เวลานั้นลู่อวิ๋นฉีทำร้ายตนเองจนล้มลง เพราะเป็นคนร้ายคนสำคัญ ดังนั้นจึงถูกช่วยกลับมาสุดกำลัง แต่ยังคงบาดเจ็บหนัก
ไม่ ตอนนี้ถึงไม่บาดเจ็บหนักก็ไม่ควรปรากฏตัว ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เขาน่าจะยังถูกจับอยู่ในคุกของกรมอาญา
ขันทีในสุสานหลวง ขันทีในวัง องครักษ์เสื้อแพร องครักษ์ในวัง รวมถึงกองทหารชิงซานล้วนถูกจับไป ที่กรมอาญาถูกผลัดรอบเค้นสอบทั้งวันทั้งคืนไม่หยุด
ขันทีในสุสานหลวงสารภาพว่าที่ฮ่องเต้ออกจากสุสานหลวงไป หยวนเป่าให้ปิดบังองครักษ์เสื้อแพรจริงๆ ส่วนองครักษ์เสื้อแพรก็สารภาพว่าพวกเขารู้ว่าฮ่องเต้จะเสด็จจากไป แต่ฮ่องเต้ไม่ให้พวกเขาติดตาม ดังนั้นจึงมีเพียงลู่อวิ๋นฉีไม่วางใจติดตามมา
หลักๆ กรมอาญายืนยันแล้วว่านี่คือการต่อสู้แย่งอำนาจกันระหว่างหยวนเป่ากับลู่อวิ๋นฉี แผนลับอื่นๆสารพัดที่ขัดแย้งกันในยามปกติล้วนถูกเค้นสอบออกมา หยวนเป่าตายและตัดสินความผิดแล้ว ลู่อวิ๋นฉีก็ยากหนีเช่นกัน เพียงรอประหาร
เวลานี้ลู่อวิ๋นฉีปรากฏตัวที่วังหลวงเช่นนี้อีกได้อย่างไร?
แล้วยังมีชุดขุนนางทั้งร่างนี้ของเขาอีก…
คุณหนูจวินมองรอบด้านโดยสัญชาติญาณ
“ครั้งแรกที่ข้าเข้าวังก็ปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
คนก็เดินเข้ามาทีละก้าวๆ
เขาก้าวเดินช้ายิ่ง ร่างกายก็แข็งทื่ออยู่บ้าง นี่ถึงมองออกว่าเขาบาดเจ็บหนักมากจริงๆ
คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา สีหน้าระวัง
แม้นางเชื่อว่าเพราะไหวอ๋องเข้ามาพำนักในวังหลวง พวกเฉิงกั๋วกงต้องกวาดล้างที่นี่แล้วแน่ แต่ลู่อวิ๋นฉีน่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ
“ข้าคนเช่นนี้ เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในวังหลวงได้ น่าเหลือเชื่อโดยแท้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยต่อ เขามองรอบด้านทีหนึ่ง บนหน้าที่นิ่งสนิทเสมอปรากฏความยินดีนิดๆ อยู่เจือจาง
เหมือนย้อนกลับไปยามนั้นที่ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาที่นี่ครั้งแรก
“ข้ารู้สึกว่าเหมือนฝัน” เขาเอ่ย
เหมือนฝันอยู่จริงๆ องครักษ์เสื้อแพรที่มาปฏิบัติหน้าที่ในวังหลวงได้ล้วนทดสอบเข้มงวด ล้วนมีตระกูลมีอำนาจ คนอย่างลู่อวิ๋นฉีเช่นนี้น่าจะเป็นหัวหน้ากองตัวเล็กๆ บนถนนถูกเรียกมาเรียกไปทั้งชีวิต นอกเสียจากมีคนสูงศักดิ์ช่วยเหลือ
คนสูงศักดิ์คนนี้ก็คือฉีอ๋องกระมัง
คุณหนูจวินคิดถึงที่ฉีอ๋องบอกว่าเริ่มเคลื่อนไหวใช้เงินซื้อใจคนที่เมืองหลวงมานานแล้ว
ดูท่าลู่อวิ๋นฉีก็คงถูกเขาใช้ ลู่อวิ๋นฉีเวลานั้นเป็นเพียงองครักษ์เสื้อแพรตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ฉีอ๋องถึงกับสนับสนุนได้ นับว่าพวกใช้อุบายหน้าไม่อายไม่รังเกียจกัน
“คนที่น้อยครั้งนักจะมีโอกาสเช่นนี้อย่างเรา ได้รับโอกาสย่อมต้องคว้าไว้ให้ดีๆ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยต่อ “ข้าทุ่มเทใจทุ่มเทแรงทำงาน หลังจากนั้นก็ถูกเห็นค่าอย่างรวดเร็วยิ่ง”
เขารั้งสายตากลับมามองไปหาคุณหนูจวิน
“ดังนั้นข้าไม่เพียงได้ทำงานในวัง นอกจากนี้ยังได้ไปอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทแล้ว”
คุณหนูจวินรู้สึกว่าน่าขำอยู่บ้าง
เห็นค่า?
