บทที่ 301 เซียวเหยาอ๋องทะเลาะวิวาท

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 301 เซียวเหยาอ๋องทะเลาะวิวาท

บทที่ 301 เซียวเหยาอ๋องทะเลาะวิวาท

พวกเขาเดินทางมาถึงเมืองจินโจวในตอนบ่าย

แม้คณะเดินทางจะไม่อยากให้เป็นที่เอิกเกริก แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้เลย

มิต้องกล่าวถึงบรรดาผู้คนที่สวมใส่ชุดขุนนาง ลำพังแค่เสือยักษ์สองตัวของเสี่ยวเป่าก็ยากจะรอดพ้นสายตาไปได้แล้ว

เสี่ยวเป่าที่ขึ้นขี่บนหลังเสือก็สะดุดตาไม่แพ้กัน

เพื่อมิให้ประชาชนตื่นตระหนกจนเกินเหตุ เสี่ยวเป่าจึงสวมที่ครอบปากให้กับเสือทั้งสอง แม้ว่าจะควบคุมพวกมันไม่ได้ก็ตามที

ที่จริงแล้วเสือสองตัวเชื่องเป็นอย่างมากเมื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของเสี่ยวเป่า แต่ว่าคนอื่นไม่คิดเช่นนั้น แค่เห็นร่างกายที่หนักเกือบเจ็ดร้อยจินก็หวาดกลัวจนแทบแย่แล้ว

แม้จะใส่ที่ครอบปากไว้ป้องกันก็ยังคงน่ากลัวอยู่ดี

ทันทีที่เห็นคณะเดินทางกลุ่มนี้ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา บรรดาราษฎรที่กำลังเข้าแถวเพื่อรอเข้าเมือง ก็แตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง

เสี่ยวเป่าทำได้เพียงตะโกนปลอบพวกเขาว่า “พวกมันเป็นเด็กดี ไม่กัดคนหรอก”

เสี่ยวเป่าต้องมีเฮยอู๋ฉางและไป๋อู๋ฉางคอยติดตามอยู่เคียงข้างตลอดเวลาเพื่อทำหน้าที่คุ้มกัน ท่านพ่อและท่านอาเจ็ด รวมถึงบรรดาพี่ชายของนางจึงจะวางใจ ด้วยเหตุนี้…จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พาพวกมันเข้าเมืองไปด้วย

ผู้พิทักษ์ประตูเมืองก็กลัวพวกมันด้วย เพียงกวาดตาดูเอกสารอย่างขอไปทีโดยพยายามเก็บงำความกลัวเอาไว้ จากนั้นก็ให้พวกเขาเข้าไปในเมือง

“ท่านแม่ เด็กคนนั้นขี่หลังเสือ น่ากลัวจัง”

เด็กน้อยรู้สึกหวาดกลัวทว่าสีหน้าแลดูปรารถนา

ขี่เสือได้ด้วย น่าเกรงขามสุด ๆ!

เสี่ยวเป่า : นางก็ไม่อยากพาพวกเสือเดินกรีดกรายเข้าไปในเมืองหรอก แต่พวกมันไม่อยากรออยู่บนรถม้านี่นา!

“ในเมืองคนเยอะ พวกเจ้าขึ้นไปรอบนรถม้าดีหรือไม่”

เสี่ยวเป่าพูดใส่หูของเจ้าเสือ

ไป๋อู๋ฉาง : เจ้าพูดว่าอะไรนะ ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย

แกล้งโง่เสียก็สิ้นเรื่อง

โดยเฉพาะไป๋อู๋ฉางที่ชอบอยู่ไม่สุข การให้มันรอบนรถม้าเป็นเวลานาน ๆ ถือเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าฆ่ามันให้ตายเสียอีก

เสี่ยวเป่าตบหัวของมันเบา ๆ “แค่แป๊บเดียวเอง พวกเราไปถึงเมื่อไหร่พวกเจ้าก็จะได้ออกมา เสี่ยวเป่าจะให้เหล่าอู๋ทำซี่โครงเนื้ออร่อย ๆ ให้พวกเจ้ากินนะ”

คราวนี้หูของเจ้าเสือทั้งสองกระดิกไปมา คล้ายกับได้ยินอะไรบางอย่าง แต่ยังคงไม่ขยับเขยื้อน

“ให้กินจนพุงกางเลย!”

