าที่จะนั่งลง เดิมทีนางอยากจะทักทาย แต่เมื่อเห็นว่าเทพธิดาไม่ได้มองมาทางนาง นางจึงก้มหน้าก้มตา หยิบขนมบนโต๊ะมากินเล่น
ยังไม่ทันครู่หนึ่ง
นางก็กินขนมหมดไปสามจาน
เนื่องด้วยแต่ละโต๊ะสามารถนั่งได้สองคน และพระราชธิดาจาวหยางก็ได้นั่งร่วมโต๊ะกับนาง
ดังนั้น……
หลานเยาเยา: “……”
โอ้โห!
โหลวเย่วแม่กินเก่งคนนี้ จะเหลือไว้ให้นางหน่อยก็ไม่ได้เลยรึไง?
เพื่อภาพพจน์แล้ว นางจึงยังไม่ได้ชิมขนมเลยสักชิ้น!
หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะนวดขมับ จากนั้นก็ถามโหลวเย่วด้วยสายตา แต่นางก็ยังคงกินต่ออยู่
เมื่อเห็นว่านางมองมา นางก็หยุดกินขนมในทันที หลังจากที่นางละสายตาไป นางก็เริ่มเคี้ยวตุ้ยๆอีกแล้ว
เหมือนหนูตัวน้อยที่ชอบแอบกิน เมื่อมีคนมองนาง นางก็จะไม่ขยับเขยื้อน พอไม่มองนาง นางก็จะเริ่มแอบกินอีกครั้ง
ไม่นานนัก!
เหล่าสาวใช้ก็มาบริการขนมอีกสองสามจาน โหลวเย่วก็เปิดฉากกินต่ออีกแล้ว
หลานเยาเยากำหมัดแน่นในชั่วพริบตา พยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมตนเอง ไม่ให้ได้กลิ่นอันหอมหวานที่โชยมาของขนมเหล่านั้น
นางไม่รู้เลยว่าตัวเองกลืนน้ำลายไปกี่อึกแล้ว
และแล้วก็สุดที่จะทน นางเด้งตัวลุกขึ้นยืน ทำเอาโหลวเย่วตกใจกลัว
“เทพ เทพธิดา?”
“มิมีสิ่งใด เจ้าทานต่อเถอะ!” นางต้องไปสงบสติอารมณ์สักหน่อย
ครู่หนึ่ง!
หลานเยาเยาก็ได้พบกับสถานที่อันเปล่าเปลี่ยวเงียบสงบ โดยมีพุ่มดอกไม้สูงกว่าครึ่งตัวคนกั้นเอาไว้
หลังจากนั่งลง ก็รีบหยิบน่องไก่จากในระบบออกมากิน
ว้าว……
อดใจคันไม้คันมืออยู่ตั้งนาน ในที่สุดก็ได้กินโดยไม่ต้องห่วงภาพลักษณ์สักที
ทว่า กำลังจะอ้าปาก ยังไม่ทันได้กัดสักคำ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามา: “ดอกไม้แถวนี้สวยจังเลย! รีบมาเก็บกันเร็วเข้า”
ปัดโธ่เอ้ย!
ที่เปลี่ยวถึงเพียงนี้ ยังจะมีคนมาเก็บดอกไม้อีกรึนี่?
ใจของหลานเยาเยารีบกลั้นหายใจในทันที แต่กลับไม่มีที่ใดที่จะปล่อยมันออกมา จึงต้องจำใจหลบไป ก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า
ไม่นานนักนางก็เจอศาลาหลังหนึ่งที่โดยรอบระย้าด้วยผ้าโปร่งแสง เดิมทีคิดว่าปลอดภัยมากพอ ที่จะไม่มีคนเดินผ่านมา
ผู้ใดจะรู้ได้……