“พี่ซือ!” เจิ้นหลิวหม่างอุทานด้วยความตกใจ
พวกเขาอยู่ในสถาบันจันทร์กระจ่างด้วยกันมาหลายปีแล้ว ทุกคนจึงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันเป็นอย่างดี เมื่อเห็นอีกฝ่ายหนึ่งถูกห้อยลงมาจากต้นไม้ พวกเขาจึงรีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่ลังเลใด ๆ จากนั้นจึงช่วยกันตัดเชือกเอาร่างกายของซือเจิ้นเซียงลงมา
“ระวัง!” เจียเจิ้งจิ่งเตือนขึ้นอย่างฉับพลัน
อย่างไรก็ตาม มันสายเกินไปแล้ว ทันทีที่เชือกขาด เงาสีดำก็พุ่งผ่านอากาศเข้ามาในทันใด
เจิ้นหลิวหม่างไม่สามารถหลบลูกธนูได้พ้น แต่โชคดีที่เขายังเหวี่ยงกระบี่เร็วพอที่จะเบี่ยงเบนทิศทางของลูกธนูที่พุ่งเข้ามาได้สำเร็จ แต่ก่อนที่เขาจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก บางอย่างบนร่างของซือเจิ้นเซียงก็ระเบิดออกในทันที
เขารีบกระโจนหนีอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เขาได้เปิดใช้งานเกราะพลังชี่ไว้แล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้นแม้ว่าการระเบิดจะสร้างความเสียหายอันร้ายแรงให้กับเขา แต่ก็ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
คลื่นกระแทกจากการระเบิดกระแทกร่างเขาไปที่พื้น เขากำลังจะสาปแช่งไอ้สารเลวที่วางกับดักที่น่ารังเกียจนี้ไว้ แต่พื้นดินที่อยู่ใต้เขาได้ทรุดตัวลงอย่างกะทันหันและเขาก็ตกลงไปในหลุม
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น ดูเหมือนว่าจะมีกลไกบางอย่างในหลุมไว้คอยจัดการกับเหยื่อที่ตกลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เจียเจิ้งจิ่งระงับความต้องการที่จะตรวจสอบสถานการณ์ของสหาย เขามองสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น มีเงาพุ่งเข้ามาหาเขาจากด้านข้างพร้อมกับมีดสั้นสีดำอยู่ในมือ
“ข้าว่าแล้วเชียว!” เจียเจิ้งจิ่งแทงหอกของเขาออกไปตอบโต้อย่างรวดเร็วราวกับมังกรที่กำลังพุ่งโจมตีเหยื่อ หอกของเขานั้นแข็งแกร่งกว่ามีดสั้นที่กำลังกวัดแกว่งเข้ามาทั้งในแง่ของกำลังและความเร็วอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขากระโดดถอยหลัง เหลือบมองลงไปดูก็พบว่าเกราะอ่อนของเขาถูกกรีดจนเห็นเสื้อที่อยู่ด้านใน
หากร่างนั้นอยู่ใกล้เขาอีกแม้แต่นิ้วเดียว มีดสั้นก็จะเจาะทะลุและเสียบเข้ามาที่หน้าท้องของเขาแน่นอน
“มีดสั้นบ้านี่มันอะไรกัน!?” เจียเจิ้งจิ่งตกตะลึง เขาใช้งานเกราะพลังชี่มาโดยตลอด ดังนั้นการโจมตีธรรมดาไม่ควรทำร้ายเขาได้ ทว่าการโจมตีเมื่อครู่สามารถเจาะเกราะพลังชี่ของเขาและทะลุผ่านเกราะอ่อนที่เขาซื้อมาในราคาสูงได้ เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร!
ในทางกลับกัน ซูอันพร่ำบ่นความล้มเหลวของเขาอยู่ในใจ ระยะการโจมตีที่สั้นของแท่งพิษ และปฏิกิริยาตอบสนองที่เฉียบคมของศัตรูทำให้เขาล้มเหลวไม่อย่างนั้นเขาคงเอาเรื่องที่ตัวเองสามารถฆ่าผู้บ่มเพาะระดับสี่ขั้นปลายได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวไปอวดคนอื่นได้!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่ ตงฟางปุ้ป้าย สามารถสยบยุทธภพได้ด้วยเข็มเพียงไม่กี่เล่มในมือ ในขณะที่เขายังคงนั่งพร่ำบ่นกับความสั้นของมีดในมือของตัวเอง
การต่อสู้ไม่ได้หยุดทันทีหลังจากการปะทะครั้งนี้ เจียเจิ้งจิ่งไม่ได้เป็นนักศึกษาธรรมดา เขาได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีในฐานะทหารเดนตายตั้งแต่อายุยังน้อย รวมถึงได้เรียนรู้สิ่งใหม่มากมายจากสถาบันจันทร์กระจ่างด้วย เขาตั้งสติอย่างรวดเร็วและแทงหอกในมือไปที่ซูอันอีกรอบ
ถึงแม้ว่าการโจมตีนี้จะเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่ก็หวังผลได้ หอกของเจียเจิ้งจิ่ง ดูราวกับสามารถฉีกอากาศออกตามเส้นทางการเคลื่อนที่ของมัน
ซูอันหลบไปด้านข้างก่อนที่จะพยายามโจมตีสวนอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่ามีพายุรุนแรงมาจากด้านข้างของเขา เขาชักมีดสั้นที่กำลังแทงไปหาเจียเจิ้งจิ่ง กลับออกมาอย่างรวดเร็วแล้วใช้มันปัดหอกที่กำลังโจมตีเข้ามาด้านข้างของเขาอย่างกะทันหัน
แม้จะสกัดกั้นการโจมตีได้สำเร็จ แต่พลังอันมหาศาลจากหอกก็บังคับให้ซูอันต้องใช้วิชาร่างก้าวทานตะวัน ถอยออกไปสองสามก้าวก่อนที่เขาจะสามารถต้านทานไว้ได้
เจียเจิ้งจิ่งยิ้มอย่างเย้ยหยัน เขาเรียนรู้การใช้หอกมาตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วเขาจะยอมให้ใครเข้ามาใกล้เขาง่าย ๆ ได้อย่างไร? อันที่จริงการโจมตีครั้งนี้เขาใช้กำลังเต็มที่ในฐานะผู้บ่มเพาะระดับสี่ขั้นปลาย และมันน่าจะมากเกินพอที่จะบดขยี้ศัตรูได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีความเสียหายตามที่เขาคาดไว้ ราวกับว่าเขาโจมตีใส่เตียงนุ่น
“ทักษะการเคลื่อนไหวของเจ้า…” เจียเจิ้งจิ่งพึมพำ เขาสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายใช้ทักษะการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดเพื่อลดพลังโจมตีของเขา
เขาเคยได้ยินว่าซูอันมีทักษะการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดและนั่นเป็นกุญแจหลักที่ทำให้ซูอันเอาชนะในการประลองระหว่างตระกูลได้ อย่างไรก็ตาม แต่ข่าวที่เขาได้รับเพิ่มเติมมาก็คือแม้ว่าทักษะการเคลื่อนไหวของซูอันจะดูน่าประทับใจในตอนแรก แต่มันกลับมีช่องว่างมากมายหากสังเกตดี ๆ
ในทางกลับกัน หลังจากที่ปัดการโจมตีด้วยความยากลำบากแล้ว ซูอัน ก็พุ่งเข้าหาเจียเจิ้งจิ่งอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงคร่ำครวญแว่วมาจากหลุมกับดัก ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้กระบี่ยังไม่ตาย เขาต้องกำจัดผู้ใช้หอกอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์กลายเป็นสถานการณ์สองต่อหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการรุกของเขาทั้งหมดกลับถูกหอกสกัดไว้ด้วยเสียงอันดังกึกก้อง นี่คือความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากระดับการบ่มเพาะและประสบการณ์การต่อสู้ มันไม่ง่ายเลยที่ซูอันจะเอาชนะผู้ใช้หอกได้
ใบหน้าของซูอันเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดมากกว่าเดิม เขาพยายามโจมตีให้เร็วมากขึ้นควบคู่กับการใช้วิชาร่างก้าวทานตะวัน ซึ่งมันส่งผลให้ความไวของเขาในตอนนี้ดูเหมือนปีศาจที่หลอกหลอนในสนามรบ
เหงื่อเริ่มผุดออกจากหน้าผากเจียเจิ้งจิ่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าผู้บ่มเพาะระดับที่ห้าอย่างหยวนเหวินตงถูกซูอันทำให้พิการได้อย่างไร?