เยี่ยมไปเลย ไป๋อู๋ฉางส่งเสียงคำรามในลำคอ ในที่สุดมันก็ย้ายร่างอันมโหฬารของตัวเองขึ้นไปบนรถม้า

ทำเอาม้าลากรถสองตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

ภายในรถม้ามีขนาดกว้างขวางเพื่อรองรับเจ้าตัวอ้วนที่หนักเกือบเจ็ดร้อยจิน อีกทั้งยังใช้ม้าชั้นดีทรงพลังถึงสองตัวในการลากรถ

มิหนำซ้ำด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตเกินไปของพวกมัน จึงต้องใช้รถม้าหนึ่งคันสำหรับเสือหนึ่งตัว

เสี่ยวเป่าสามารถเข้าไปอยู่ข้างในรถม้ากับพวกเสือได้ตลอดเวลา แม้สภาพอากาศจะหนาวเย็น แต่การนอนซบท้องเสือที่เต็มไปด้วยขนปุกปุยทำให้ไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด

ในบางครั้งนางถึงกับตื่นขึ้นเพราะรู้สึกร้อน

หลังจากที่รถม้าเคลื่อนตัวไปได้สักระยะ ในที่สุดผู้คนก็เลิกแตกตื่น

เสี่ยวเป่านอนซบพุงปุกปุยของเฮยอู๋ฉาง โดยกินของว่างในมืออย่างเอร็ดอร่อย

ทันใดนั้นรถม้าก็สั่นไหวอย่างรุนแรง จนนางล้มกลิ้งไปบนหน้าท้องของเฮยอู๋ฉาง

นางไม่บาดเจ็บอะไร อย่างไรเสียการกลิ้งบนท้องเสือก็ไม่เจ็บทั้งยังนุ่มนิ่มสบายตัว แต่ว่า…

“แค่ก ๆ…”

นางสำลัก QAQ

หัวหน้าองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงก็รีบเปิดม่านออก และเมื่อมองเข้าไปก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก

“เอาน้ำมาเร็วเข้า!”

องค์หญิงหายใจไม่ออกจนใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม

เฮยอู๋ฉางเลียนแบบท่าทางของมนุษย์โดยใช้อุ้งเท้าของมันตบหลังของนางด้วยความร้อนใจ แต่ว่าอุ้งเท้าอันใหญ่ยักษ์ของมันเกือบจะตบเสี่ยวเป่าจนล้มกระเด็น

เสี่ยวเป่า “…”

เฮยอู๋ฉาง “…”

ไม่กล้าขยับเขยื้อน

สุดท้ายน้ำที่หัวหน้าองครักษ์นำมาให้ก็ช่วยชีวิตน้อย ๆ ของนางไว้ได้ทันเวลา

“สุนัขใจกล้าที่ไหน กล้าดีอย่างไรมาขวางทางข้า พวกเจ้าอยากตายหรือ!”

น้ำเสียงยโสโอหังดังมาจากด้านนอก เสี่ยวเป่าถามอย่างงุนงง “มีเรื่องอะไรหรือ”

“ใคร…ใครอนุญาตให้พวกเจ้านั่งรถม้าในเมืองจินโจว ไม่รู้หรือว่าเมืองจินโจวนี้เป็นของพวกข้าสกุลอวี๋ รื้อรถม้าพวกนั้นให้หมด!”

เห็นได้ชัดว่าคนพูดเมาสุรา ทั้งยังไม่เห็นว่าผู้ที่ตนเผชิญหน้าคือผู้ใด จึงได้สั่งให้คนรื้อรถม้าตรงหน้าอย่างวางท่าอวดดี

ในสายตาของเขา ไม่มีผู้ใดในเมืองจินโจวขวางทางของตนได้ ต่อให้ฮ่องเต้จะเสด็จมาก็ตามที

แต่ว่าบ่าวรับใช้ข้างกายของเขากลับหวาดกลัวตัวสั่น

คนตรงหน้าสวมชุดเกราะทหารพร้อมกับดาบคู่กายท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง

“นะ นายน้อย พวกเรากลับกันเถอะขอรับ คนตรงหน้า…ล่วงเกินไม่ได้นะขอรับ!”

