ตอนที่ 312 คุณมีรูปถ่ายเมื่อครั้งยังเป็นสาวไหม
ตอนที่ 312 คุณมีรูปถ่ายเมื่อครั้งยังเป็นสาวไหม
ครั้นเซี่ยเหลยถามถึงรูปถ่ายในวัยเยาว์ของหล่อน หลิวกุ้ยอิงก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง แต่ก็ส่ายศีรษะเบา ๆ “ที่นี่ไม่มีหรอกค่ะ ทุกอย่างอยู่ที่บ้านเกิดของฉัน”
การที่เขาต้องการดูรูปหลิวกุ้ยอิงในวัยเด็กนับว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ยอดเยี่ยมมาก
คุณแม่เซี่ยและเซี่ยไห่ยกยิ้มอย่างมีความสุข
แต่พอได้ยินว่าวันนี้ไม่มีรูปถ่ายวัยเยาว์ของหลิวกุ้ยอิง พวกเขาก็ผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อเซี่ยเหลยได้ยินว่าไม่มีรูปถ่าย เขาก็เพียงอุทานว่า โอ้… แล้วเงียบไป
สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจใดๆ ต่อผู้หญิงตรงหน้านี้
แม้จะรู้จักกัน เขาก็คงจะรู้จักแต่หลิวกุ้ยอิงในวัยสาวเมื่อครั้งที่เขายังหนุ่ม
และหลังจากสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไปแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าใบหน้าตอนที่หลิวกุ้ยอิงยังสาวเป็นอย่างไร
หากมีรูปถ่ายยืนยันว่าพวกเขารู้จักกันจริง ๆ เขาก็อาจจะนึกได้ว่าคนในความฝันที่วุ่นวายของเขาเป็นใคร
หญิงสาวผมเปียสองเส้นปรากฏขึ้นในความฝัน ใบหน้านั้นมองเห็นไม่ชัดเจน รอบกายเต็มไปด้วยพืชพรรณทั่วทุ่งนาและภูเขา สำเนียงที่ดูคุ้นเคยทว่านึกไม่ออก เขารู้สึกถึงเรื่องนี้ชัดเจนแต่ว่าทุกอย่างก็ยังคลุมเครือ
และเมื่อตระหนักได้อย่างนั้น ความวุ่นวายก็ผุดขึ้นในหัวของเขา
เมื่อรู้สึกอับจนปัญญาและไม่ทราบเรื่องราวของตัวเองในอดีต มันก็ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
เขาอยากได้ความทรงจำกลับคืนมาเหลือเกิน
เซี่ยไห่อดตื่นเต้นไม่ได้ที่พี่ชายของเขาเริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา เขาหันมองหลิวกุ้ยอิงก่อนจะขยิบตาให้หล่อนอีกครั้ง “พี่อิงจื่อ คุณลองนึกดี ๆ บางทีคุณอาจจะจำคนชื่อเซี่ยเหลยได้นะครับ”
“จริงด้วย อิงจื่อ ลองนึกดูดี ๆ เถอะนะจ๊ะ”
แม่และลูกชายเอ่ยอ้อนวอน ทั้งสองมองหลิวกุ้ยอิงอย่างกระตือรือร้น และหวังว่าหล่อนจะช่วยสนับสนุนให้การพูดคุยดำเนินต่อไป
หลิวกุ้ยอิงลังเลสักครู่ก่อนจะก้มศีรษะลง เอ่ยปากเสียงแผ่ว
“ฉันจำได้ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในกองทหารด้วย เขาชื่อเซี่ยเหลย”
เซี่ยไห่รีบพูด “จริงเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นก็เล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่าเซี่ยเหลยที่คุณรู้จักเป็นแบบไหน? เขาใช่พี่ใหญ่ของผมไหม?”
“ตอนที่เขามาถึงเทศมณฑลซีเหอ เขาไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นั่นเลย มีครั้งหนึ่งเขาถูกต้นตำแยบนภูเขาตำที่ขาจนเกิดอาการลมพิษ ฉันเลยช่วยรักษาเขาจนหาย”
หลังจากหลิวกุ้ยอิงพูดจบ หล่อนก็หันมองเซี่ยเหลยด้วยความคาดหวัง
ตอนพบกันคราวแรก อีกฝ่ายถูกต้นตำแยตำจนเกิดผื่นแดงเต็มตัว เจ็บปวดคันคะเยอมากจนเอาแต่นั่งเกาอยู่บนภูเขา เป็นหล่อนที่ช่วยดึงต้นตำแยออกก่อนจะคั้นน้ำจากหญ้ามาเช็ดขาให้ แต่เขากลับเข้าใจผิดว่าหล่อนจะฆ่าเขา ทั้งสองคนจึงทะเลาะกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน
เขาเป็นคนดื้อรั้นค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง อีกทั้งยังดูถูกหล่อนว่าเป็นผู้หญิงชาวป่าชาวดง ส่วนหล่อนเองก็ดุด่าเขาที่โง่เขลา พลางบ่นว่าตนน่าจะทิ้งให้เขาถูกพิษตำแยจนตายไปเสีย ทั้งยังขว้างก้อนหินใส่เขาด้วย
ความทรงจำทั้งหมดยังสดใหม่ราวกับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ขณะพูดออกมาอย่างนั้น หล่อนก็รู้สึกสงสัยว่าเขาพอจะจดจำสิ่งนี้ได้บ้างไหม?
เซี่ยเหลยกำลังรับฟังคำพูดของหลิวกุ้ยอิงอย่างตั้งใจ
ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าต้นตำแยคืออะไร
แต่กลับจดจำเรื่องราวที่หล่อนพูดไม่ได้
คุณแม่เซี่ยยกยิ้มก่อนจะพูดต่อว่า “เสี่ยวเหลย บางทีลูกกับอิงจื่ออาจจะรู้จักกันนะ แต่เพราะลูกเสียความทรงจำไปเลยจำไม่ได้”
“คงเป็นอย่างนั้น”
เซี่ยเหลยจ้องมองผู้หญิงตรงหน้า หล่อนดูเรียบง่ายและพูดจีนกลางเจือสำเนียงท้องถิ่น ดูเหมือนว่าหล่อนจะรู้จักเขาจริง ๆ
แต่เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองรู้จักหล่อนไหม
เขานึกอะไรไม่ออกสักอย่าง
ทั้งแม่และลูกชายนั่งอยู่ในบ้านของหลิวกุ้ยอิงสักพักหนึ่ง เดิมทีเซี่ยไห่ต้องการจะอยู่ที่นี่เพื่อกินมื้อเย็นด้วยซ้ำ แต่เพราะเซี่ยเหลยไม่คุ้นเคยที่จะอยู่ในบ้านของคนอื่น นอกจากนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้เขาสับสนและเหนื่อยมากด้วย เขาหันมาถามหญิงชรา “แม่ครับ ที่เวียนหัวก่อนหน้านี้ดีขึ้นหรือยัง? เรากลับกันเลยไหมครับ?”
คุณแม่เซี่ยเองก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถกินเต้าหู้ขณะยังร้อน ขืนเร่งรีบไปก็มีแต่จะเสียเปล่า ดังนั้นจึงตอบกลับไปว่า “อื้ม งั้นเรากลับกันเถอะ”
“อิงจื่อ ยังไงซะก็พิจารณาเรื่องการเปิดร้านอาหารร่วมกับพี่ชายของผมด้วยนะ คุณสองคนทำอาหารเก่งทั้งคู่ ถ้าได้เปิดร้านอาหารด้วยกัน ธุรกิจต้องรุ่งเรืองมากแน่นอน คุณกับพี่ชายของผมควรจะพูดคุยกันให้มาก อีกอย่างเรื่องนี้จะช่วยปลุกความทรงจำของเขาด้วย พี่อิงจื่อ คุณคือความหวังของพวกเรานะครับ”
หลิวกุ้ยอิงไม่ปฏิเสธแต่ก็เพียงพยักหน้ารับผ่าน ๆ “ค่ะ ไว้ฉันจะลองคิดดูนะ”
หลังจากเซี่ยเหลยกลับมาถึงบ้าน เขาก็ขังตัวเองไว้ในห้อง
“แม่ครับ ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ใหญ่ไม่เป็นไร”
เซี่ยไห่วางแผนที่จะหาสถานที่เปิดร้านอาหารให้กับพี่ใหญ่ของเขา
เขาต้องการมัดทั้งสองคนไว้ด้วยกัน ให้พวกเขามองหน้ากันตลอดไป
นับตั้งแต่ที่ทุกคนรู้ว่าเซี่ยเหลยกลับมาถึงเมืองไห่เฉิงแล้ว ถังจวิ้นเฟิงและลู่เจิ้งอวี่ก็เข้าหาเซี่ยไห่ และบอกว่าพวกเขาต้องการเห็นใบหน้าของวีรบุรุษแห่งเขาหลูซาน แม้แต่ฟางจิ้นเป่าเองก็ยังต้องการมาด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนั่งอยู่ในห้องขนาดใหญ่
หลินจินซานมอบความบันเทิงให้กับทุกคน
เขายังอยากรู้ด้วยว่าแฟนเก่าของแม่เลี้ยงของเขาเป็นคนแบบไหน จึงอยากพบเจอด้วยเช่นกัน
เซี่ยไห่โบกมือ “อื้ม ไว้เจอกันนะ”
เซี่ยไห่หันมาหาหลินจินซานก่อนจะพูดว่า “นายเดินทางไปจัดการธุรกิจก่อน ไว้หลังจากกลับมาแล้วค่อยมาพบเจอวีรบุรุษคนนั้นเถอะ ถ้านายทำได้ดี ฉันจะเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนให้ด้วย”
หลินจินซานพลันตื่นเต้นขึ้นมา “เถ้าแก่ บอกมาได้เลยครับ”
“ไว้คุยกันทีหลัง”
เซี่ยไห่เอ่ยปากถามเฉินเจียเหอและคนอื่น ๆ ด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด “มีใครอีกไหมที่อยากจะพบเจอกับพี่ใหญ่ของฉัน? ฉันต้องการรู้จำนวนคนและจัดเตรียมที่นั่งให้กับพวกนายในสองสามวัน แต่ทั้งหมดต้องเป็นคนของพวกเราเท่านั้น ใครก็ตามที่ชื่นชอบพี่ใหญ่ของฉันก็มาพบเจอกันได้ แต่ถ้าใครคิดจะมาก่อวุ่นวาย เราจะไม่ต้อนรับเด็ดขาด ”
เฉินเจียเหอคิดสักครู่ก่อนจะพูดว่า “มีอยู่คนหนึ่ง”
เขายืมโทรศัพท์มือถือของเซี่ยไห่และกดโทรออก
เซี่ยไห่ถาม “นายโทรหาใคร? ฉันจะไม่โทรหาใครเพื่อพูดคุยไร้สาระหรอกนะ”
“เย่ไป๋”
เย่ไป๋และเซี่ยไห่เคยพบเจอกันมาก่อน คราวที่พวกเขาเพิ่งออกจากกองทัพ เฉินเจียเหอก็บอกกล่าวให้เย่ไป๋มาร่วมกินอาหารเย็นด้วยกัน
“เขาเป็นหมอไม่ใช่เหรอ? ไม่ได้อยู่ในวงการเดียวกับพวกเราอีกต่อไปแล้ว เขาควรจะชื่นชมหมอเย่แพทย์แผนจีนผู้นั้น ทำไมเขาถึงอยากจะเจอพี่ชายของฉันด้วยล่ะ?”
เฉินเจียเหออธิบาย “เขามีเหตุผลทางครอบครัวน่ะ เวลานั้นเลยเลิกเป็นทหารและเลือกเป็นหมอแทน เขาเลยอยากใช้โอกาสนี้เพื่อรับชมใบหน้าที่แท้จริงของวีรบุรุษ และชดเชยความเสียใจตลอดเวลาที่ผ่านมา”
เซี่ยไห่ได้ยินอย่างนั้นแล้วจึงตอบกลับ “งั้นก็ได้”
เฉินเจียเหอโทรหาเย่ไป๋
เย่ไป๋กำลังจะเลิกงาน เมื่อได้รับโทรศัพท์และได้ยินว่าเป็นเสียงของเฉินเจียเหอก็รีบทักทาย “เหล่าเฉิน นายสบายดีไหม? เจียวั่งเป็นยังไงบ้าง?”
“เขาสบายดี”
เฉินเจียเหอกล่าวเข้าประเด็นทันที “ฉันมีเรื่องบางอย่างจะคุยด้วย พี่ใหญ่ของเซี่ยไห่หรือสหายเซี่ยเหลยผู้เป็นวีรบุรุษของเราทุกคนที่รอดตายจากสนามรบมาหวุดหวิดได้มาอยู่ที่ไห่เฉิงแล้ว พวกเรากำลังจะนัดรวมตัวเพื่อพบเจอเขา นายมีเวลาว่างจะมาด้วยกันไหม?”
เย่ไป๋ยิ้มก่อนจะตอบกลับว่า “ฉันจะไปด้วยแน่นอน”
เฉินเจียเหอถามต่อว่า “แล้วนายเลิกงานแล้วเหรอ? ตอนนี้พวกเราอยู่ห้องเต้นรำของเซี่ยไห่ ทำไมไม่มานั่งคุยกันสักหน่อยล่ะ? นี่ก็นานมากแล้วที่พวกเราไม่ได้เจอกัน”
เย่ไป๋รีบตอบ “ต้องขอโทษด้วย แต่วันนี้ไม่ได้แล้ว”
“งั้นไว้เจอกันวันหลังก็ได้”
เย่ไป๋วางสายก่อนจะจัดของเพื่อเลิกงาน
เขาถอดเสื้อคลุมสีขาวออก เหลือเพียงเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำ รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าอ่อนโยนยิ่งมองยิ่งสะดุดตา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เสียดายถ้าไม่มีรูปถ่ายตอนสาวๆ ของอิงจื่อ ถ้ามีรูปอยู่ก็คงลงเอยกันเร็วกว่านี้
เย่ไป๋นี่เป็นนัดบอดของยัยเหมยหรือเปล่าหว่า?
ไหหม่า(海馬)