ตอนที่ 388 แสดงทักษะวิชาแพทย์ไปมั่วๆ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 388 แสดงทักษะวิชาแพทย์ไปมั่วๆ

เมื่อเด็กหญิงอายุครบสิบสองสิบสามปีก็จะมีระดู ซึ่งหมายถึงว่าสามารถตั้งครรภ์ได้แล้ว ถือว่าเป็นสาวแล้ว บิดามารดาสามารถเตรียมการหมั้นหมายได้ เมื่อบุตรสาวผ่านพิธีปักปิ่นแล้วก็จะแต่งออกไป เป็นภรรยาและแม่คน

ซึ่งก็มีผู้ที่ช้ากว่านี้ สิบสี่สิบห้าปีพึ่งจะมีระดู ด้วยอายุของโจวหนิง ตามหลักควรจะมีระดูตั้งนานแล้ว แต่นางใกล้จะสิบหกปีแล้วก็ยังไม่มีระดู ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ คนอื่นมีแต่นางไม่มี ไม่แปลกใจเลยที่นางไหล่ห่อ สีหน้าซีดขาว แห้งกร้าน ขาดความมั่นใจที่หญิงสาวในวัยนี้ควรจะมี

อย่างไรเสียการไม่มีระดู ไม่เพียงแต่ยากในการหมั้นหมาย หากตระกูลของสามีสังเกตเห็นเรื่องราวภายใน พวกเขาจะต้องยกเลิกการหมั้นหมายอย่างแน่นอน หรือกระทั่งฟ้องว่าตระกูลของฝ่ายหญิงหลอกให้แต่งงาน เช่นนั้นก็จะเป็นการขายขี้หน้า ชื่อเสียงถูกทำลายจนหมดสิ้น

ดังนั้นคนตระกูลโจวจึงเหยียบข่าวนี้ไว้มิด ไม่กล้าให้แพร่กระจายไปข้างนอก ทำได้เพียงแอบหาหมอมารักษา แต่หมอส่วนใหญ่เป็นบุรุษ สตรีนั้นหน้าบาง บอกอาการแต่ก็ไม่กล้าลงรายละเอียด เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน บุรุษก็ไม่กล้าสอบถามอาการอย่างละเอียดเช่นกัน ยื้อไปเรื่อยๆ รักษาไม่ตรงอาการย่อมยากที่จะหายขาดได้

นี่คือสาเหตุที่ฉินหลิวซีรู้สึกว่าการที่สตรีเป็นหมอก็นับว่าเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ หมอหญิงที่ดีสามารถทำให้สตรีหลายคนกล้าที่จะรับการรักษา และกล้าที่จะบอกรายละเอียด

อย่างเช่นโจวหนิง นางเพียงแค่ไม่มีประจำเดือน ก็ยังอายที่จะให้พี่ชายอยู่ฟังการวินิจฉัยด้วย ซึ่งบ่งบอกถึงปัญหาหนึ่งได้อย่างชัดเจน ความอายนั้นเป็นปัญหา

ตอนนี้รู้แล้วว่าฉินหลิวซีเป็นหมอหญิง โจวหนิงก็ไม่มีอะไรต้องกังวลอีก หลังจากได้ฟังการวินิจฉัยนี้ ขอบตาก็เริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย พยักหน้า “ข้าเกิดในฤดูหนาวเดือนสิบสอง อีกไม่กี่เดือนก็จะอายุครบสิบหกปีแล้ว พี่หญิงน้องหญิงในตระกูล อย่างเร็วที่สุดมีระดูตั้งแต่สิบเอ็ดปี ช้าที่สุดก็ไม่เกินสิบสามปี มีเพียงข้า…”

ขณะที่เอ่ยนางลูบท้องโดยไม่รู้ตัว กล่าวว่า “มีเพียงข้าที่ใกล้จะสิบหกปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มา เพราะข้า ท่านพ่อกับท่านแม่จึงไม่กล้าหมั้นหมาย แม้แต่พี่สาวน้องสาวในตระกูลก็ต้องล่าช้าไปด้วย”

การแต่งงานของสตรีในตระกูล ส่วนใหญ่ไล่ตามลำดับ บางครั้งที่พี่สาวคนโตยังไม่ได้หมั้นหมายหรือแต่งงาน ก็เป็นเรื่องยากที่น้องสาวหรือน้องชายจะแต่งก่อน

โจวหนิงไม่ใช่พี่สาวคนโตของตระกูล แต่เป็นลำดับที่สอง หากยื้อต่อไปเช่นนี้ น้องสาวที่อายุน้อยกว่าใกล้จะตามทันแล้ว

ท่านอาสะใภ้ ท่านป้า และบรรดาน้องสาวเหล่านั้นไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าเพราะเกรงต่อสถานะมารดาของนาง และตัวนางเองก็มีไทเฮาคนปัจจุบันคุ้มครองอยู่ กระทั่งมีตำแหน่งท่านหญิง แต่ลับหลังยังคงคาดเดาและเยาะเย้ยไม่หยุด

แม้ว่าท่านพ่อและท่านแม่จะบ่ายเบี่ยงมาตลอดว่าการหมั้นหมายมีไทเฮาเป็นคนจัดการ แต่ก็ไม่สามารถยื้อเช่นนี้ได้ตลอดไป

ด้วยเหตุนี้ทำให้โจวหนิงถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ อารมณ์หดหู่ สีหน้าซีดเซียว ต้องใช้การแต่งหน้าด้วยแป้งหนาๆ จึงจะสามารถปกปิดได้ ด้วยเหตุนี้พี่ชายของนางจึงได้พานางออกไปเยี่ยมญาติ และถือโอกาสผ่อนคลายอารมณ์

โจวหนิงเงยหน้ามองฉินหลิวซี ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ตกลงเป็นเพราะอะไรข้าจึงได้ไม่มีระดู หรือว่าข้าเป็นสตรีที่เป็นหมันในตำนานผู้นั้น”

เมื่อคำว่า ‘เป็นหมัน’ ออกจากปากของนาง ใบหน้าของนางก็แดงก่ำด้วยความเขินอาย ซ้ำยังมีท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ฉินหลิวซีจับชีพจรของนางแล้วจึงเอ่ย “แน่นอนว่าไม่ใช่ สาเหตุที่ไม่มีประจำเดือนนั้นมีหลายประการ หนึ่งในนั้นคือลำไส้และกระเพาะอาหารบกพร่องเป็นเวลานาน ร่างกายอ่อนแอ ชี่และเลือดบกพร่องเป็นอย่างมาก ทำให้ไม่มีระดู หรืออาจเกิดจากการป่วยเรื้อรังเป็นเวลานาน กระเพาะอาหารร้อน ร่างกายขาดของเหลว สูญเสียกล้ามเนื้อ กระหายน้ำบ่อย ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดแห้ง และทำให้ระดูไม่มาได้เช่นกัน”

ฉินซูที่อยู่ด้านข้างได้ฟังดังนั้นก็กล่าวว่า “ดูเหมือนว่าโรคสตรีนี้จะไม่ได้เป็นปัญหาเกี่ยวกับมดลูกที่ท้องน้อย เหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับความอ่อนแอของม้ามและกระเพาะอาหารหรือเจ้าคะ”

