บทที่ 291 ถูกเอาตัวไป
บทที่ 291 ถูกเอาตัวไป

“น่าเสียดายที่มันอยู่ได้เพียงสามวัน มันสามารถควบคุมร่างกายของเขาได้ แต่ควบคุมใจเขาไม่ได้ เขายอมให้กระดูกเน่า ดวงจิตถูกกัดกินทรมาน ดีกว่าต้องมารักข้า”

“จากนั้นมา ข้าก็ใจอ่อน ข้าเห็นเขาต้องเจ็บปวดทรมาน ข้าเองก็ไม่สบายใจ อย่างไรเขาก็เป็นคนที่ข้ารักมาก แล้วข้าจะทำใจทำร้ายเขาได้อย่างไร?”

“แต่มันก็สายเกินไปแล้ว”

ชิงลั่วเยี่ยนดูรู้สึกผิดจนเจ็บปวดใจนัก น้ำตาเจิ่งนองดวงตาทั้งสอง น้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อยยามกล่าวต่อ “นับตั้งแต่ที่ข้าลงอาคมกับเขา เขาก็ต้องตายแล้ว แต่เพราะแรงใจของเขากล้าแข็งมาก ใช้ทุกอย่างที่มีสู้กัดฟัน ร่างกายจึงยิ่งถูกหนอนกู่กัดกินหนักขึ้น ทำให้พลังบำเพ็ญสลายไปมาก ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย”

“สุดท้ายข้าก็เสียสติ คิดสังหารน้องสาวตนเอง เป็นเขาที่ปกป้องนางจากท่าสังหารของข้า วิญญาณแตกสลายเป็นผุยผง และ….. สิ้นใจทันที”

“และเพื่อรักษาร่างเนื้อเขาไว้ น้องสาวข้าจึงใช้วิชาต้องห้าม ทั้งร่างเนื้อและร่างวิญญาณจึงถูกลบหายไป”

เมื่อกล่าวจบ เสียงชิงลั่วเยี่ยนจึงเริ่มกลับมาสงบ จนกระทั่งไร้ร่องรอยใดราวกับกำลังเล่าเรื่องคนอื่นที่ไม่เกี่ยวกับตัวนางอีก

“คนสองคนที่ข้ารักที่สุด ตายด้วยน้ำมือของข้า”

ชิงลั่วเยี่ยนค่อย ๆ หันมามองชิงอวี่ รอยยิ้มมุมปากดูขบขันเยือกเย็นนัก “เจ้าบอกข้าสิ ข้ามันโง่ที่สุดเลยใช่หรือไม่? ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะสองมือของข้า หากข้าเลือกปล่อยไปตั้งแต่ต้น เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่!?”

ชิงอวี่นัยน์ตาเป็นประกายคม นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “ข้าฉงนนักว่าคนปริศนาที่ท่านเจ้าอารามเอ่ยถึง…..”

ที่นางสนใจที่สุดย่อมเป็นคนปริศนาที่ชิงลั่วเยี่ยนกล่าวถึงสองสามครั้งผู้นั้น

นางฟังชิงลั่วเยี่ยนเล่าจบแล้ว ก็รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะแผนชั่วร้ายเบื้องหลัง ราวกับถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น ส่วนชิงลั่วเยี่ยนเป็นเพียงมีดที่ถูกยืมมาฆ่าคนจากมือมืดหลังม่านก็เท่านั้น

ทว่าชิงลั่วเยี่ยนกลับส่ายหน้าน้อย ๆ “ข้าไม่เคยเห็นใบหน้าเขามาก่อน ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ก็เห็นเพียงเงาราง ๆ น้ำเสียงก็ดูห่างไกลมาก ราวกับพวกเราไม่ได้อยู่โลกเดียวกัน”

ชิงอวี่มุ่นคิ้ว ดูจากคำอธิบายที่ไม่ชัดเจนนี้ นางไม่สามารถชี้ตัวอีกฝ่ายได้เลย แต่ที่มั่นใจคืออีกฝ่ายไม่เพียงทรงพลังธรรมดาเป็นแน่

ที่ชิงลั่วเยี่ยนยังเป็นเจ้าอารามศักดิ์สิทธิ์มานานนมเช่นนี้ได้เป็นเพราะเล่ห์กล แต่นางก็มีพลังบำเพ็ญสูงเช่นกัน แต่พลังของคนปริศนาดูท่าจะเหนือกว่านางมาก