บางทีอาจจะเป็นขุนนางชั้นสูงจากที่ไหนสักแห่ง ไม่ใช่บุคคลที่นายอำเภอเล็ก ๆ จะเทียบเคียงได้

“ล่วงเกินไม่ได้หรือ”

อวี๋ตัวอวี้ที่กำลังเมามายถีบบ่าวรับใช้คนนั้นให้พ้นทาง

“ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า ในเมืองจินโจวมีคนที่ข้าผู้นี้ล่วงเกินไม่ได้ด้วยหรือ ต่อให้เป็นมังกรก็ยังต้องหลบให้ข้า!”

“วาจาช่างโอหังเสียจริง”

หนานกงหลีก้าวออกจากรถม้าพลางส่งเสียงหัวเราะเย็นชา

“เมืองจินโจวของต้าเซี่ยกลายเป็นของลูกพ่อค้ากระจอก ๆ ตั้งแต่เมื่อใดกัน”

อวี๋ตัวอวี้ขยี้ตามองคนผมดำในชุดคลุมสีม่วงสดตรงหน้า จากนั้นก็หัวเราะอย่างหยาบคาย

“คนสวย!”

หนานกงหลี “(▼皿▼)”

“คนสวย คนสวยมาอยู่กับข้าสิ มาปรนนิบัติให้ข้ารู้สึกดี…”

หนานกงหลีไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาชักดาบขององครักษ์แล้วฟันฉับลงไป

“คนสวยมารดาเจ้าสิ! หน้าตาอย่างกับคางคก หัดฉี่แล้วส่องสารรูปตัวเองดูบ้างว่ามันทุเรศแค่ไหน ด่าว่าเป็นหมาข้ายังสงสารหมาเลย แค่ต้องหายใจร่วมโลกกับคนอย่างเจ้า ข้าก็สะอิดสะเอียนจะแย่!”

ขณะลงไม้ลงมือก็มิวายพ่นคำด่าสารพัด

อวี๋ตัวอวี้ที่เกือบจะถูกคมดาบราวกับสายฟ้าแลบสร่างเมาด้วยความตกใจ เมื่อได้ฟังคำด่าทอที่รับไม่ได้เช่นนี้ก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ

อวี๋ตัวอวี้วางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองจินโจวแห่งนี้มาก็ตั้งหลายปี ยังมิเคยโดนคำสบประมาทเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน!

“เจ้า…เจ้าระวังให้ดีเถอะ…”

หนานกงหลีโยนดาบลงกับพื้น “พวกเจ้าหยุดสุนัขรับใช้พวกนั้นให้หมด!”

จากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้นและก้าวไปข้างหน้า คว้าผมของอวี๋ตัวอวี้ไว้ในกำมือแล้วเริ่มปล่อยหมัด

“กล้าดีอย่างไรมาพูดจาแทะโลมข้า ตอนข้าเป็นลูกผู้ดีมีเงิน เจ้ายังไม่หย่านมแม่เสียด้วยซ้ำ! ข้าว่าหน้าเจ้าดูไม่ค่อยเหมือนผู้เหมือนคนเท่าไหร่ เดี๋ยวข้าจะช่วยแก้ให้เอง”

“จมูกเบี้ยว ต้องทุบตรงนี้สักหน่อย!”

“โอ๊ย!!!”

“ไอ้หยา ทำไมตาบวมเช่นนี้เล่า รอเดี๋ยวนะ ข้าจะช่วยทุบกลับเข้าไปให้!”

“โอ๊ย ๆ ๆ!! ปล่อยข้า เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร คอยดูเถอะข้าจะฆ่าเจ้า!”

“ทำไมปากเหม็นเช่นนี้เล่า เจ้าน่ะ ถอดถุงเท้ามาให้ข้าที”

องครักษ์จัดการถอดถุงเท้าของบ่าวรับใช้ที่กำลังดิ้นต่อสู้ จากนั้นก็ใช้สองนิ้วคีบปลายถุงเท้าส่งให้ด้วยความรังเกียจ

“ท่านอ๋อง นี่พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงหลี “…”

“เจ้าจะให้ข้าจับถุงเท้าเหม็น ๆ นี่น่ะหรือ”

องครักษ์ “…”

ท่านเป็นคนขอมิใช่หรือ

หนานกงหลีบีบจมูกและก้าวหนีอย่างไม่สนใจไยดี จากนั้นก็โบกมือ “ยัดใส่ปากของมัน”

องครักษ์ “…พ่ะย่ะค่ะ”

เขาตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก