บทที่ 278 ไม่ได้คิดอะไรเลย

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 278 ไม่ได้คิดอะไรเลย

บทที่ 278 ไม่ได้คิดอะไรเลย

“อา งั้นนายเป็นผู้หญิงเหรอ?” ซูโย่วอี๋พูดอย่างร้ายกาจ

จนเจ้าจิ้งจอกเน่าพองขนฟู [ซู่จู่!]

[ฉันอยากเจอพี่ไป๋]

“รู้แล้ว”

ซูโย่วอี๋เถียงกับอีกฝ่ายจนปวดสมอง “ให้ฉันคิดหาข้ออ้างก่อน ฉันสัญญาว่านายจะได้เห็นพี่ไป๋ที่นายคิดถึงทั้งวันทั้งคืนในสองวันนี้แน่”

ได้ยินดังนั้น เจ้าจิ้งจอกเน่าก็ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างพึงพอใจในที่สุด

“นายเลือกรูปลักษณ์ของนายแล้วหรือยัง?”

[ฉันเลือกไว้นานแล้ว แค่รอพี่สาวไป๋เท่านั้นแหละ]

ซูโย่วอี๋เอนตัวไปและพูดว่า “ทำไมนายไม่ให้ฉันดูก่อนล่ะ? ฉันจะให้ไอเดียกับนาย เราจะได้แก้ไขส่วนที่ไม่น่าดูไง”

[แก้ไข?]

เจ้าจิ้งจอกเน่าชำเลืองมองเธอเหมือนคนโง่ [คุณคิดว่าเล่นเกมแต่งตัวหรือไง?]

[ถ้าเลือกรูปลักษณ์แล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก]

ซูโย่วอี๋เลิกพูดทันที “นายไม่ปรึกษาเรื่องใหญ่แบบนี้กับพี่สาวอย่างฉันเลยเหรอ?”

ถ้าเจ้าจิ้งจอกเน่ามีมาตราฐานหน้าตาแปลก ๆ มันจะไม่น่ากลัวเหรอ

เจ้าจิ้งจอกเน่าตัวเหม็นกระดิกหางอย่างเอื่อยเฉื่อย [ไม่ต้องห่วง ฉันมีมาตราฐานดีกว่าคุณซะอีก]

ซูโย่วอี๋พักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสั่งซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารออนไลน์ และเธอตัดสินใจทำอาหารเองในคืนนี้

เธอใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูและฮัมเพลงอย่างมีความสุข

ระหว่างที่กำลังวุ่นอยู่ก็มีเสียงปิดประตู

เมื่อซูโย่วอี๋หันศีรษะไปมองก็เห็นว่าลู่เฉินกลับมาแล้ว

“ทำไมไม่บอกฉันล่วงหน้าล่ะคะ?”

ลู่เฉินเดินตรงไปด้านหลังเธอ ก่อนโอบแขนอันแข็งแกร่งรอบเอวเรียว แล้วฝังศีรษะไว้ที่คอพลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ

“หอมจัง”

ซูโย่วอี๋รู้สึกจั๊กจี๋ “แน่นอนสิ ซุปไก่ตุ๋นอร่อยมาก”

“ผมหมายถึงคุณ”

ซูโย่วอี๋หันศีรษะไปมอง เมื่อเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของลู่เฉิน เธอจึงพูดเสียงอ่อน “เหนื่อยเหรอคะ?”

“ก็ทำงานทั้งกลางวันกลางคืนสลับกันมา 2-3 วันแล้ว”

“คุณไม่คิดจะโทรหาผมเลย”

น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาพูดอย่างกล่าวหา

ซูโย่วอี๋ยกยิ้ม “ฉันไม่ว่างนี่”

ดวงตาของลู่เฉินมองหญิงสาวอย่างหยอกล้อ “เหมยเหมยบอกว่าหลายวันนี้คุณดูอารมณ์ดีมาก”

“อ่า ดูเหมือนครั้งหน้าจะต้องเตี๊ยมกับเธอล่วงหน้าแล้วแฮะ”

ลู่เฉินบีบเอวของเธออย่างลงโทษ

ซูโย่วอี๋ยกมือขึ้นอย่างยอมจำนน “ฉันผิดไปแล้ว อย่า…”