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีพลังบำเพ็ญเหนือใครบนแดนเมฆาสวรรค์ได้

แต่ก็มีข้อยกเว้น

ทุกคนบนยอดเขาใจสงบ ว่ากันว่าเป็นยอดยุทธ์หาผู้ใดเปรียบ มีพลังบำเพ็ญเหนือคน ครอบครองพลังเซียนที่คนธรรมดาไม่อาจถือครอง

ที่เข้าฝันนางเมื่อครานั้นคือปีศาจกินฝันที่แอบเข้ามาในฝันคนเพื่อบรรลุเรื่องบางอย่าง เจ้านั่นนับว่ามีพลังต่ำ แต่กระนั้นนางก็รับมือกับมันได้ยากเย็นไม่น้อย

ดูท่าคำกล่าวที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคนท่าจะเป็นคำจริง นางมาถึงที่นี่จึงได้รู้ว่าการมีพลังสูงส่งมันสำคัญเพียงไหน

ที่นี่…..คนอ่อนแอมีแต่ถูกกลืนไม่เหลือซาก

แต่นางก็พบเรื่องแปลกนักอีก ทำไมชิงลั่วเยี่ยนถึงเผยเรื่องราวออกมาในคืนนี้ล่ะ?

นางยังเคลือบแคลงใจอยู่ตลอด แต่ตอนนี้กลับเชื่อใจนางยิ่งนัก แต่นั่นไม่ใช่เพียงเพราะนางมีประโยชน์ต่ออีกฝ่าย ทั้งชิงอวี่ยังไม่กล้าคิดว่าตัวนางเองสามารถทำให้ชิงลั่วเยี่ยนเผยความลับทุกอย่างออกมาได้

ดังนั้นนางจึงถามตนเองทันที ที่เผยความลับที่ซุกซ่อนอยู่ส่วนลึกในใจ….. อีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใดกันแน่?

“เจ้ารู้หรือไม่? ข้าควรจะปกป้องเจ้าตั้งแต่แรกแล้ว”

ในตอนที่ชิงอวี่กำลังสับสน ชิงลั่วเยี่ยนก็พลันเอ่ยปาก

คำประหลาดเหล่านั้นจู่ ๆ ก็ออกมา

“เพราะเจ้าฉลาดเกินไป เจ้ารู้มากเกินไป….. ในเรื่องที่เจ้าไม่สมควรรู้” ชิงลั่วเยี่ยนเอ่ยเสียงเบาต่อพลางมองชิงอวี่ด้วยสายตาอ่านไม่ออก

“ไม่รู้ว่าท่านเจ้าอารามหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถาม

ชิงลั่วเยี่ยนเม้มปาก เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “รู้หรือไม่ว่าแม่เจ้าทำไมถึงต้องตาย?”

สีหน้าชิงอวี่พลันแข็งขึ้นทันที กลิ่นอายเองก็ตึงเครียดมากขึ้น

ชิงลั่วเยี่ยนเห็นแล้วก็ส่ายหน้าจนใจ ถอนหายใจเบาออกมา “คิดหรือว่าข้าจะวางใจเจ้า? เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงเก็บเจ้าไว้ข้างกายเล่า?”

เอ่ยถึงตรงนี้ ชิงลั่วเยี่ยนก็เอ่ยน้ำเสียงเยาะเย้ยตนเองขึ้น “อาจเพราะความรู้สึกผิดที่มีต่อนางกระมัง!”

“พวกเจ้าหน้าตาเหมือนกันเกินไป ครั้งแรกที่เห็นเจ้า ข้าก็สงสัยแล้ว แต่เจ้าเก็บงำได้ดีนัก หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นเจ้าเข้าหอคัมภีร์ได้ง่ายดาย สถานที่ที่กระทั่งชางเจี้ยนยังไม่อาจเข้าใกล้ได้ ข้าก็อาจถูกเจ้าหลอกได้ไปแล้ว”

“เจ้าอาจไม่รู้ แต่มีเพียงพระเจ้าแห่งอารามและผู้ที่เลือกให้ดูแลหอคัมภีร์เท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ นับแต่นั้นมาก็มีข้องดเว้นอยู่ข้อเดียวเท่านั้น นั่นก็คือน้องสาวคนสุดท้องของข้า ชิงหลานเฟย องค์หญิงที่กำเนิดมาพร้อมกับเพลิงหงส์ แรงดึงดูดในเลือดนางบังเอิญตรงกับหอคัมภีร์ นางจึงเข้าออกได้ตามใจชอบ”

“นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครเข้าหอคัมภีร์ได้อีก แต่เจ้าก็กลายเป็นข้อยกเว้นที่สอง”

ชิงลั่วเยี่ยนจ้องนางนิ่ง เอ่ยคำเน้นย้ำต่อ เพราะในกายเจ้า มีสายเลือดหงส์เพลิงอย่างที่นางมี”

ชิงอวี่ไม่คิดเลยว่านางพลาดที่จุดนั้น

ชิงอวี่ยกยิ้ม แม้จะถูกเปิดโปงแล้ว แต่สีหน้าก็ไร้ความกลัวความตื่นตกใจ ยังยิ้มไม่สนโลกเอ่ยคำต่อ “ในเมื่อท่านเจ้าอารามรู้ตัวตนข้าแล้ว ข้าก็ไม่ต้องแสร้างอีก ที่ข้ามาที่นี่เพียงเพราะต้องการเอาสิ่งที่เป็นของท่านแม่กลับคืนเท่านั้น”

“เอาสิ่งที่เป็นของแม่เจ้ากลับคืน?” ชิงลั่วเยี่ยนสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนหัวเราะเหยียดเสียงดัง นางกวาดสายตามองแล้วเอ่ยถาม “เจ้าหมายถึงอารามศักดิ์สิทธิ์นี่น่ะหรือ? หึ! ข้าไม่ได้ต้องการมันแต่แรกแล้ว แต่มันเป็นหมากที่รับใช้ข้ามานานหลายปี ไม่ว่าจะเจ้าหรือแม่เจ้า อย่างไรก็ไม่อาจหนีพ้น…..”

ชิงลั่วเยี่ยนไม่ว่าต่อ เพียงแต่กลับไปหัวเราะเท่านั้น ภายใต้แสงนวลของดวงจันทร์ ที่มุมดวงตางามล้ำของนาง ราวกับเห็นว่ามีน้ำตาเป็นประกายหลั่งไหลเป็นสายอยู่

เป็นตอนนั้นเองที่ชิงอวี่สัมผัสบางอย่างได้แล้วเงยหน้าขึ้น พบว่าดวงจันทร์ไม่เต็มดวงตอนนี้กลับเหลือเพียงครึ่งดวงเท่านั้น

มันยังคงทอแสงสว่างไม่เปลี่ยน แต่เหมือนจะสว่างกว่าเดิม ดวงจันทร์นั้นลอยเด่นอยู่ไกลมากแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ ใกล้เสียจนราวกับรู้สึกถึงความหนาวเหน็บจนนางขนลุกเกรียวด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น

ชิงอวี่ที่หรี่ตาลงพลันจ้องมองจุดสีขาวของหิมะที่พลันโปรยลงมาบนไหล่และเรือนผม อุณหภูมิลดต่ำลงทันที หนาวเสียจนเลือดในกายเกือบแข็ง เสียดลึกถึงกระดูก

หากตอนนี้ตัวนางไม่ได้สวมชุดหน้าร้อนตัวบางอยู่ นางก็คงคิดว่าเป็นฤดูหนาวไปแล้ว

แต่ฤดูอันหนาวเหน็บนั่นเพิ่งพ้นไปได้ไม่เท่าไหร่

ภาพประหลาดพิลึกตรงหน้าทำให้ชิงอวี่กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ก่อนมองรอบกายตนระแวดระวัง

ชิงลั่วเยี่ยนหลับตาลง เอ่ยเสียงกระซิบแทบไม่ได้ยิน ทั้งยังไร้อารมณ์ใดเจือ “ไร้ประโยชน์ เขาอยู่ที่นี่แล้ว”

เขา? ใครกัน?

ความรู้สึกอันตรายส่งผลให้ร่างชิงอวี่เกร็งทันที นัยน์ตาหงส์เบิกกว้างขึ้นน้อย ๆ นางมองฝ่าความมืดไปยังที่ห่างไกลออกไป เห็นเพียงเงาร่างคนจาง ๆ กำลังเดินเข้ามา และหยุดอยู่ไม่ไกลเท่านั้น

ดูจากเงาร่างแล้ว เป็นบุรุษคนหนึ่ง

“เจ้าไปได้แล้ว” เสียงคนผู้นั้นยังดูหนุ่มนัก ทั้งไพเราะใสกระจ่างราวกับประคำหยกตกลงบนชามกระเบื้อง เหมือนดั่งดวงจันทร์หนาวเหน็บและหิมะเย็นยะเยือก งดงามทว่าอันตราย

เขาพูดจบ ชิงลั่วเยี่ยนก็หันมามองชิงอวี่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยคำ “ลาก่อน”

พูดจบนางก็หมุนตัวเดินจากไปช้า ๆ

“ท่านเป็นใคร?”