เห็นค่าจากใคร? ฉีอ๋องสินะ
ที่แท้เวลานั้นเขาก็อยู่ข้างกายพระบิดาแล้ว?
คุณหนูจวินโกรธแค้นนิดๆ อีกหน โกรธแค้นที่ตนเองไม่อยู่บ้าน ถึงกับไม่ทันค้นพบ
“คนมากปานนั้น เจ้าจะจำได้อย่างไร” ลู่อวิ๋นฉีคล้ายมองความคิดของนางออก “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
ใช่แล้ว สำหรับนางองค์หญิงผู้สูงส่งคนนี้แล้ว ไหนเลยจะสังเกตบ่าวรับใช้ขุนนางทุกคนได้
“ต้องขอบคุณเจ้าที่ปลอบข้าไหม?” คุณหนูจวินมองเขาแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“แน่นอนไม่จำเป็น” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
ความเร็วที่เขาเอ่ยวาจากับที่เขาก้าวเดินเชื่องช้าเหมือนกัน แต่ยังคงเดินมาถึงเบื้องหน้านาง
เมื่อเดินมาใกล้แล้ว คุณหนูจวินถึงมองห็น บนอาภรณ์สีแดงสดของเขาคราบเลือดซึมออกมา เพราะบาดแผลปริหรือฝ่ามาถึงที่นี่ย้อมลงไปใหม่?
บนร่างเขาไม่มีอาวุธ แต่สำหรับลู่อวิ๋นฉีแล้วก็ไม่อาจเอาอาวุธมาตัดสินเขาได้เช่นกัน
คุณหนูจวินไม่ได้ถอยหลัง
“องค์รัชทายาทชอบอ่านหนังสือ” ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่เบื้องหน้านาง เอ่ยต่อช้าๆ “ยามเขาอ่านหนังสือ ไม่ชอบให้ข้างตัวมีคนมากเกินไปปรนนิบัติ หลายครั้งมีเพียงข้าคนเดียวทำหน้าที่”
มือของคุณหนูจวินอดไม่ได้กำขึ้นมา
นางคล้ายเดาได้แล้วว่าเขาจะพูดอะไร
ลู่อวิ๋นฉีมองนาง
“วันนั้น ฉีอ๋องมา” เขาเอ่ย “แอบมาคนเดียว”
บนมือของคุณหนูจวินเส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้น นิ่งไม่กระดิกมองเขาตรงๆ
ลู่อวิ๋นฉีก็มองนาง สายตาไม่หลบหลีกสักนิด
“ข้า ปล่อยเขา เข้าไป” เขาเอ่ยช้าๆ
ในวังมีต้นไม้ใหญ่น้อยมาก นี่เพื่อป้องกันไม่ให้มือสังหารหลบซ่อน แสงตะวันล้วนส่องลงบนร่างคนตรงๆ
เขายืนอยู่หน้าประตู กุมดาบในมือ รู้สึกหยาวยิ่งนักอย่างไร้สาเหตุ
หูตาของเขาว่องไวนัก ประตูหน้าต่างที่ปิดสนิทไม่ได้ขวางเสียงในห้อง
แรกสุดคือเสียงพูดจาแผ่วเบา ตามติดมาคล้ายมีเสียงหัวเราะ แต่นาทีต่อมาเสียงก็กลายเป็นประหลาดพิกล
คล้ายโต๊ะถูกล้มคว่ำ
คล้ายมีคนล้มลงบนพื้น
คล้ายมีคนส่งเสียงอู้อี้ครวญคราง
เขาเป็นองครักษ์เสื้อแพร เขารับผิดชอบหน้าที่องครักษ์เสื้อแพรที่นี่ แม้ไม่ถูกเรียก แต่ความเคลื่อนไหวผิดแปลก ทุกสิ่งล้วนต้องระแวดระวัง
เขากำดาบในมือแน่น หมุนตัวผลักประตูเปิด
องค์รัชทายาทไม่ได้นั่งอยู่หน้าโต๊ะอ่านหนังสือเดี๋ยวคิ้วเลิกขึ้นอย่างตื่นเต้นเดี๋ยวนิ่งขรึมเช่นนั้นเหมือนวันวาน
คิ้วขององค์รัชทายาทเวลานี้ก็เลิกขึ้นสูงเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะอ่านหนังสืออ่านจนเข้าถึงอารมณ์ แต่บนลำคอถูกเข็มขัดเส้นหนึ่งรัดไว้ คนทั้งร่างถูกตรึงไว้หน้าร่างฉีอ๋อง
องค์รัชทายาทรูปร่างสูงผอม เวลานี้ถูกเข็มขัดของฉีอ๋องที่รูปร่างอ้วนท้วนรัดคอไว้ยิ่งแลดูบอบบาง
เมื่อเห็นเขาเข้ามา ในดวงตาขององค์รัชทายาทก็ทอประกาย เขายิ่งดิ้นรนสุดกำลัง
รอเขาชักดาบโถมเข้ามาช่วย หรือหมุนตัวตะโกนเสียงดังขอความช่วยเหลือไปข้างนอก
“ยังอึ้งอยู่ทำอันใด?” ฉีอ๋องตวาดเสียงเบาอย่างรำคาญ “ปิดประตูซะ!”