โลกประนาม หยวนเหวินตง ที่ประมาทคู่ต่อสู้เกินไป แต่นั่นเป็นเพียงเพราะพวกเขายังไม่ได้ลิ้มรสวิชากระบี่ของซูอัน!
มันเป็นรูปแบบ 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานของสถาบันจันทร์กระจ่าง ที่ถูกพัฒนาโดยซูอัน การโจมตีของเขาดูตรงไปตรงมา แต่เมื่อนำมาใช้ร่วมกับทักษะการเคลื่อนไหว มันกลับกลายเป็นเขาแทบคาดเดาทิศทางของกระบี่ไม่ได้เลย
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เจียเจิ้งจิ่ง สามารถอดทนได้จนป่านนี้ เหงื่อเย็นยะเยือกที่ไหลรินของเขาเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด
เขายังคงพยายามโจมตีในตอนแรก แต่หลังจากแลกการโจมตีกับซูอัน หลายครั้ง เขากลับถูกบังคับให้เป็นฝ่ายรับในที่สุด บางครั้งหลังจากที่ซูอันล้มเหลวในการโจมตีและเขาโต้กลับไปได้ ซูอันจะโต้กลับมาอีกอย่างรวดเร็ว ในท้ายที่สุดเขาก็ถูกบังคับให้เป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียว
เขาเหวี่ยงหอกอย่างสิ้นหวังเพื่อสร้างระยะป้องกันที่แข็งแกร่งรอบตัวเอง
เขาผิดหวังว่าตัวเองควรจะอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ แต่เขากลับทำได้เพียงแค่ทำตัวเหมือนเต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่ในกระดอง
ในทางกลับกัน มือของซูอันเริ่มรู้สึกมือชาจากการปะทะกับผู้ใช้หอกหลายครั้งเกินไป มีอยู่หลายครั้งที่มีดสั้นของเขาเกือบจะหลุดออกจากมือ แต่หลังจากได้รับบทเรียนจากการเผชิญหน้ากับซือเจิ้นเซียงครั้งก่อน เขาก็จับมันให้แน่นกว่าที่เคย
หลังจากโจมตีล้มเหลวหลายครั้ง ซูอันจึงเลือกที่จะหยุดการโจมตีและเปลี่ยนแผนไปเป็นเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ผู้ใช้หอกเพื่อรอจังหวะอีกฝ่ายหมดแรงจากนั้นเขาค่อยปิดฉากไปในทีเดียว
ผู้ใช้หอกเหวี่ยงหอกอยู่เรื่อย ๆ เพื่อสร้างกำแพงหอกป้องกันรอบตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สามารถรักษาการเหวี่ยงนี้ให้คงที่ได้นานเกินไปนัก พลังงานชี่ของเขากำลังหมดลงไปในอัตราที่น่าตกใจ ซึ่งตอนนี้ก็เพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
หลังจากช่วงเวลาอีกพักหนึ่งผ่านไป ซูอันก็สังเกตเห็นว่ากำแพงหอกมีขนาดเล็กลงจากในตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด และดูเหมือนว่าผู้ใช้หอกจะสังเกตเห็นปัญหานี้เช่นกันและกำลังพยายามประหยัดพลังงานของเขา
รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของซูอัน ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้ผู้ใช้หอกพักหายใจได้ ดังนั้นเขาจึงเข้าไปคลุกวงในอีกรอบเพื่อกดดันอีกฝ่าย
ในขณะนี้ เจียเจิ้งจิ่งรู้สึกหายใจไม่ทันราวกับว่าปอดของเขากำลังจะระเบิด เขายังไม่ได้บาดเจ็บอะไรจากการต่อสู้ครั้งนี้ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าเขามีความได้เปรียบในแง่ของความเร็วและความแข็งแกร่ง แต่ความคล่องแคล่วของทักษะการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายนั้นกลับมากเกินพอที่จะหักล้างข้อได้เปรียบที่เขามี
เขายังคงโกรธเคืองในตอนแรก แต่เมื่อตระหนักถึงสถานการณ์เลวร้ายที่เขาเผชิญอยู่ ถ้าปล่อยให้สถานการณ์ยังคงดำเนินไปอย่างนี้ ในไม่ช้าเขาคงต้องยอมจำนนต่ออีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัยและเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นเขาจำเป็นต้องตีโต้กลับบ้างแล้ว
แต่ปัญหาคือการโต้กลับจะบังคับให้เขาเปิดเผยช่องว่าง และเขาอาจตายเร็วขึ้นด้วยเหตุนั้น มีดสั้นสีดำสนิทที่ ซูอัน ถืออยู่ในมือทำให้เขารู้สึกอันตรายทุกครั้งที่มันเข้ามาใกล้ เขาจะขนลุกไปแทบทั้งตัว
อย่างไรก็ตาม…สถานการณ์พลิกผันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ร่างของชายคนหนึ่งกระโดดออกมาจากหลุมและคว้าตัวซูอันก่อนที่จะตะโกนว่า “พี่เจีย ฆ่าเขาซะ!”
มันคือเจิ้นหลิวหม่าง! เขายังมีหัวลูกธนูติดอยู่ที่ขาของเขา และร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส แต่เขายังมีชีวิตอยู่!
ซูอันตระหนักว่าเขาประมาทเกินไป เขาได้ยินเสียงคร่ำครวญจากหลุมในตอนแรก แต่เมื่อเสียงนั้นเงียบลง เขาคิดว่าอีกฝ่ายได้ยอมจำนนต่ออาการบาดเจ็บและตายไปแล้ว ใครจะไปคิดว่าไอ้คนนี้ ๆ กำลังอดทนรอโอกาสที่จะโจมตีกลับ?
ไอ้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เอ๊ย!
ซูอันพยายามที่จะสลัดให้หลุดพ้นจากเจิ้นหลิวหม่าง แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายเป็นผู้บ่มเพาะระดับสี่ขั้นกลาง ความแตกต่างในความแข็งแกร่งของพวกเขาทำให้ซูอันไม่สามารถหลุดพ้นได้
“ตาย!” เจิ้นหลิวหม่างคำราม
ในมุมมองของเขา ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของซูอันคือทักษะการเคลื่อนไหว ดังนั้นเขาจึงโคจรพลังชี่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของตัวเองถึงขีดสุด โดยตั้งใจที่จะบดขยี้กระดูกของซูอันให้แหลกละเอียดภายใต้การกอดรัดของเขา
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่มันคงคุ้มค่าเพราะนายน้อยประกาศไว้ก่อนแล้วว่าเขาจะให้รางวัลแก่บุคคลที่สามารถฆ่าซูอันได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ร่างกายของเจิ้นหลิวหม่างกลายเป็นแข็งทื่อไปในทันทีทันใดในช่วงเวลาวิกฤตินี้ เขาพบว่าร่างกายของเขาเริ่มสูญเสียความแข็งแกร่งไปอย่างรวดเร็ว ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงคือ ซูอันแทงแขนของเขาด้วยมีดสั้น จากนั้นอักขระสีดำลึกลับก็แทรกซึมเข้าไปในบาดแผลของเขา
“มีดสั้นนี่มันบ้าอะไรกัน?…มันรุนแรงขนาดนี้ได้ยังไง?…”
ด้วยคำพูดที่ขาดเป็นห้วง ๆ เหล่านั้น เจิ้นหลิวหม่างก็หมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ในขณะเดียวกัน ซูอันรู้สึกเครียดอย่างไม่น่าเชื่อแม้ว่าเขาจะสามารถฆ่าศัตรูของเขาได้ ปัญหาในตอนนี้คือมือของผู้ใช้กระบี่ยังคงแข็งเกร็งยึดติดกับร่างกายของเขา เขาต้องใช้เวลาสักครู่เพื่อสลัดภาระที่กอดรัดเขาอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้หอกคงไม่ให้โอกาสเขาทำเช่นนั้นแน่นอน!
ไม่ว่าทักษะการเคลื่อนไหวของซูอันจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ไม่สามารถสำแดงอำนาจออกมาได้อย่างเต็มที่เมื่อมีศพของผู้ชายหนักพอ ๆ กับเขากอดรัดอยู่แบบนี้
หอกของเจียเจิ้งจิ่งพุ่งเข้ามาหาเขาราวกับประกาศิตสั่งตาย ตอนนี้ซูอัน ได้สูญเสียข้อได้เปรียบของทักษะการเคลื่อนไหวของเขาไปแล้ว ขณะนี้เขาเป็นเหมือนปลาที่อยู่ในถังรอให้ชาวประมงเอาฉมวกแทง!