ภายใต้หิมะหนาว เหลือเพียงชิงอวี่และบุรุษผู้นั้นที่ยืนไกลออกไป ไม่อาจเห็นสีหน้าได้

คนปริศนาที่ชิงลั่วเยี่ยนว่าอาจจะคือเขา มือมืดหลังม่านที่ทำให้ครอบครัวนางต้องตายจากเมื่อครานั้น

เขาไม่ตอบคำ แต่เอ่ยเสียงเรียบขึ้น “ดูเจ้าไม่ตกใจเลยนะ เด็กน้อยอายุเช่นเจ้าแต่กลับมีสภาวะอารมณ์เช่นนี้ได้ ช่างเหมือนกับหลานเฟยจริง ๆ นับว่าเป็นคนไม่ธรรมดา”

ชิงอวี่หรี่ตาลง “ท่านทำอะไรท่านแม่?”

เป็นอย่างที่คิด คนพวกนี้มาจากยอดเขาใจสงบ พวกเขาแสร้งปล่อยท่านแม่ไป แต่จริง ๆ แล้วหมายจะทำลายนางให้สิ้นมาโดยตลอด

แดนเซียนอะไรกัน!? คนจากแดนนั่นมีแต่พวกชั่วช้าสามานย์ทั้งนั้น!

“นาง? ข้าว่านางคงไม่สบายดีเท่าไหร่ อย่างไรการไว้ชีวิตนางแม้นางจะเป็นคนทรยศก็นับว่าเมตตามากพอแล้ว”

น้ำเสียงเขาเจือแววขัน “เอาล่ะ เด็กน้อย อย่าฝืนดื้อรั้นอีกเลย มากับข้าเถอะ ไปยังสถานที่ที่เจ้าต้องไป”

“หากข้าปฏิเสธเล่า” ชิงอวี่สีหน้าไร้อารมณ์ น้ำเสียงเย็นชา

“เจ้ารู้ผลลัพธ์ของมันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าเป็นเด็กที่ฉลาด หิมะคืนนี้ควรจะตกอยู่ที่เดียว ซึ่งก็คือที่ที่ยอดเขาใจสงบจะปรากฏในอีกไม่นาน” เสียงเขาพลันหยุดลง และเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แต้มด้วยความอ่อนโยนขึ้นอีกเล็กน้อย “และหิมะตกที่นี่ก็เพื่อเจ้าคนเดียว เป็นพิธีไว้เกียรติอันสูงสุดจากยอดเขาใจสงบเพื่อต้อนรับเจ้า”

“เจ้าคงไม่อยากให้แม่เจ้าต้องเจ็บปวดทนทุกข์เพราะเจ้ากระมัง? คนงามเช่นเจ้าไม่ควรถูกกระทำโหดร้ายเช่นนั้น เจ้าว่าจริงหรือไม่?”

ฝ่ามือขาวซีดจนน่ากลัวพลันปรากฏขึ้นตรงหน้านาง มันเย็นมากราวกับเป็นมือจากศพเย็นชืด ปิดตานางฉับพลันโดยไร้คำเตือนใด

พริบตานั้น เมื่อมือนั้นคลายออก นัยน์ตายาวของเด็กสาวก็ปิดลง พร้อมกับร่างบางที่ค่อย ๆ ล้มลงสู่อ้อมแขนแกร่งหากแต่ขาวซีด

หิมะพรำที่อารามศักดิ์สิทธิ์อีกราวหนึ่งเค่อก่อนมันจะหายไป หิมะบนพื้นละลายหายไปรวดเร็ว ไม่นานก็ไม่เหลือร่องรอยอีก ราวกับหิมะพวกนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

ที่พรมแดนตัดกันแห่งแดนเมฆาสวรรค์ ตอนนี้หิมะสูงถึงน่องแล้ว และดูท่าจะยังไม่หยุดตกในเร็ว ๆ นี้