เขายังคงอึ้งดังเดิม สมองขาวโพลนไปหมด หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงประตูถูกปิดลง จากนั้นเขาพลันมองเห็นประกายในดวงตาขององค์รัชทายาทพริบตามืดดับ
เขาพลันลนลานอยู่บ้าง มองไปยังประตูโดยไม่รู้ตัว มองไปที่มือของตนเอง
เขาเป็นคนปิดประตู?
เขา เขาปิดประตูแล้ว…
เสียงตุบดังขึ้นทีหนึ่ง
เขาตกใจมองไป เห็นองค์รัชทายาทล้มลงบนพื้น ฉีอ๋องดึงเข็มขัดออกมาคาดกลับไปบนร่าง พลางยกมือทดสอบลมหายใจขององค์รัชทายาท สีหน้าพออกพอใจ
“ข้าไปแล้ว” ฉีอ๋องเอ่ย ก้าวเร็วไวเดินมาหาเขาแล้วผ่านเขาไป “อีกประเดี๋ยวเจ้าค่อยเรียกคนมา”
ประตูถูกเปิดออกแล้วถูกปิดลงอีกครั้ง
เขายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ฉีอ๋องคล้ายไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
เขามองบุรุษที่ล้มแน่นิ่งอยู่บนพื้น
เขาก้าวทีละก้าวๆ เข้าไป
องค์รัชทายาทยังลืมพระเนตร มองเขาที่เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวๆ มองเขา มองเขา มองเขาอย่างไร้ความยินดีไร้ความโกรธไร้ความเศร้าไร้การวิงวอน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ดวงตาคู่นี้ก็ยังคงมองเขาอยู่
ลู่อวิ๋นฉีมองคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินก็มองเขา ไร้ความยินดีไร้ความโกรธไร้ความเศร้าไร้การวิงวอน มีเพียงความเฉยชา เหมือนมองคนแปลกหน้า
นางเดินผ่านเขา เดินไปด้านหน้า
ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขวาง
เนิ่นนานก่อนหน้านี้นางก็เคยมองเขาเช่นนี้ครั้งหนึ่ง
เวลานั้นเขานอนอยู่บนพื้นอเนจอนาถเหมือนสุนัขเสียบ้านรอความตาย นางตวาดห้ามคำหนึ่ง หลังจากนั้นหวดอาชาจากไป ก่อนหวดอาชาจากไปมองเขาทีหนึ่ง
เพียงมองครั้งหนึ่ง ไร้ความยินดีไร้ความโกรธไร้ความเศร้าไร้ความสงสาร เพราะสำหรับนางแล้ว เป็นเพียงคนแปลกหน้า
เริ่มแรกเป็นคนแปลกหน้า ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นคนแปลกหน้า
ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวมองแผนหลังของสตรีที่ค่อยๆ เดินไกลออกไป นิ่งไม่ขยับ แสงตะวันลากเงาของเขาทอดยาว แสงตะวันถูกเงาร่างของเขากลืนกินไปอีกครั้ง
……………………………………….
……………………………………….
“คุณหนูจวิน”
บัณฑิตกู้ที่ซุกมือยืนอยู่บนทางเดินด้านหน้ารั้งสายตากลับมาจากตำหนักที่จัดพิธีด้านนั้น มองคุณหนูจวินแล้วเผยใบหน้ายิ้มออกมา
คุณหนูจวินมองเขา แต่ไม่มีรอยยิ้มสักนิด
“ทำไมปล่อยเขาออกมา?” นางเอ่ยถามตรงๆ
เขาหมายถึงลู่อวิ๋นฉี
แต่คำนี้ถามบัณฑิตกู้ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง
บัณฑิตกู้เวลานี้ฐานะยังสู้นางไม่ได้ อย่างน้อยนางยังมียศองค์หญิงเสี้ยนจู่ แต่บัณฑิตกู้กระทั่งกระทั่งขุนนางในวังอ๋องก็นับไม่ได้
คนเช่นนี้ถึงกับปล่อยลู่อวิ๋นฉีออกมาจากในคุกได้?
บัณฑิตกู้ยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้ประหลาดใจหรือปฏิเสธคำพูดของนาง
“เพราะกรมอาญาสอบสวนกระจ่างแล้ว ขันทีทั้งหลายสารภาพว่าเรื่องนี้หยวนเป่าวางแผนเพียงผู้เดียว ลู่อวิ๋นฉีเพียงป้องกันตนเอง” เขาเอ่ย “ดังนั้นที่ใต้เท้าลู่ทำให้ฝ่าบาทตกพระทัยจึงลดขั้นสามขั้นเป็นการลงโทษ แต่ไม่ได้ลงโทษถึงชีวิต”
คุณหนูจวินมองเขา
“ทำไมตัดสินเช่นนี้?” นางเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“เพราะจำเป็น” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินสีหน้ายิ่งเย็นเยียบทั้งยังมีความโกรธเกรี้ยวอยู่บ้างอีกด้วย
“จำเป็นกับใคร?” นางเอ่ย