“ฉินซู อย่าพูดมาก” โจวหนิงดุเบาๆ

ฉินหลิวซียิ้มพลางตอบ “ไม่ได้เกี่ยวข้องเพียงแต่ม้ามและกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับตับและเยื่อหุ้มอีกด้วย ว่ากันว่าเลือด แก่นแท้คือน้ำที่ช่วยให้อวัยวะตันภายในทั้งห้าให้สัมพันธ์กันแล้วกระจายออกไปสู่อวัยวะกลวงภายในทั้งหก สำหรับผู้หญิงใช้ผลิตน้ำนมและน้ำเลือด แม้ว่าหัวใจจะควบคุมเลือด ส่วนตับกักเก็บเลือด แต่ยังรับผิดชอบม้ามกับกระเพาะอาหารอีกด้วย กล่าวโดยตรงก็คือต้องปรับเลือดและชี่ให้ลงตัวเพื่อไปหล่อเลี้ยงอวัยวะตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหก ในทางตรงกันข้าม หากอวัยวะภายในไม่สัมพันธ์กัน เลือดและชี่ก็จะไม่ประสานกัน ดังนั้นกล่าวได้ว่าทั้งสองส่งเสริมซึ่งกันและกัน”

โจวหนิงกับฉินซูต่างก็สับสนเล็กน้อย ไม่ใช่แค่ปัญหาของมดลูกเท่านั้นหรอกหรือ

“จากการสังเกตชีพจรกับลมหายใจของเจ้า กระเพาะร้อน ม้ามบกพร่อง หัวใจมีธาตุไฟร้อนระอุ อารมณ์ทั้งเจ็ด[1]ทำให้เกิดโรค ปกติเวลาหลับตื่นเป็นกิจวัตรประจำวันหรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม

โจวหนิงหน้าแดง ส่ายหน้า “ข้าเป็นโรคเช่นนี้ จึงไม่กล้าไปมาหาสู่กับผู้อื่นมากเกินไป เกรงว่าพวกเขาจะรู้ความลับของข้า ดังนั้นในวันปกติอยู่ที่จวน ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เรือนส่วนตัว หลับตื่นไม่เป็นเวลา”

อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กับใครจึงหลับตื่นตามอำเภอใจ บางครั้งสายตะวันโด่งแล้วพึ่งจะตื่น บางครั้งฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ลุกขึ้นมานั่งเหม่อลอย

“หลับตื่นไม่เป็นเวลา ทำให้กินอาหารไม่ตรงเวลา แล้วอวัยวะภายในจะสมดุลได้อย่างไร การดูแลสุขภาพก็ต้องรักษาร่างกายด้วย หากดูแลร่างกายไม่ดี แล้วสุขภาพจะดีได้อย่างไร ประกอบกับที่เจ้ามีอารมณ์ซึมเศร้า ซึ่งทำให้โรคนี้รุนแรงมากขึ้น” ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “แนวทางการดูแลร่างกายของลัทธิเต๋าคือการฝึกบำเพ็ญจิตใจ โดยมีพื้นฐานอยู่บนการตั้งมั่นจิตใจที่จะแสวงหาความสงบ ใช้การเสริมสร้างแก่นแท้เป็นจุดหมายปลายทาง เรียกว่าการบำรุงชีวิต แต่เจ้ากลับเอาแต่คิดฟุ้งซ่านตลอดทั้งวัน ใจไม่สงบนิ่ง แม้จะเป็นการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจกลายเป็นอาการป่วยร้ายแรงได้ เนื่องจากอารมณ์หดหู่ ยิ่งกังวลมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งไม่สมปรารถนา”

“ท่านอาจารย์ เช่นนั้นคุณหนูของบ่าวควรจะรักษาอย่างไรหรือเจ้าคะ” ฉินซูรีบเอ่ยถาม

“แน่นอนว่าต้องบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร หากเส้นลมปราณของม้ามเชื่องช้า ข้าจะสั่งยาต้มกุยผีให้เจ้า แล้วเพิ่มตำหรับยาเซียวเหยาส่านไปหนึ่งอย่าง เพื่อปรับตับกับม้ามให้ดีขึ้น บรรเทาอาการตับเมื่อยล้า ความร้อนของกระเพาะอาหารเกิดจากอาหารการกินทำร้าย ต้องบำรุงเลือดและชี่ ในวันปกติทั่วไปให้ทานยาต้มหย่างหรงโสม หากรู้สึกว่ายุ่งยากสามารถซื้อยาหย่างหรงทานได้ เพียงแต่มีราคาแพง และอีกอย่างคือเส้นเลือดเจ้ามีเยื่อหุ้มมากมาย เมื่อกระเพาะร้อนขึ้นมาทำให้ขับถ่ายยาก เวลาขับถ่ายมีอาการเจ็บแสบเล็กน้อยหรือไม่”

หากเป็นหมอชาย คาดว่าโจวหนิงคงจะอายและตอบคลุมเครือ แต่เมื่อเป็นฉินหลิวซี นางกลับไม่อายเลยแม้แต่นิด พยักหน้าอย่างเปิดเผย “เป็นอย่างที่ท่านกล่าวมา”

“หัวใจธาตุไฟลุกโชน เส้นลมปราณปิด ชี่บีบเส้นเลือด ชี่ของหัวใจไม่สามารถไหลลงสู่ด้านล่างได้ ดังนั้นทำให้เลือดเหือดแห้ง ส่งผลให้ไม่มีระดู ต้องบำรุงเลือดและระบายไฟด้วยความสงบ อีกสักครู่ข้าจะฝังเข็มให้เจ้า เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนชี่ของหัวใจ ปรับสมดุลอวัยวะภายใน แล้วเสริมด้วยยาต้ม จะสามารถมีระดูได้ภายในไม่กี่วัน”

โจวหนิงจ้องมองนาง

ฉินหลิวซีไม่เข้าใจเล็กน้อย “มีอะไรหรือ รู้สึกว่ายุ่งยากหรือ”

โจวหนิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ เพียงแต่คิดว่ามันฟังดูน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ข้าเคยพบหมอมาแล้วไม่น้อย แม้กระทั่งหมอหลวงในวังก็เคย แต่ก็อธิบายได้ไม่ละเอียดเท่ากับท่าน”

“ข้าก็แค่กล่าวไปมั่วๆ เท่านั้น” ฉินหลิวซีขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์

โจวหนิงยิ้ม “การกล่าวมั่วๆ นี้กลับทำให้คนจิตใจสงบ”

“หมอมักจะกล่าวเสมอว่าคนเป็นหมอย่อมมีจิตใจดั่งบิดามารดา ในสายตาของหมอไม่มีหญิงหรือชาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริงก็จะมีความกังวลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะคนที่มาจากตระกูลร่ำรวยอย่างพวกเจ้า ก็จะยิ่งระมัดระวังมากขึ้น อย่างไรเสียคนเป็นหมอนั้นก็ต่ำต้อย พวกเขาก็มีสิ่งที่ต้องกังวล จะเอ่ยอะไรก็ย่อมต้องเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าเป็นสตรี ไม่สามารถบอกกล่าวกับหมออย่างเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้ได้ เช่นนั้น อีกฝ่ายปิดบังบางอย่าง อีกฝ่ายก็มีความกังวล ย่อมไม่อธิบายให้ฟังอย่างละเอียด จึงเขียนใบสั่งยาตามอาการภายนอกเท่านั้น คาดว่าเจ้าคงจะยังไม่เคยฝังเข็ม”

ใช่ เอ่ยถูกต้องทั้งหมด

สตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน ซ้ำยังเป็นโรคนี้ ไหนเลยจะกล้าให้หมอฝังเข็มอย่างสบายใจ

เพียงแค่ดูสีหน้าของพวกนาง ฉินหลิวซีก็รู้ได้ว่าตัวเองกล่าวถูกแล้ว ถอนหายใจพลางเอ่ย “ในโลกนี้ยังต้องมีหมอหญิงมากกว่านี้”

มิเช่นนั้นจะทำให้การรักษาคาดเคลื่อนจนถึงแก่ชีวิตเพราะสิ่งที่เรียกว่าหญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน โง่เง่าสิ้นดี!

[1] อารมณ์ทั้งเจ็ด คือ โกรธ ยินดี เศร้าโศก วิตกกังวล ครุ่นคิด หวาดกลัว ตกใจ