ดวงตาของเธอมีประกายแสงเล็กน้อย ดูสดชื่นเหมือนน้ำค้างยามเช้า

ริมฝีปากสีเชอร์รี่และใบหน้าอมชมพูงดงามราวกับก้อนเมฆในยามพลบค่ำ

มันทั้งบริสุทธิ์และมีเสน่ห์

ดวงตาสีดำคมเข้มของลู่เฉินเป็นประกายเจ้าเล่ห์ ลำคอของเขาขยับไหว

ซูโย่วอี๋เม้มริมฝีปาก “ไปพักก่อนนะ ฉันจะเรียกคุณตอนเตรียมอาหารเสร็จแล้ว”

“อืม”

หลังจากที่ลู่เฉินจากไป ซูโย่วอี๋ก็หยิบผงเลิศรสออกมาโรยในซุปไก่

เธอต้องเกลี้ยกล่อมให้ลู่เฉินดื่มมันให้มากขึ้นเพื่อคลายความเหนื่อยล้าของเขาได้

ระหว่างทาง ลู่เฉินเอนกายลงบนโซฟาและผล็อยหลับไป

ลมหายใจหนักผ่อนลง ภาพยามหลับใหลของเขาดูสงบและงดงาม

ซูโย่วอี๋หยิบผ้าห่มผืนบางมาคลุมตัวเขา จ้องมองใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินจากไปอย่างเสียดาย เพราะทุกครั้งที่เธอมองเขา เธอรู้สึกไม่เคยพอเสมอ

เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ซูโย่วอี๋ก็ตบไหล่ลู่เฉิน “ได้เวลากินแล้วค่ะ”

“หืม” เสียงนั้นง่วงงุน เห็นได้ชัดว่ายังตื่นไม่เต็มที่

ในวินาทีต่อมา ลู่เฉินโอบกอดซูโย่วอี๋ด้วยมือทั้งสองข้าง และกอดไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างหลวม ๆ

และเพราะเธอไม่ทันตั้งตัว

ซูโย่วอี๋ที่ไม่มีที่รั้งจึงตกอยู่ในอ้อมแขนของลู่เฉินโดยที่ปลายจมูกของเธอแตะกับอีกฝ่าย

ลู่เฉินโน้มตัวเข้าไปใกล้คอของเธอแล้วสูดกลิ่นหอม

“หอมจัง”

“คราวนี้เป็นกลิ่นข้าวล่ะ”

ซูโย่วอี๋ยกมือดันตัวเองออกจากอกของลู่เฉิน “คุณจะบ่นว่าฉันไม่ได้อาบน้ำสินะ?”

ลู่เฉินหัวเราะเบา ๆ “ไม่ใช่ มันเป็นกลิ่นของบ้าน อบอุ่นมากต่างหาก”

เขารู้สึกโหยหา

“คุณเป็นสุนัขเหรอ?”

ซูโย่วอี๋ยืนขึ้นและดึงลู่เฉินขึ้นจากโซฟา “อาหารจะเย็นแล้ว”

บนโต๊ะมีอาหารสี่อย่างและซุปหนึ่งอย่าง

ลู่เฉินตักชามซุปไก่ให้ซูโย่วอี๋ “ลำบากคุณแล้ว”

ก่อนตักให้ตัวเองบ้าง

ซูโย่วอี๋เฝ้าดูเขากินไปสองครั้งแล้ววางลง “กินมากกว่านี้สิคะ ซุปไก่ช่วยให้สดชื่น ช่วยคลายความเหนื่อยล้า และทำให้คุณกระปรี้กระเปร่าได้นะ”

“ขนาดนั้นเลย?”

“แน่นอน ซุปไก่ที่ฉันทำมีพรวิเศษ”

หลังจากกินซุปไปชามหนึ่งแล้ว ลู่เฉินก็เม้มริมฝีปาก “จะให้กระปรี้กระเปร่าตอนกลางคืนไปทำไม?”

ซูโย่วอี๋สำลัก

“ลู่เฉิน! คุณนี่จริงจังได้แค่สามวินาทีหรือไง”

“ผมไม่ได้พูดอะไรเลย”

“คุณพูด!”

“ผมพูดอะไร” ลู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ

“คุณพูด…”

กระปรี้กระเปร่า?

จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็ตระหนักได้ว่านี่คือสิ่งที่เธอพูดก่อน

และลู่เฉินแค่พูดซ้ำในสิ่งที่เธอพูด

เธออดที่จะถอนหายใจไม่ได้ วัฒนธรรมภาษาของจีนนั้นกว้างใหญ่และลึกซึ้งจริง ๆ!

ซูโย่วอี๋ไม่พอใจ “ฉันคงคิดมากไป”

“คุณคิดมากเรื่องอะไร? บอกผมสิ”

ลู่เฉินมองเธออย่างหยอกล้อ

ซูโย่วอี๋หยิบผักขึ้นมายัดใส่ปากอีกฝ่าย “อย่าพูดตอนกิน”

“โอ้”

ลู่เฉินตอบรับเสียงอู้อี้ และถามขึ้นหลังจากที่เขากลืนมันแล้ว “คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ?”

ซูโย่วอี๋แทบจะบ้าตาย “ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย”

“แล้วตอนนี้คิดหรือยัง”

“ไม่!”

ลู่เฉินวางตะเกียบลงแล้วแตะหัวเธอ “ทำไมคุณน่ารักจัง?”

ไม่ตลกเลย

“ผมคิดอยู่ว่าคุณจะทำได้รึเปล่า” ลู่เฉินกังวลว่าเรื่องซวี่เฟิงจะสร้างบาดแผลในใจให้เธอ

ซูโย่วอี๋หลุบตาลง ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว “อย่าพูดเรื่องแบบนี้ตอนกินข้าว”

“โอ้”

“งั้นไว้คุยกันหลังมื้อค่ำนะครับ”

ซูโย่วอี๋ “…”

“โย่วอี๋ ผมติดต่อโรงพยาบาลที่ต่างประเทศไว้แล้ว นี่อาจเป็นประโยชน์ในการรักษาของคุณ ถ้าถ่ายรายการวาไรตี้เสร็จแล้ว ผมจะพาคุณไปที่อังกฤษนะ”

!

ซูโย่วอี๋ปฏิเสธทันที “ฉันไม่ไป”

ล้อเล่นหรือเปล่า ทันทีที่เธอออกจากโรงพยาบาล เธอก็เข้าระบบเพื่อแลกยา ตอนนี้ร่างกายของเธอจึงมีสุขภาพดียิ่งกว่าก่อนเกิดเรื่องนั้นเสียอีก

แต่ผลการตรวจยังคงอยู่

ลู่เฉินดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย “มันไม่ได้ยุ่งยาก คุณแค่ต้องไปตรวจ แล้วผมจะจัดการทุกอย่างให้เอง”

ซูโย่วอี๋ตระหนักได้ว่าเธอดูต่อต้านเกินไป “ถึงคุณจะไม่ได้บอกฉันเรื่องอาการของฉัน แต่ฉันรู้สึกว่าโรงพยาบาลเป๋าไป่เป็นโรงพยาบาลที่มีความสามารถมากพอ และการวินิจฉัยของพวกเขาก็ไม่ผิด”

“ที่คุณพูดเมื่อกี้ก็แค่มีความเป็นไปได้ แต่ผลลัพธ์ยังไม่แน่ชัด ฉันไม่อยากเสียเวลาค่ะ”

ลู่เฉินขมวดคิ้ว “แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่นน่ะเหรอ?”

เขาอยากลองดู

ซูโย่วอี๋ไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ต่อ “ลู่เฉิน ซูหยินกับคุณกู่หมั้นกันแล้ว ไว้เราจะเรียกเสิ่นเฉียวและคนอื่น ๆ ออกมาฉลองด้วยกันดีไหมคะ?”

“ได้สิ เมื่อไหร่ดี?”

“คืนพรุ่งนี้ค่ะ ฉันจะไปคลับของเสี่ยวเหล่าซานนะคะ”

เจ้าจิ้งจอกเน่าบินวนไปในอากาศอย่างตื่นเต้น

เยี่ยม

วันพรุ่งนี้ ฉันจะได้เจอพี่ไป๋แล้ว

ลู่เฉินรับปากกับเธอทุกอย่าง เพราะเขาต้องหาเวลาอีกครั้งเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการไปพบแพทย์

หลังจากกินข้าวเสร็จ ลู่เฉินกำลังจะล้างจาน แต่ถูกซูโย่วอี๋ห้ามไว้ “ฉันจะล้างจานเอง”

เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้านหนึ่งวันเต็ม เมื่อเทียบกันแล้ว ลู่เฉินน่าจะเหนื่อยกว่ามาก

อีกทั้งงานส่วนใหญ่เป็นของเครื่องล้างจานด้วย

ลู่เฉินจับมือของเธอที่กำลังจะล้างจาน “งั้นผมไม่ล้าง แล้วคุณก็อย่าล้างด้วย”

“ไว้เรียกป้าแม่บ้านให้มาทำความสะอาดทีหลัง”

“เป็นอะไรไป? ฉันล้างจานเร็วนะ”

ลู่เฉินไม่สามารถห้ามเธอไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องเกลี้ยล่อม “งั้นผมจะช่วยคุณเอง”

หลังจากทำงานบ้านเสร็จ ทั้งสองคนก็นั่งเล่นบนโซฟาและโทรชวนเพื่อน ๆ ให้มาในงานเลี้ยงคืนพรุ่งนี้

ซึ่งทุกคนต่างตอบรับกันอย่างกระตือรือร้น

เสี่ยวเหล่าซาน [ยินดีต้อนรับคุณลู่และน้องสะใภ้อย่างอบอุ่น รวมทั้งคุณกู่และคู่หมั้นสู่กลุ่มของพวกเรา]

ปานจ่าง [นายนี่ขี้ประจบจริง ๆ]

ไป๋เสิ่นเฉียว [ฉันดีใจที่จะได้เจอโย่วโย่วอีกแล้ว]

กู่อวี๋เฉิง [ผมจ่ายเอง]

ซูหยิน [ขอบคุณที่รักกับทุกคนนะคะ]

ฮันเจ๋อหยาง [เฮ้ คุณไม่ต้องอุดหนุนธุรกิจของเสี่ยวเหล่าซานแบบนี้ก็ได้]

ลู่เฉิน [มาให้ตรงเวลาล่ะ]

ทุกคน ‘นายคิดว่านี่เป็นการประชุมหรือไง’

เจ้าจิ้งจอกเน่าตัวเหม็นเพิ่มประโยคในใจอย่างเงียบ ๆ ‘ฉันจะได้เจอพี่สาวไป๋แล้ว’

หลังจากเสร็จธุระแล้ว ลู่เฉินก็ไปห้องทำงานเพื่อทำงานต่อ

ส่วนซูโย่วอี๋กับเจ้าจิ้งจอกเน่าดูทีวีอยู่พักหนึ่งก่อนจะรู้สึกเบื่อ จึงกลับไปที่ห้องนอน

ฤดูหนาวในปักกิ่งนั้นหนาวมาก แต่ซูโย่วอี๋ไม่ชอบเปิดเครื่องทำความร้อน เพราะเธอคิดว่ามันอบอ้าวเกินไป

เธอจึงห่อตัวเองด้วยผ้านวมหนาพลางเล่นโทรศัพท์ สักพักเธอก็ผล็อยหลับไป

ลู่เฉินที่รีบทำงานให้เสร็จก่อนเที่ยงคืนผลักประตูห้องนอนเข้ามา

เขามองไปที่ใบหน้าที่หลับไหลของหญิงสาว จากนั้นยกผ้านวมขึ้นและสอดตัวเข้าไป

ขณะที่เครื่องปรับอากาศกระจายไปทั่ว ซูโย่วอี๋ก็คดคู้ตัวลงโดยไม่รู้ตัว พลางขมวดคิ้วมุ่น

ดูคล้ายกับว่าเธอไม่มีความสุขอย่างมาก

แต่ลู่เฉินที่เห็นภาพนั้นก็รู้สึกเอ็นดู

“โย่วโย่ว ผมเอง”

ซูโย่วอี๋ยังไม่ได้สติเต็มที่ แต่ร่างกายของเธอเอนตัวไปหาเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ขณะพึมพำว่า “นอนกันเถอะ”

ดูน่ารักมาก

ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะฉกฉวยริมฝีปากนุ่มนั่น

เขากดจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

จนกระทั่งเธอหายใจติดขัด

ซูโย่วอี๋จึงตื่นขึ้นเต็มที่

หลังจากจูบอันยาวนานจบลง ลู่เฉินก็ถอยห่างออกมาเล็กน้อย “ผมอยาก…”

ซูโย่วอี๋ไม่ตอบ

และปิดริมฝากอีกฝ่ายด้วยจูบ

หิมะนอกหน้าต่างโปรยปรายลงมา

อุณหภูมิในห้องค่อย ๆ สูงขึ้น

ในช่วงเช้าตรู่ หิมะบาง ๆ ก่อตัวขึ้นเป็นชั้นหนา

ทันทีที่ซูโย่วอี๋ส่งลู่เฉินออกไป ซูหยินก็มารออยู่นอกประตู

เธอยังหิ้วซาลาเปาไส้หมูนึ่งสองถุงมาด้วย

“เธอลืมเหรอว่านัดกันกี่โมง?”

ซูหยินเลิกคิ้ว “เปล่า วันนี้ฉันจะไปเลือกชุดแต่งงาน ฉันเลยมาก่อนเวลาเพื่อติดสินบนเพื่อนเจ้าสาว”

“กู่อวี๋เฉิงไม่ได้ไปเหรอ?”

“ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ทุกคนในบริษัทเลยยุ่งมาก ขอเลือกสัก 2-3 ชุดก่อน แล้วค่อยให้กู่ไตช่วยเลือก”

ซูโย่วอี๋เดาะลิ้นของเธอเบา ๆ “คุณภรรยาแสนดี”

ซูหยินเทซาลาเปานึ่งลงในจาน “ขอบใจ เธอก็เหมือนกันแหละ”

ร้านชุดเจ้าสาวที่ซูหยินจองไม่ใช่แบรนด์ชั้นนำที่เป็นที่รู้จักของคนอื่น แต่เป็นร้านที่มีดีไซน์เฉพาะตัว

คนดังหลายคนเลือกร้านนี้สำหรับงานแต่งงาน

ร้านมีความเป็นส่วนตัว และพนักงานก็มีความเป็นมืออาชีพ

ทันทีที่พวกซูหยินมาถึงร้าน ก็มีผู้จัดการร้านรอรับลูกค้าอยู่ที่นั่น

ผู้จัดการร้านพาพวกเธอไปที่ชั้นสอง “เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีในการเลือกชุด ทางเราจะรับลูกค้าเพียงรายเดียวในเวลาเดียวกันทุกวัน ตอนนี้ร้านมีแต่พนักงาน และคุณทั้งสองคนสามารถถอดหน้ากากออกได้อย่างมั่นใจเลยค่ะ”

เมื่อได้ยินอย่างนี้ ทั้งซูโย่วอี๋และซูหยินก็ถอดหน้ากากออก

คนหนึ่งมีเสน่ห์เซ็กซี่

คนหนึ่งดูเย็นชาห่างเหิน

ผู้จัดการร้านจ้องมองทั้งสองอย่างเหม่อลอย และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะดึงสติกลับคืนมาได้

“ขอโทษนะคะ ฉันเคยเห็นคนดังหลายคนมาที่ร้านมาตั้งมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนสวยอย่างคุณสองคน”

“ถ้าสวมชุดแต่งงานของเราแล้วต้องสวยมากแน่นอนค่ะ”

เมื่อขึ้นไปที่ชั้นสอง ทางเข้าเปิดกว้างให้เห็นพื้นไม้กับโคมไฟระย้าคริสตัลที่ดูสวยงาม และกระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง

ผู้จัดการร้านอธิบายว่า “ชั้นนี้มีไว้ให้ลูกค้าลองชุดแต่งงานเป็นหลักค่ะ ส่วนชั้น 3 4 และ 5 มีชุดแต่งงานหลากสไตล์”

สไตล์จีน สไตล์ตะวันตก และชุดแต่งงานที่มีสไตล์เฉพาะตัว

ซูหยินบอกธีมของชุดแต่งงานแบบตะวันตกที่เธออยากได้

ส่วนผู้จัดการร้านเดินตามหลังไปและแนะนำการออกแบบและรายละเอียดปลีกย่อยของชุดแต่งงานอย่างละเอียด

ซูหยินมีสายตาที่เฉียบคมมาก หลังจากดูชุดแต่งงานหลายร้อยชุด ก็มีเพียงสามชุดเท่านั้นที่เธอเลือก

ขณะที่ซูหยินกำลังลองชุดแต่งงาน ซูโย่วอี๋ก็นั่งบนโซฟาและเปิดนิตยสาร

ทันใดนั้นมีเสียงมาจากบันได

ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย